ภาคที่ 3 บทที่ 90 สังหารพยัคฆ์ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 90 สังหารพยัคฆ์ (1)

“ผัวะ ผัวะ ตุ้บ ตั้บ !”

เสียงซัดบางอย่างดังอู้อี้อยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง

พักหนึ่ง โจวหงจึงหยุดพลางกล่าวขึ้น “เค้นปากได้แล้ว พวกมันมาจากกลุ่มพยัคฆ์ร้าย แค่มาทำการขูดรีดเงินตามปกติ ไม่ได้รู้ตัวตนเจ้าของร้านที่แท้จริง”

หลี่ชู่หัวเราะเย็นชา “ตัวใหญ่ยังไม่พา พวกตัวกระจ้อยกลับส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู”

“จัดการเจ้าพวกนี้เสร็จเมื่อไรจะมีพวกแมลงมากันอีกเยอะเลยล่ะ” โจวหงว่า

“ไปบอกนายท่านเถอะ เขาจะคิดหาแผนเอง”

ไม่นาน ซูเฉินก็วางแผนพร้อมสรรพ ด้วยการส่งกังเหยียนมา

ทำให้คนพูดไม่ออกอยู่บ้าง

แม้กลุ่มพยัคฆ์ร้ายจะเป็นกลุ่มอันธพาลชั้นสองของเมือง แต่ก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอยู่บ้าง ไม่ว่ากังเหยียนจะแกร่งเพียงไหน แต่ก็อยู่แค่ด่านกลั่นโลหิต ให้ประมือกับคนจำนวนมากเกินไปคงตึงมือเกิน

ถึงไม่ส่งคนจากกรมพลังต้นกำเนิดมา ส่งข้ารับใช้เงามาก็ได้กระมัง ?

หากแต่ซูเฉินไล่เขาออกมา พูดเพียงว่า “แค่เขาก็พอ”

หลี่ชู่จึงได้แต่กัดฟันทนอย่างสิ้นหวัง

ยามราตรีมาถึงในที่สุด

บนถนนนั้นเงียบสงบจนผิดปกติ

วันนั้นมีร้านค้าหลายร้านปิดก่อนเวลา เหลือเพียงร้านค้าขายรุ่งเรืองเพียงร้านเดียว โคมไฟหน้าร้านส่องสว่าง หัวหน้าผู้จัดการร้านและผู้ช่วยสองสามคนอยู่ภายใน กำลังตัวสั่นงันงก ส่วนโจวหงและกังเหยียนนั่งรออยู่ด้านนอก เรื่องความแกร่งของกังเหยียนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง โจวหงเองก็อยู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว แข็งแกร่งอยู่บ้าง หากกังเหยียนรับมือไม่ไหวเขาก็พร้อมสู้ถวายชีวิต

เสียงฝีเท้าดังเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จากที่สุดมุมถนน เงาร่างนับไม่ถ้วนเผยไอสังหารออกมา ตวัดดาบในมือไปมาน่าหวาดเสียว

กลุ่มอันธพาลมักทำกร่างเช่นนี้เป็นปกติ เมื่อมีตระกูลสายเลือดชั้นสูงคอยหนุนหลังก็พากันเดินตามตรอกซอยได้โดยไม่เกรงกลัวใคร ใช้กระบองใช้ขวานรังแกชาวบ้าน ขูดรีดเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากคนไร้ทางสู้

ส่วนมากวิธีนี้มักใช้ได้ผล

แต่บางครั้งก็อาจเตะถูกตอเข้า

กังเหยียนยืนอยู่หน้าร้านค้าขายรุ่งเรือง มองกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา

นับดูคร่าว ๆ มีประมาณร้อยคน ในนั้นมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอยู่ด้วย

หากนับเรื่องจำนวนคนก็ถือว่ามากันมาก

กังเหยียนยังคงเหยียดยิ้มเยาะออกมา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้มั่นใจจนเกิดเหตุ ดังนั้นจึงเรียกเจ้าแมลงกินเหล็กออกมาไว้ที่หน้าประตูร้าน กั้นทางเข้าไว้ จากนั้นสั่งมันว่า “อย่าให้ใครเข้าไปได้”

จากนั้นก็โรยผงเหล็กไว้บนพื้นให้มันกิน แล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนกลุ่มใหญ่

“จัดการมันเลย !” คนหนึ่งร้องขึ้น

จากนั้นคนทั้งหลายก็พากันร้องตะโกนเสียงดังลั่น

แล้วพวกอันธพาลก็พุ่งเข้ามา

กังเหยียนบิดคอเสียงดังกร๊อบ แต่ไม่ได้ทำอะไรอีก จนกระทั่งมีคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามาในระยะโจมตี เขาถึงเงื้อหมัดขึ้นซัดอีกฝ่ายเสียแรงจนร่างปลิวกลับไป

ยังมีคนรุดหน้าเข้ามาอีก

กังเหยียนไม่คิดหลบ แต่หัวเราะเหอะเย้ย “กองขยะทั้งนั้น”

ผัวะ ๆ!

ดาบนับไม่ถ้วนตวัดฟันมาทางกังเหยียน แต่กลับส่งเสียงดังเคร้งราวกับฟาดลงบนหินผา

กังเหยียนขยับแขนใหญ่ของตนฟาดคนกลุ่มนั้นล้มคว่ำลงไป

หมัดขนาดยักษ์กระแทกลงบนพื้นรัว ๆ ราวกับเครื่องเจาะ ส่งเสียงดัง ตึง ตึง ตึง !

คลื่นพลังแผ่ขยายออกทั่วพื้นจนผืนดินแยกออก

หากจะกล่าวว่าเผ่าหินผามีพลังอะไรติดตัวมา ก็คงต้องกล่าวว่าพวกเขาไวต่อพลังต้นกำเนิดประเภทดินกว่าคนอื่น ๆ อยู่บ้าง ทำให้สามารถสำแดงพลังเช่นนี้ออกมาได้

กังเหยียนไม่ได้มีทักษะต้นกำเนิดประเภทดิน แต่ความเข้าใจในพลังประเภทดินและความสามารถในการควบคุมพลังนั้นทำให้เขาสามารถส่งพลังไปยังพื้นดินจุดใดก็ได้ในระยะหนึ่ง

โคลนพุ่งขึ้นมาจากพื้น กระแทกร่างคนทั้งหลายจนกระเด็นไปไกล

เหล่าอันธพาลถูกพลังซัดจนร่างกระเด็นลอยไปไม่ทันตั้งตัว เริ่มร้องเสียงขลาดกลัวออกมา

“ไสหัวออกไป !” กังเหยียนปล่อยหมัดออกไปอีกครา คลื่นพลังแผ่ออกจากหมัด ซัดคนจนกระเด็น เหลือเพียงคนไม่กี่คนที่ไม่ถูกพลังซัดไป

พวกอันธพาลชอบซ่อนผู้เชี่ยวชาญพลังไว้ในหมู่คน ใช้ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาพรางตัวเพื่อใช้โอกาสนี้ลอบโจมตี

หากแต่คลื่นพลังจากหมัดของกังเหยียนก็สามารถเปิดโปงคู่ต่อสู้ได้แม้จะไม่อาจเอาชนะคนทั้งหมดได้ในคราเดียวก็ตาม

นัยน์ตาอันธพาลคนหนึ่งที่ต้านพลังได้พลันส่องประกายวาบ “เจ้านี่มีฝีมืออยู่บ้าง แต่เท่านี้ยังไม่พอหรอก !”

พูดจบก็เผยไอสังหารรุนแรงออกมา แสงสีเลือดแผ่ออกจากร่าง แสดงให้เห็นถึงกลิ่นอายของคนด่านกลั่นโลหิตเมื่ออีกฝ่ายเผยตน คนอื่น ๆ ก็เริ่มเผยพลังออกมาเช่นกัน แต่คนอื่น ๆ นั้นอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ

กังเหยียนส่ายหน้า “พวกเจ้าน่าจะส่งคนมากกว่านี้ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการพวกเจ้าหมดเมื่อไร คนอื่น ๆ จะตามมาเอง”

“รนหาที่ตาย !” ร่างคนด่านกลั่นโลหิตพลันเลือนหาย เขารวดเร็วมาก กริชสั้นตวัดมายังช่วงท้องกังเหยียนในมุมที่คาดไม่ถึง คนอื่น ๆ ก็ออกท่าโจมตีเช่นกัน ทั้งหอกทั้งดาบเสือกเข้ามาพร้อมกัน

นี่คือพยัคฆ์สังหาร เป็นการโจมตีที่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายคิดค้นขึ้นมา ไม่ว่าศัตรูจะแกร่งเพียงไหน แต่หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณก็จะรับมือมันได้ยาก ทำได้เพียงถอยเท่านั้น

และหากถอยไป การโจมตี 18 กระบวนท่าของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายก็จะยิ่งแกร่งขึ้นว่าเก่า สุดท้ายก็จะสังหารศัตรูจนสิ้นใจ !

แม้ไม่อาจสังหารได้ในพริบตา แต่ก็ทำให้ศัตรูเหนื่อยล้า สลับกันโจมตีจนศัตรูหมดแรงสิ้นใจไป

นับเป็นกระบวนท่าที่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายมักใช้เพื่อรับมือคู่ต่อสู้ฝีมือดี แต่มีพื้นฐานพลังไม่สูงส่ง

หากแต่มันกลับไร้ผลต่อหน้ากังเหยียน

นั่นเพราะกังเหยียนไม่คิดถอยหรือหลบ

แต่พุ่งเข้าไปต่างหาก !

กล้ามเนื้อบนร่างเริ่มเปล่งแสงสีทองเรือง กลายเป็นเหมือนรูปปั้นโลหะ จากนั้นพุ่งเข้าใส่ศัตรูเต็มกำลัง

เมื่อดาบและหอกกระทบร่างก็ไม่อาจทะลวงผ่านเนื้อหนังไปได้ กังเหยียนพุ่งเข้าไปซัดเข้าที่ศีรษะคนด่านกลั่นโลหิต อีกฝ่ายรู้สึกราวกับถูกอสูรดึกดำบรรพ์โจมตี โลหิตสาดกระเซ็น

หากกระบวนท่าพยัคฆ์สังหารถูกพลังซัดครั้งเดียวทำลายลงได้ ผลการต่อสู้ก็คงมองออกได้ไม่ยาก

กังเหยียนพักแขนขาคนราวกับเป็นกิ่งไม้ จากนั้นโยนร่างพวกมันทิ้งลงพื้น ก่อนจะยืนยิ่ง ไม่ได้ถอยกลับไปแต่อย่างใด ด้วยรู้ดีว่าต้องมีคนกลุ่มพยัคฆ์ร้ายบุกเข้ามาอีกเป็นแน่

เสียงร้องโหยหวนของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายดังระงม คนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงจะโผล่ศีรษะออกมาดูเล็กน้อย ก่อนจะรีบหลบกลับไป

“ขอข้าดูหน่อย ขอข้าดู !”

ผู้ช่วยในร้านค้าขายรุ่งเรืองดูจะตื่นเต้นกันมากที่สุด ยื้อแย่งกันออกมาดูที่ประตูหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ

มีเพียงผู้จัดการร้านชราเท่านั้นที่ถอนใจ “ไอ้หยา ตีทั้งลูกน้องทั้งเบื้องบนพวกเขาเช่นนี้ ตระกูลนี้มีอิทธิพลและคนมาก เรากลับบาดหมางกับพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องจะจบลงด้วยดีได้อย่างไร ?”

โจวหงที่นั่งเล่นกับเจ้าแมลงกินเหล็กอยู่ด้านข้างหัวเราะ “ผู้จัดการร้านจางรอดูเถอะ ไม่ต้องห่วง ท่านจะไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดหรอก”

พวกเขาไม่จำเป็นรอนานด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นไม่นาน คนอีกหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้น

แต่ครั้งนี้ไม่ได้มากันมาก เพียง 5-6 คนเท่านั้น

ที่เดินนำหน้ามาคือชายร่างใหญ่ ในมือถือดาบ

เขาเดินเข้ามาก่อนทำท่าแบมือปะทะกำปั้นทักทาย “ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ลูกน้องทั้งหลายของข้ามันเขลาไม่รู้ความนัก……”

กังเหยียนยกมือขึ้น “เจ้าจะบอกว่าลูกน้องเจ้าขลาดเขลา นั่นเป็นความผิดพวกมัน แต่เจ้าเองก็ต้องรับผิดชอบที่ทำคนของข้าบาดเจ็บไปหลายคน หากเจ้ายอมจ่ายค่าเสียหายและขอโทษ เรื่องก็คงจบลงได้ใช่หรือไม่ ?”

คนผู้นั้นชะงักไป อีกฝ่ายรู้สิ่งที่เขาจะพูดได้อย่างไรกัน ?

กังเหยียนหัวเราะ “พวกเจ้าชอบทำกันเช่นนี้ อย่าเสียเวลาคุยเลย ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ ”

ที่เบื้องหลังเขาพลันมีเงาร่างยักษ์เผยขึ้น