ตอนที่ 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านแทบจะจินตนาการถึงฉากนั้นได้

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับสูตรที่หนิงเวยพูดถึงคือสูตรอะไร

 

 

เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานหลายปียังไม่เคยเจอคนกำเริบเสิบสานแบบนี้มาก่อน

 

 

ขณะนี้ความโกรธแผ่ซ่านอยู่ในอกแทบจะทนไม่ไหว อากาศโดยรอบแทบลุกเป็นไฟ

 

 

“อืม ได้ยินแล้ว” ผู้บัญชาการเฉียนยิ้ม ทว่าไม่มีรอยยิ้มอยู่ใต้เปลือกตา เขาพูดเรียบๆ “กล้าดีนัก กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”

 

 

หนิงเวยกลัวจนตัวสั่นกับคำพูดของทั้งสอง

 

 

“น้า มู่หนานไปไหนกันแน่?” ฉินหร่านคืนแฟ้มคดีให้ผู้บัญชาการเฉียนพลางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยความโมโห

 

 

หนิงเวยเงียบ

 

 

เสียงใสแจ๋วดังมาจากข้างนอกประตู “อยู่บ้าน” เฉิงเจวี้ยนกำลังพิงกับขอบประตู น้ำเสียงฟังออกถึงความอึดอัดใจ “ตามที่คาดไว้น่าจะไปเจรจากับคนของทางฝั่งนั้น”

 

 

ไม่ต่างจากที่ฉินหร่านคิดไว้

 

 

เธอมีสีหน้ามืดมนเล็กน้อย มองไปทางหนิงเวย “น้า ทำใจให้สบาย” จากนั้นก็หันไปมองผู้บัญชาการเฉียน พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ออกถึงความรู้สึก “พวกเราไปกันเถอะ”

 

 

หนิงเวยคว้าผ้าปูที่นอน “หร่านหร่าน พวกเธอสองคนจะทำอะไร? อย่าใจร้อน!”

 

 

“ไม่ต้องห่วง หนูไม่ใจร้อนหรอก” ฉินหร่านไม่หันกลับมา

 

 

ใจร้อน?

 

 

ไม่ต้องถึงกับให้ทีม 129 เข้าร่วม มีแค่ผู้บัญชาการเฉียน คนพวกนี้ก็หนีไปไหนไม่รอดแม้แต่คนเดียว

 

 

เธอออกไปพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ไปพร้อมกับทั้งสองเพราะโรงงานพลาสติกชั้นต่ำพรรค์นี้ แค่ผู้บัญชาการเฉียนไปก็เกินกำลังแล้ว

 

 

เขาเพียงเดินไปที่ข้างเตียงหนิงเวย ยื่นมือไปหยิบประวัติการรักษาที่อยู่ปลายเตียงหนิงเวย

 

 

เขาเอนตัวพิงหัวเตียงเล็กน้อย พลิกดูแบบลวกๆพลางขมวดคิ้ว มิน่าล่ะถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟซะขนาดนี้

 

 

หลังจากคิดได้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสาย

 

 

จากนั้นก็มองไปทางหนิงเวยและกล่าวทักทายเธออย่างมีมารยาท “น้าหนิง”

 

 

เขามองเธอและหยุดไปสักพัก จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผู้บัญชาการเฉียนที่มาเมื่อกี้เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิง ซึ่งใหญ่เป็นสามอันดับแรกในแวดวงการสืบสวนอาชญากรรมในประเทศ ไม่ต้องพูดถึงผู้จัดการโรงงานคุณคนนั้นหรอก ถึงจะมีเจ้าถิ่นใหญ่คนนั้นคอยหนุนหลังก็หนีไม่รอด”

 

 

หนิงเวยเคยเจอเฉิงเจวี้ยนตอนที่เฉินซูหลานป่วยเมื่อคราวที่แล้ว หนุ่มคนนี้ทั้งหน้าตาดีและสุภาพ

 

 

ขณะนี้เมื่อได้ฟังที่เฉิงเจวี้ยนพูด เธอก็ถึงกับอึ้ง

 

 

แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินเรื่องกองสืบสวนอาชญากรรม

 

 

คำว่า “สามอันดับแรก” ที่เพิ่มเข้ามา ก่อนหน้านี้เธอฟังคอยไม่ชัด

 

 

ใหญ่?

 

 

หร่านหร่านไปรู้จักกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?

 

 

หนิงเวยยังไม่ทันได้สติ

 

 

ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ

 

 

เฉิงเจวี้ยนหันกลับไป ก้มตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็นำประวัติการรักษากลับไปแขวนไว้พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เข้ามา”

 

 

ทันใดนั้นกลุ่มแพทย์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการตกตะลึง เธอเห็นกลุ่มแพทย์เข้ามาในห้องผู้ป่วยเยอะกว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทำการรักษาเมื่อวานนี้เสียอีก ทั้งยังมีท่าทีเข้มงวดและสุภาพ ทำการตรวจอย่างละเอียดด้วยความกระตือรือร้น

 

 

นำโดยหมอที่มีอายุ บนหน้าอกมีป้ายห้อยไว้ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาล” เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง?

 

 

“เอารายงานสภาพร่างกายมาให้ผม” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรีบยื่นข้อมูลจำนวนหนึ่งให้เขาทันที 

 

 

เฉิงเจวี้ยนรับมาเปิดอ่าน เขาเปิดดูด้วยความรวดเร็วพลางเหลือบมองหนิงเวยเป็นครั้งคราว

 

 

เขาอ่านรายงานจำนวนยี่สิบหน้าภายในเวลาไม่ถึงสามนาที 

 

 

จากนั้นก็คืนข้อมูลให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

 

 

คนด้านข้างส่งชุดผ่าตัดสีขาวให้เขาในทันที

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทำการรักษา สภาพร่างกายของคนไข้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกยี่สิบนาทีพาไปที่ชั้นยี่สิบสอง…” เฉิงเจวี้ยนสวมเสื้อกาวน์ ขณะที่ติดกระดุมให้ตัวเองก็เดินออกไปข้างนอก เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็นแต่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

ไม่ได้ทำตัวง่วงเหงาหาวนอนเหมือนก่อนหน้านี้

 

 

หนิงเวยยังอยู่ในอาการงุนงง มีคนเข็นไปที่ห้องผ่าตัดทั้งอย่างนี้ “คุณ…พวกคุณจะตัดขาแล้วเหรอ?”

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยาบาลที่สวมผ้าปิดจมูกพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนิงไม่ต้องกลัวนะคะ มีคุณหมอเฉิงอยู่ ถึงขาคุณจะโดนบิดขนาดไหน เขาก็ทำให้คุณกลับมายืนได้” 

 

 

เมื่อคืนฉินหร่านบอกเธอก่อนแล้วว่าขาเธอที่ควรจะถูกตัดจะต้องไม่โดนตัด

 

 

วันนี้จู่ๆพยาบาลคนนี้ก็มาบอกว่าเธอจะกลับมายืนได้

 

 

ทั้งยังเรื่องผู้บัญชาการเฉียน หนิงเวยมึนงงอย่างมากหลังจากได้รับยาสลบ

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

บ้านของมู่หนานอยู่ในแฟลต

 

 

ชั้นหกยังไม่มีลิฟต์

 

 

เมื่อก่อนในแฟลตนี้มีคนเป็นจำนวนมาก

 

 

วันนี้แฟลตที่เป็นบ้านของมู่หนานกลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

 

รถตู้สีดำสองคันจอดอยู่ชั้นล่าง

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนจอดรถทิ้งไว้และรับโทรศัพท์ “ถอนคนออกจากโรงงานพลาสติกเหอไห่หมดแล้ว?”

 

 

เขาลงจากรถและแจ้งพิกัดบ้านของมู่หนานให้กับลูกน้อง

 

 

ฉินหร่านลงจากอีกประตูหนึ่ง

 

 

เธอหลุบตาลง ในดวงตามองเห็นเป็นสีเลือดที่เย็นเฉียบ 

 

 

ฉินหร่านเป็นคนสวย เมื่อเธอกลับมาที่บ้านตระกูลมู่อีกครั้ง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักเธอ

 

 

เมื่อคุณยายแก่ผมขาวที่กำลังถือตะกร้าผักใบหนึ่งเพิ่งกลับมาจากตลาดสดเห็นฉินหร่านกำลังจะขึ้นไปข้างบนก็รีบเรียกเธอ “สาวน้อย ยังไงก็อย่าขึ้นไปข้างบนเลย เมื่อกี้มีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปหาน้องชายเธอ คนกลุ่มนั้นยังมีรอยสักบนตัวด้วย ดูน่ากลัวมาก!”

 

 

พอชายเสื้อถูกรั้งไว้ ฉินหร่านก็ก้มหน้ามองตาขุ่นมัวของคุณยายที่นัยน์ตาอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอสูดหายใจ

 

 

“ขอบคุณค่ะคุณยาย หนูจะอยู่ดูข้างนอกสักหน่อยก็กลับแล้ว”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนวางสาย “พวกเขาออกเดินทางแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับเรา ที่โรงงานพลาสติกเหอไห่พบกล้องวงจรปิดแล้วแต่โดนทำลายไปหมดแล้ว อีกสิบนาทีกว่าจะถึง”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า “ส่งกล้องวงจรปิดเข้ามือถือฉัน”

 

 

ไม่ต้องพูดถึงว่ากล้องวงจรปิดถูกทำลาย ถึงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็สามารถทำให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเพื่อให้คนพวกนั้นดูได้

 

 

ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินขึ้นไปข้างบน

 

 

คุณยายยืนมองอยู่ข้างหลังพวกเขาได้สักพัก จากนั้นก็ส่ายหัว ถอนหายใจและจากไป

 

 

**

 

 

ชั้นหก

 

 

“นี่เงินสองหมื่นหยวนเป็นค่าชดเชยให้แม่แก” ชายวัยกลางคนใบหน้าอวบๆและมีรอยสักหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าพลางหันหน้าเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ

 

 

คนข้างๆเขาโยนเงินก้อนเล็กลงบนโต๊ะทันที

 

 

ภายในห้องอัดแน่นไปด้วยชายกำยำชุดดำจำนวนหนึ่งที่พอถลกแขนเสื้อขึ้นก็จะพบแต่รอยสักสีฟ้าอยู่บนตัว

 

 

มู่หนานไม่ได้มองไปที่เงินแต่มองไปทางลั่วไซหูด้วยสายตาล้ำลึก “พวกแกจงใจ?”

 

 

ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะและชำเลืองมองไปที่มู่หนาน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากประตูใหญ่

 

 

ยังจะมีคนมาในเวลานี้อีกเหรอ?

 

 

ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขาหันไปทางประตูโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อมู่หนานนึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าก็เปลี่ยนสี เขาหันไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาก็ได้หยิบกุญแจของหนิงเวยมาด้วย เธอเปิดประตูตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน

 

 

หมวกเสื้อกันหนาวยังคงสวมไว้ที่หัว ไม่ได้ดึงลงมา วันนี้เธอตั้งใจเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีดำทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่เสื้อนอกชุดนักเรียน

 

 

ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย ชำเลืองมองทุกคนในห้องโดยไม่มีท่าทางประหลาดใจใดๆ มีแต่ความเย็นชาลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด

 

 

เธอยื่นมือออกไปรั้งปีกหมวกของเธอลงเพื่อปกปิดเลือดในตาที่แทบจะปกปิดไม่มิด

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่าน ชายวัยกลางคนก็ตาเป็นประกาย ผู้บัญชาการเฉียนเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าเงียบๆเพื่อขัดขวางสายตาของชายวัยกลางคน

 

 

คนก็มาถึงในห้องหมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้รีบร้อน  แต่ตอบคำถามของมู่หนานด้วยความใจดีว่า “จะจงใจหรือไม่ไม่สำคัญ คนหนุ่มสาวไม่ต้องเดือดดาลไปหรอก การเกิดอุบัติเหตุในโรงงานในแต่ละครั้งก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา”

 

 

มู่หนานเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วจมลงในฝ่ามือ

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บใบหน้าชายวัยกลางคนสลักลึกเข้าไปในหัว 

 

 

“แกไม่กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ?” มู่หนานกดเสียง แหบเล็กน้อย แต่ฟังก็รู้ว่ากำลังใจเย็นที่สุด

 

 

ชายวัยกลางคนส่ายหน้าราวกับได้ยินเรื่องตลก จากนั้นก็พูดด้วยความเห็นใจ “แกคิดว่าฉันจะให้พวกแกได้กล้องวงจรปิดไปงั้นเหรอ? ไม่มีกล้องวงจรปิดแล้วใครจะรู้ว่าพวกแกกำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อจะเอาเงินชดเชยจากพวกเรา? ที่จริงแล้วแม่แกก็เป็นคนพิการอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นก็ซื้อแอคหลุมปั่นกระแสบนอินเทอร์เน็ตว่าแม่แกสร้างสถานการณ์ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แกว่าใครจะซวยล่ะ?”

 

 

มือทั้งสองข้างของมู่หนานสั่นเทาเมื่อได้ยินถึงตรงนี้

 

 

“อย่าโมโหแบบนี้สิ” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ “พวกแกจะแจ้งตำรวจก็แล้วแต่พวกแกเลย แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ..” 

 

 

สายตาหันไปหยุดที่ร่างของฉินหร่าน หรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่น้องสาวแกเหรอ?”

 

 

เขาไม่สนพวกกุ้งฝอยอย่างมู่หนานหรือหนิงเวยเลยสักนิด การที่ทำให้หนิงเวยเสียไปแล้วหนึ่งขาไม่เพียงแต่เป็นการตักเตือน แต่สาเหตุมาจากการดูถูก

 

 

เมื่อเห็นสายตาของชายวัยกลางคนหันไปทางฉินหร่าน หัวใจมู่หนานก็บีบแน่น “เดี๋ยวก่อน ฉันจะเอาของให้แก แกรีบไปซะ!”

 

 

จากนั้นก็กลับไปในห้องและหยิบเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้ลั่วไซหู

 

 

“จริงๆแล้วแกฉลาดกว่าแม่แกเสียอีก” ลั่วไซหูรับกระดาษมาจากมือมู่หนานด้วยตาเป็นประกาย “ถ้าแม่แกรู้จักวางตัวแบบนี้จะได้รับความทุกข์ทรมานเหรอ?”

 

 

เขาสูบบุหรี่อีกมวนแล้วนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลี่บนโต๊ะ อ่านอย่างละเอียด

 

 

ยิ่งอ่าน สายตาละโมบโลภมากก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น

 

 

จากนั้นเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

 

 

มู่หนานชี้ออกไปทางประตูพลางพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนนี้พวกแกไปได้หรือยัง?”

 

 

“ไป?” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แน่นอนว่าไปก็ได้”

 

 

เขาลุกขึ้นเดินไปข้างๆฉินหร่าน

 

 

แววตาแฝงไปด้วยความหยาบช้า “แต่น้องสาวแกจะต้องไปกับฉันด้วย”

 

 

มู่หนานเดินไปข้างหน้า มีเอ็นปูดบนใบหน้าของเขา “แกกล้า!”

 

 

“จับผู้ชายสองคนนี้ไว้” ชายวัยกลางคนเบื่อจะสนใจมู่หนานจึงสั่งการลูกน้อง

 

 

ลูกน้องรีบเข้าไปรวบมือทั้งสองข้างของมู่หนานและจับตัวผู้บัญชาการเฉียนไว้อย่างง่ายดาย

 

 

ในขณะนี้——

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋าฉินหร่านก็ดังขึ้น

 

 

เธอก้มหน้าดูก็พบว่าเป็นกู้ซีฉือ

 

 

“ถึงแล้วเหรอ?” เธอพูดเรียบๆราวกับไม่รู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

 

 

กู้ซีฉือที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้ขึ้นรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เขาสวมแว่นกันแดดทรงกว้าง “โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งใช่ไหม? ห้องไหน?”

 

 

ฉินหร่านจึงบอกชื่อห้องผู้ป่วยของหนิงเวย “มีคนอยู่ นายระวังตัวด้วย!”

 

 

คนที่เธอพูดถึงแน่นอนว่าเป็นผู้บัญชาการห่าว เฉิงมู่ และยังมีลู่จ้าวอิ่ง

 

 

กู้ซีฉือเกี่ยวแว่นตาพลางยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”

 

 

หลังจากวางสายฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น คนทั้งห้องกำลังมองเธออยู่

 

 

แม้แต่ชายวัยกลางก็ประหลาดใจมาก เสียงคุยโทรศัพท์ของฉินหร่านดูเรียบเฉยเกินไป น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดราวกับว่ากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้ก็ไม่ปาน

 

 

เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หรือโง่กันแน่?

 

 

ชายวัยกลางคนผงะ จากนั้นก็กลับมาตั้งสติ เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าว

 

 

ฉินหร่านกลับเดินข้ามเขาเลยไปที่โต๊ะก่อน

 

 

เธอปัดเงินที่อยู่บนโต๊ะลงพื้น จากนั้นลากเก้าอี้มานั่ง เธอก้มหน้าลงพลางกางโทรศัพท์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กเพื่อเรียกภาพกล้องวงจรปิดที่เพิ่งส่งมาให้เธอ

 

 

เริ่มทำการกู้คืน

 

 

“เธอทำอะไรน่ะ?” ชายวัยกลางคนยังไม่รู้ตัว

 

 

คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ฝีไม้ลายมือก็เก้ๆกังๆ ฉินหร่านกู้คืนด้วยความรวดเร็ว พอได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พิงกับพนักเก้าอี้และพูดด้วยเสียงเรียบๆ “อยากรู้ก็มาดูเอาเอง”

 

 

ชายวัยกลางคนมองเธอผู้มีใบหน้าเย็นชาขั้นสุดที่แผ่รังสีอันตรายร้ายแรง

 

 

เขาเดินเข้าไปและก้มหน้าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ

 

 

ในนั้นมีภาพกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุที่ถูกทำลายไปแล้วโผล่ขึ้นมา

 

 

ภาพที่ปรากฏคือเขาและพนักงานอีกสองสามคนกำลังทำงานบนเครื่องจักรที่หนิงเวยทำงานอยู่ และยังมีวิดีโออื่นๆอีกมากมายที่ถูกเขาทำลาย

 

 

ชายวัยกลางคนหน้าถอดสี เขาเอื้อมมือไปคว้าไมโครคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน

 

 

แต่ฉินหร่านเร็วกว่าเขาจึงเก็บไว้ได้ทัน

 

 

เธอก้มหน้าเก็บไมโครคอมพิวเตอร์กลับไปโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน

 

 

จากนั้นก็เอื้อมมือดึงหมวกเสื้อกันหนาวที่อยู่บนหัวลง ถอดยางรัดผมสีดำออกจากข้อมือแล้วมัดผมหลวมๆ

 

 

ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว เอียงศีรษะและเหลือบมองผู้บัญชาการเฉียน พูดอย่างสุขุมว่า “หลักฐานพอแล้ว ตอนนี้ฉันลงมือได้หรือยัง?”

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

ผู้บัญชาการห่าวและป้าโจวออกตามหาผู้บัญชาการเฉียนไปทุกที่แต่กลับไม่พบร่องรอย

 

 

เมื่อสอบถามได้ว่าตอนนี้เฉิงมู่กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งและดูเหมือนว่าน้าของฉินหร่านเกิดอุบัติเหตุ

 

 

ทั้งสองได้หมายเลขห้องผู้ป่วยจากผู้อำนวยการโรงพยาบาล

 

 

เขากับลู่จ้าวอิ่งขับรถมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้กองสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมดวุ่นวายกันขนาดนี้

 

 

รถสีน้ำเงินเข้มจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล

 

 

รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดในเวลาเดียวกัน

 

 

คนที่ลงจากรถเป็นชายสวมชุดลำลองสีขาวคนหนึ่ง สวมแว่นกันแดดสีดำทรงกว้าง แต่เขาไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่สง่างามของเขาได้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่รอผู้บัญชาการห่าวจอดรถก็เหลือบมองไปเรื่อย จากนั้นสายตาก็หยุดชะงัก