ตอนที่ 179 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 179 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (1)

ต่อให้รู้ว่าเป็นเยี่ยงนี้ เหยาเหยียนอี้ก็ยังไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะไปไหน อย่างน้อยก็ต้องมีบ่าวที่ยังหนุ่มและมีเรือนร่างที่กำยำสองคนนี้คอยติดตามไปด้วย

คนกลุ่มหนึ่งจึงเดินไปสักระยะหนึ่ง ก็เห็นตรงหน้าประตูโรงงานแห่งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งออกมา คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือหมัวมัวอายุสี่สิบปี นางสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี ดูๆ แล้วเป็นหมัวมัวที่มาจากตระกูลขุนนาง

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้สนใจ แค่เดินตามทางของตนเอง ตอนที่เห็นหมัวมัวเดินมาตรงหน้าของตนเอง นางกลับหยุดฝีเท้าลง แล้วโค้งลำตัวโน้มคำนับให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกับขานเรียก “น้อมทำความเคารพคุณหนูเหยาเจ้าค่ะ”

เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่ฉงนสงสัย จึงเอ่ยถาม “หมัวมัวท่านนี้มาจากจวนใต้เท้าใดกัน เหตุใดถึงรู้จักข้า”

หมัวมัวผู้นั้นคลี่ยิ้ม “บ่าวคือคนของจวนรองเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนเฟิงเจ้าค่ะ คุณหนูไม่รู้จักพวกบ่าว พวกบ่าวกลับรู้จักคุณหนูเจ้าค่ะ คุณหนูเป็นผู้มีบุญคุณของฮูหยินใหญ่ของพวกบ่าวเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเจ้ามีใจแล้ว! นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่ ช่างบังเอิญจริงๆ”

หมัวมัวผู้นั้นคลี่ยิ้ม “พวกบ่าวมาดูสินติดตัวเจ้าสาวให้กับคุณหนูรองของพวกบ่าวเจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งทำรูปปั้นผลึกหนึ่งคู่ โคมไฟผลึกหนึ่งคู่ และเครื่องถ้วยจามผลึกหนึ่งชุดเจ้าค่ะ”

“คุณหนูรองของพวกเจ้ามีเรื่องน่ายินดีแล้วหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่จึงนึกถึงใบหน้าที่นิ่งสงบของเฟิงซิ่วอวิ๋นขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยถามอย่างผิวเผิน “ไม่รู้ว่านางสมรสกับคุณชายตระกูลใด”

หมัวมัวผู้นั้นจึงคลี่ยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวเจ้าค่ะ”

“อ๊ะ?” เหยาเยี่ยนอวี่มองหมัวมัวท่านั้นด้วยความแแปลกใจ ทันใดนั้นก็ได้สติกลับมา ที่แท้คุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิงไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอก ทว่ากลับเป็นอนุภรรยาของท่านซื่อจื่อติ้งโหว?

หมัวมัวผู้นั้นคลี่ยิ้ม แล้วไม่กล้ามากความ แค่โค้งลำตัวลง “หากคุณหนูเหยาไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว พวกบ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย แล้วมองบ่าวไม่กี่คนค่อยๆ เดินจากไปไกล

ชุ่ยเวยจึงบอกเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูเจ้าคะ พวกเราก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่ปรับอารมณ์ที่ข้องใจของตนเองแล้วเดินหน้าต่อ จนกว่าออกจากโรงหลอมกระจก และนั่งรถม้ากลับจวน คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้ดูผ่อนคลายตั้งแต่ต้นจนจบ

ชีวิตหลังจากนี้ยิ่งอยู่ยิ่งก็ยุ่งมากขึ้น เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิด สูตรปรุงยาที่รักษาแผลภายนอกที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานคือสามารถห้ามเลือดได้อย่างว่องไว จึงจะทำให้บาดแผลติดกันได้ดี เหตุเพราะยาพวกนี้จะนำไปให้เหล่าทหารและนักรบใช้ ที่สำคัญบาดแผลต้องสมานเร็ว และเสียเลือดน้อย รอยแผลเป็นอะไรเหล่านั้นจึงมีความสำคัญที่รองลงไป

และสูตรปรุงยาชนิดที่สองมีความสำคัญลำดับรองคือการลบเลือนรอยแผลเป็น เหตุเพราะบาดแผลภายนอกของสามัญชนทั่วไปสามารถรอให้สมานได้ อีกทั้งทุกคนต่างก็รักในความสวยความงาม สำหรับสามัญชนทั่วไป การได้รับบาดเจ็บของเปลือกชั้นนอกเป็นเรื่องที่ยากต่อการหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นสตรี สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบาดแผลห้ามทิ้งร่องรอย

แน่นอน เรื่องของสูตรปรุงยา เหยาเยี่ยนอวี่ไม่สามารถตัดสินเป็นการส่วนตัว หลังจากที่คิดค้นสำเร็จก็ยังต้องทูลฮ่องเต้ให้ทราบเรื่อง ไม่เช่นนั้นหากอนาคตฮ่องเต้จะคิดบัญชีเก่าขึ้นมา ประเดี๋ยวทุกคนอาจจะเจอกับบทเรียนที่น่าดูก็ได้

เหตุเพราะเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ฮ่องเต้จึงไม่สะดวกที่จะสั่งให้เหยาเยี่ยนอวี่เข้าพบในวังหลวง จึงหาโอกาสตอนที่ออกมาตระเวนโดยปลอมตัวเป็นสามัญชนทั่วไป แล้วเลือกโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเป็นจุดนัดพบ และมีผู้อารักขาติดตามเพียงสองคนเท่านั้น นั่นก็คือเฉิงอ๋องและแม่ทัพติ้งหย่วน

สองคนนี้ติดตามฮ่องเต้ก็ย่อมมีเหตุผล เฉิงอ๋องเป็นพี่น้องทางสายเลือด เป็นหัวแก้วหัวแหวนของฮ่องเต้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังเขา

ส่วนเว่ยจางเป็นผู้ที่เสนอความคิดเห็นนี้ ฮ่องเต้ทรงได้ยินจากปากของเว่ยจางว่าเหยาเยี่ยนอวี่มีสูตรปรุงยาเยี่ยงนี้ และเพราะว่าข้อเสนอของเว่ยจาง ฮ่องเต้จึงจะตัดสินใจใช้สูตรปรุงยานี้มาผลิตเป็นผงยาที่เตรียมไว้ให้กับเหล่าทหารในค่าย จุดประสงค์คือต้องการลดการบาดเจ็บในสนามรบของเหล่าทหาร

เหตุผลอีกประการหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงออกตระเวนโดยสวมใส่ชุดนอกเครื่องแบบ ข้างกายก็ต้องมียอดฝีมือในการต่อสู้ติดตามมาด้วยอยู่แล้ว เรื่องนี้ แม่ทัพติ้งหย่วนจึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด

ฮ่องเต้ได้ยินเหยาเยี่ยนอวี่ทูลวิธีการใช้นามของสามัญชนมาแอบอ้างในการใช้สอยยาชนิดนี้ เพื่อที่จะตีโอบคุ้มกันให้แก่กองกำลังสำคัญ ก็รู้สึกว่าวิธีนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อีกทั้งยังได้รับการร่วมมือจากองค์หญิงใหญ่หนิงหวา ฮ่องเต้ก็ยิ่งไม่มีข้อคิดเห็นอื่นใด แค่ตรัสขึ้นอย่างเร่งเร้า “สมุนไพรจำนวนแรกที่ใช้ในการปรุงยาก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหลือแต่เพียงสมุนไพรสองชนิดที่คุณหนูเหยาจัดหายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่คำนวณเวลา จึงให้คำตอบฮ่องเต้ว่าต้องใช้เวลาสี่เดือน จากนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ก็รายงานเรื่องที่ตนจะต้องเดินทางไปเจียงหนานด้วยตนเอง เพื่อที่จะตรวจดูคุณภาพของสมุนไพรสองชนิดนี้ให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ฟังจบก็ทรงตรัสด้วยความกังวลใจ “ตอนนี้ชื่อเสียงที่คุณหนูเหยาเป็นหมอเซียนถูกป่าวประกาศไปทั่วหล้าแล้ว เกรงว่าการไปเขตตอนใต้ครั้งนี้จะไม่สะดวกหรือเปล่า”

เฉิงอ๋องจึงทูลขึ้น “ไม่เช่นนั้นให้กองกำลังทหารจิ่นหลินปลอมตัวเป็นบ่าวคอยคุ้มกันตลอดทางดีหรือไม่”

ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง แล้วไม่ทรงเอ่ยพูดอะไร กลับหันไปมองเว่ยจาง

เว่ยจางทูลเสียงเรียบด้วยเสียงในลำคอ “กระหม่อมจะพากองกำลังชุดเล็กไปเขตตอนใต้ ให้พวกเขาฝึกฝนวิชาความรู้ทางน้ำก่อนเสียพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมเพิ่งจะนึกวิธีหนึ่งขึ้นได้ ทว่ายังไม่ได้วางแผนมาอย่างดี จึงยังไม่ได้รายงานฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ทรงเข้าใจในข้ออ้างที่เว่ยจางบอกว่าจะพากองกำลังชุดหนึ่งไปฝึกฝนวิชาทางน้ำ แท้จริงแล้วเขาจะไปคัดเลือกองกำลัง ‘นกอินทรี’ ที่เกิดตอนใต้จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วตรัสขึ้น “เยี่ยงนี้ถือว่าได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ตลอดทางเจ้าจะได้รับผิดชอบคุ้มกันความปลอดภัยของคุณหนูเหยา”

เว่ยจางจึงรีบเหยียดกายลุกขึ้นพร้อมกับน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมใช้ชีวิตของตนเองมาเป็นหลักประกันว่าคุณหนูเหยาจะกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่เหลือบตามองเว่ยจางเพียงพริบตาอย่างประหลาดใจ แล้วหันไปมองฮ่องเต้ ภายในใจกำลังคิดว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดเช่นนี้แล้วหรือ

เฉิงอ๋องเห็นว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว จึงไม่ได้มากความอะไร แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อเสวนา “อีกไม่กี่วัน การสอบคัดเลือกขุนนางในปีนี้ก็ใกล้จะรู้ผลแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะสามารถคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถมากเท่าใดมาคอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้”

ฮ่องเต้จึงแย้มพระสรวล “เจิ้นก็เฝ้ารอคอยอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ถึงเวลาอันสมควรที่ราชสำนักจะใช้บุคคลที่มีความสามารถแล้ว!”

เฉิงอ๋องจึงทูลต่อ “นึกไม่ถึงว่าปีนี้อาจารย์เซียวกลับให้หลานของเขามาเข้าสอบด้วย”

“เจ้าหมายถึงเซียวหลินหรือ” ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็ได้เจอเขาแล้วหรือ”

“เช่นนั้น เด็กคนนี้มีความสามารถที่โดดเด่น น้องก็เห็นหน้าเขาก็นึกถึงบิดาของเขา”

“เด็กคนนั้นไม่เลว” ฮ่องเต้พยักหน้าพลางแย้มพระสรวลเบาๆ

เฉิงอ๋องจึงทำมือคารวะฮ่องเต้ แล้วทูลขึ้น “น้องมีเรื่องอยากจะขอให้เสด็จพี่เป็นคนตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”

“อ่อ? เรื่องใด”

“หากเซียวหลินได้รับการคัดเลือก ได้โปรดเสด็จพี่ทรงรับสั่งให้เขาอยู่ในเมืองหลวง”

“ด้วยเหตุผลใด”

“เหยาเอ่อร์มีอายุสิบเจ็ดแล้ว เป็นอายุที่ควรแก่การออกเรือน” เฉิงอ๋องคลี่ยิ้ม แล้วทูลขึ้นต่อ “เสด็จน้องโปรดปรานเซียวหลินอย่างยิ่ง และอยากจะให้เขาสมรสกับเหยาเอ่อร์พ่ะย่ะค่ะ เลยอยากจะกำหนดงานสมรสเสียก่อน รอให้ช่วงไว้อาลัยเสด็จแม่ครบสามปี แล้วค่อยจัดงานสมรสพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นเพียงความคิดของเสด็จน้อง ภาพโดยรวมได้เช่นไร ก็ได้โปรดเสด็จพี่ทรงตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ได้ยินจึงพอพระทัยยิ่งนัก จากนั้นก็แย้มพระสรวล “เรื่องนี้เป็นเรื่องดี! รอให้เจิ้นมีโอกาสถามไถ่เซียวหลินว่าในครอบครัวเคยเป็นการกำหนดงานสมรสหรือไม่ ถ้าไม่มี เจิ้นจะประทานงานสมรสระหว่างเหยาเอ่อร์กับเขา”

เฉิงอ๋องรีบทูลขึ้น “ขอบพระทัยในความเมตตาของเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

อวิ๋นเหยาออกเรือนให้กับเซียวหลิน? นางจะสมยอมหรือ คนที่นางโปรดปรานคือเว่ยจาง

อีกอย่างเซียวหลินผู้นั้นเหมือนจะโปรดปรานหันหมิงชั่น! นี่เป็นการสลับคู่ครองอย่างเรื่อยเปื่อยไปหรือเปล่า!

นึกถึงความสัมพันธ์ด้ายแดงที่ไม่ชัดเจน เหยาเยี่ยนอวี่ก็อดมองเว่ยจางเพียงพริบตาไม่ได้

บังเอิญเว่ยจางก็มองมาที่นางพอดี นัยน์ตาเคล้าด้วยรอยยิ้ม ดังนั้นนางจึงรีบก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา แล้วก็ลิ้มรสชาปี้หลัวในถ้วยชาเครื่องเคลือบด้วยความสงบเสงี่ยม แล้วแกล้งทำเป็นหูหนวก เพื่อที่ไม่ได้ยินคำพูดที่คนรอบข้างกำลังเสวนากัน