ตอนที่ 359 หยั่งเชิง! / ตอนที่ 360 คุณต้องเป็นโสดไปอีกหลายปี

หวานรักจับหัวใจท่านประธาน

ตอนที่ 359 หยั่งเชิง! 

 

 

น้ำเสียงดุร้ายและใบหน้าจริงจังของเธอไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด 

 

 

ฟ่านอวี่ตะลึงงัน พลางมองส้อมที่เข้ามาใกล้ ก่อนจะดึงสติกลับมาได้หลังจากผ่านไปหลายวินาที เขาถูกข่มขู่แล้ว 

 

 

แต่ในใจไม่ได้โกรธเคืองเลยสักนิด กลับเลิกคิ้วด้วยความเอ็นดูด้วยซ้ำไป 

 

 

“ถือว่าผมแพ้แล้ว ผมรับปากคุณก็ได้ ว่าจะไม่นักลูกค้าของคุณไปกินข้าวอีก ทีนี้ให้ผมไปส่งคุณได้หรือยัง” 

 

 

ฟ่านอวี่พูด พร้อมกับยื่นมือไปหยิบส้อมจากในมือเธอ 

 

 

“เป็นสาวเป็นนาง อย่าดุขนาดนี้เลย” 

 

 

“…” เหนียนเสี่ยวมู่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเขา จึงตะลึงไปเล็กน้อย 

 

 

ฟ่านอวี่จึงฉวยส้อมในมือเธอไปได้ โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว 

 

 

เธอยังไม่ทันได้ถามว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ฟ่านอวี่ก็เดินผ่านตัวเธอไปที่ลานจาดรถ 

 

 

จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถ แล้วเข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่เข้าไปนั่งในรถอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะหันไปมองเขา “คุณพูดแบบเมื่อกี้อีกรอบสิ ฉันจะอัดเสียงไว้เป็นหลักฐาน!” 

 

 

“…” 

 

 

เขาดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับเธอขนาดนั้นเลยเหรอ 

 

 

ถ้าเป็นลิ่วลิ่วของเขา คงไม่มีทางสงสัยคำพูดที่เขาพูดกับเธอแน่ 

 

 

ฟ่านอวี่นึกอะไรขึ้นได้ พลันความอบอุ่นในสายตาค่อยๆ หายไป และถูกปกคลุมด้วยความเย็นชา 

 

 

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก และขับรถออกไปโดยไม่พูดจา 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่อยากบอกว่าเธอจะไม่กลับคฤหาสน์ แต่จะกลับไปที่บริษัทก่อน ฟ่านอวี่ก็จอดรถแล้ว 

 

 

เขาดับเครื่องยนต์ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ผมอยากซื้อเปียโนสักหลัง ช่วยผมดู กับแสดงความเห็นด้วย” 

 

 

จากนั้นเขาก็เปิดประตู และเดินลงจากรถไป 

 

 

หญิงสาวทำได้เพียงตามเขาลงจากรถ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองร้านขายเปียโนริมทาง เธอก็ทำปากจู๋ทันที 

 

 

“ฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องดนตรีอะไรขนาดนั้น ช่วยไม่ได้หรอก” 

 

 

เธอรู้สึกได้ชัดเจนหลังจากพูดจบ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเซื่องซึมขึ้นอีก 

 

 

กลิ่นอายความโดดเดี่ยวนั้น เริ่มปรากฏบนตัวเขาอีกครั้ง 

 

 

ราวกับว่าทั้งโลกท้องทิ้งเขา… 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่กระแอม “ช่างเถอะๆ ฉันทำเรื่องแบบนี้ไม่เก่งหรอก ถ้าคุณไม่ถือสา ฉันจะช่วยคุณดูดีๆ เอง” 

 

 

เธอพูดพลางโดยตรงเข้าไปในร้านโดยไม่รอเขา 

 

 

หลังจากกวาดสายตามองเปียโนภายในร้านรอบหนึ่ง หญิงสาวที่คิดว่าตัวเองดูอะไรไม่เป็น กลับเดินตรงไปหาเปียโนที่เห็นอย่างอดไม่ได้จริงๆ 

 

 

นิ้วมือขาวลูบไล้บนแป้นสีขาวดำอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะบรรเลงเพลงทดลองเสียงออกมาเบาๆ 

 

 

เสียงเปียโนเสนาะหูค่อยๆ ดังขึ้น 

 

 

ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ เหมือนตอนที่เธอเล่นเพลงในงานเลี้ยงของตระกูลอวี๋เป็นครั้งแรก 

 

 

แม้จะจำไม่ได้มาก แต่นิ้วมือกลับเล่นเพลงนั้นออกมาตามความเคยชิน… 

 

 

“คุณผู้หญิงคนนี้ตาแหลมจริงๆ ค่ะ แค่เลือกครั้งแรกก็เจอเปียโนหลังที่ดีที่สุดในร้านของพวกเราเลย!” พนักงานขายเดินมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น มือของเหนียนเสี่ยวมู่พลันชะงัก นับว่าได้สติกลับมาจากในความทรงจำ 

 

 

ขณะที่เธอหันกลับไปเพื่อจะถามว่าฟ่านอวี่รู้สึกอย่างไรกับเปียโนหลังนี้ เธอพบว่าชายหนุ่มจ้องเธอตาไม่กะพริบอยู่ที่หน้าประตูร้าน 

 

 

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่กล้าเชื่อ! 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่กำลังจะถามว่าเขาเป็นอะไร เขาก็พุ่งมาจับไหล่ของเธอแล้ว 

 

 

“เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณไม่ถนัดเรื่องเปียโน แล้วใครสอนคุณเล่นเพลงเมื่อกี้” 

 

 

เขาจับมือของเธอแรงมาก 

 

 

แรงจนเหมือนกลัวว่าถ้าเขาปล่อยมือ เธอจะหายไป 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่อยากสะบัดมือของเขาออก แต่ก็ทำไม่ได้ “แค่เพลงลองเสียงธรรมดา ไม่ใช่เพลงยากอะไรขนาดนั้น” 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ฟ่านอวี่พลันตัวแข็งมื่อ ราวกับเส้นประสาทในสมองขาดผึงไปในทันที 

 

 

“เพลงลองเสียงเพลงนี้มันไม่เหมือนกัน…” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 360 คุณต้องเป็นโสดไปอีกหลายปี 

 

 

เพลงนี้เป็นเพลงที่เขาสอนลิ่วลิ่ว ตอนเธอเริ่มเรียนเปียโน 

 

 

เขาเป็นคนแรก ที่ได้ยินเธอเล่นเปียโน 

 

 

ถึงแม้เพลงนี้จะง่ายมาก แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับต่างออกไป! 

 

 

เขาเชื่อว่ามันก็แตกต่างสำหรับลิ่วลิ่วเช่นกัน แต่ทำไมหญองสาวตรงหน้ากลับพูดว่ามันเป็นแค่เพลงลองเสียงธรรมดาล่ะ 

 

 

“ครืดๆ…” โทรศัพท์มือถือของเหนียนเสี่ยวมู่ส่งเสียงขึ้น 

 

 

เธอเห็นว่าฟ่านอวี่รู้ตัวอยู่ จึงผลักเขาออก 

 

 

ก่อนจะก้มหน้าลงไปควานหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาจากในกระเป๋า เมื่อเห็นการแจ้งเตือนสายเรียกเข้าบนหน้าจอแล้ว เธอก็รับสายโดยไม่คิด 

 

 

“ไปไหน” เสียงทุ้มต่ำของอวี๋เยว่หานดังมาจากปลายสาย 

 

 

ถึงแม้เหนียนเสี่ยวมู่จะไม่เห็นตัวเขา แต่สมองก็จินตนาการออก ว่าตอนนี้เขากำลังนั่งพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว พลางพิงพนักเก้าอี้ทำงานอยู่ 

 

 

หญิงสาวถือโทรศัพท์มือถือเดินไปข้างๆ สองก้าว แล้วถึงเริ่มพูด “คุณพูดดีๆ หน่อยสิ อย่าพูดใส่อารมณ์ แล้วก็อย่าขมวดคิ้วตอนพูดด้วย เดี๋ยวจะแก่เร็ว!” 

 

 

“…” 

 

 

คนที่อยู่ปลายสายเงียบไปสามวินาทีเต็มๆ 

 

 

จนได้ยินแต่เสียงกัดฟันกรอดอยู่รางๆ 

 

 

ดูท่าทางทั้งรักทั้งเกลียด 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไร จึงพูดต่อ “ฉันอยู่ข้างนอก กำลังกลับบริษัท…คุณถามว่าฉันออกมาทำอะไรตอนบ่ายสินะ เลขาไม่ได้บอกคุณเหรอ ว่าฉันนัดทำธุระกับประธานเฉิน” 

 

 

“อ้างเรื่องงานทำเรื่องส่วนตัวอะไรกัน เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ถ้าฉันชอบใครสักคน ฉันจะลากเขาไปที่บริษัท นัดเจอกันต่อหน้า!” 

 

 

“ใช่ๆๆ ประธานเฉินนั่นแหละ…เรื่องของพ่อเขา ถ้าไม่ไปหาเขาแล้วจะให้ไปหาคุณหรือไง?” 

 

 

“ฉันไม่ได้บอกว่าคุณทำไม่ได้…ฉันผิดไปแล้ว!” 

 

 

“…” 

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฟ่านอวี่ถึงจะใจเย็นลงได้ 

 

 

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเหนียนเสี่ยวมู่ถือโทรศัทพ์มือถือ พลางเอียงคอพูดกับใครบางคนอยู่ตลอด 

 

 

ทีแรกเธอมีท่าทีดุร้ายอยู่บ้าง ต่อมาไม่รู้ว่าคนปลายสายพูดว่าอะไร ท่าทีของเธอถึงได้อ่อนลงได้ทันที 

 

 

แถมยังรับผิดอย่างว่าง่าย และง้ออีกฝ่ายด้วย 

 

 

หญิงสาวใช้เท้าคว้าเตะผนังตรงหน้าตัวเองตามความเคยชิน ราวกับในที่สุดก็ง้ออีกฝ่ายได้ เมื่อเธอหยุดเตะหน้าต่าง เธอก็พูดพึมพำว่า “มีที่ไหนกันให้ผู้หญิงง้อ เขาคงจะโสดไปอีกหลายปี…เปล่านะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย!” 

 

 

เธอกำลังง้อใคร อวี๋เยว่หานเหรอ? 

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่ร้อนใจเรื่องลูกค้าขนาดนี้ แท้จริงแล้วเพราะงาน หรือเพราะอวี๋เยว่หานกันแน่ 

 

 

ฟ่านอวี่ค่อยๆ ล้วงทั้งสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูดำคล้ำขึ้น 

 

 

นี่ไม่ใช่ลิ่วลิ่วของเขา 

 

 

ลิ่วลิ่วของเขาดูสูงศักดิ์เหมือนราชินีตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยเห็นเธอง้อใครด้วยความอดทนขนาดนี้มาก่อน 

 

 

ชายหนุ่มหลุบตาลง มีความรู้สึกมากมายฉายวาบอยู่ในดวงตา 

 

 

ทันใดทีที่เขาเห็นเหนียนเสี่ยวมู่วางสาย สายตาของเธอพลันอ่อนลง และมองมาทางเขา 

 

 

“คุณไม่เป็นไรนะ” 

 

 

หญิงสาวหย่อนโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋า ก่อนจะพิจารณาฟ่านอวี่ที่ดูไม่ร้อนรนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว 

 

 

จากนั้นก็ก็บุ้ยปาก “นู่น ฉันเลือกเปียโนให้คุณแล้ว ถ้าคุณไม่ชอบฉันก็ไม่ฝืนใจหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันมีธุระ ต้องกลับไปที่บริษัทก่อนแล้ว!” 

 

 

เมื่อเหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ เธอก็มองเวลาครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก 

 

 

ไม่โอกาสฟ่านอวี่ได้เรียกเธอแม้แต่น้อย 

 

 

เธอวิ่งสั้นๆ อยู่ริมทาง ก่อนจะเรียกแท๊กซี่คันหนึ่ง เมื่อเข้าไปนั่งแล้ว รถแท๊กซี่ก็ออกตัวอย่างรวดเร็ว 

 

 

ฟ่านอวี่มองเงาร่างของเธอหายไป กลิ่นอายความห่างเหินรอบตัวเขาเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ชายหนุ่มหลุบตาลง พลางมองไปยังเปียโนหลังที่เธอพูดถึงเมื่อครู่ เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปเล่นเพลงเมื่อครู่นี้อีกรอบหนึ่ง