บทที่ 147 เรื่องราว (1)
“หาเจอแล้วหรือ” สวี่ชีอันโพล่งออกมา เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และหันไปมองแมวสีส้มอย่างตื่นเต้น

แมวสีส้มจ้องมองที่ทำการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างระแวดระวัง และพูดว่า “เมื่อไม่นานมานี้ ข้าสัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของหมายเลขหก…แต่ระหว่างทางที่ข้ารีบมาหาเจ้า การเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็สลายไป”

“เช่นนั้นหมายเลขหก…” สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไป

แมวสีส้มส่ายหน้า “ไม่รู้สถานการณ์โดยรวม แต่การคาดเดาก่อนหน้านี้ถูกต้อง เขาถูกผนึกไว้จริงๆ และเมื่อสักครู่นี้คงจะมีเหตุผลบางอย่าง ผนึกจึงคลายออก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แมวสีส้มก็นิ่งไปพักหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรต่อ

ทำไมจู่ๆ ถึงถูกคลายผนึก มีเพียงสองความเป็นไปได้เท่านั้น หนึ่งคือหมายเลขหกถูกเคลื่อนย้าย สองคือหมายเลขหกจากไปแล้ว

“รีบไปแจ้งเว่ยเยวียน” แมวสีส้มเร่งรัด

อยากที่จะอ่านสีหน้าไร้อารมณ์ของแมว แต่สวี่ชีอันได้ยินความวิตกกังวลที่ท่านนักพรตซ่อนไว้ในน้ำเสียง

แม้ว่าท่านนักพรตจะเป็นเฒ่าเงินปากผี แต่ก็ยังคงเอาใจใส่สมาชิกในพรรคฟ้าดินมาก…สำหรับข้า นี่เป็นเรื่องดี เจอปัญหาในอนาคตจะได้ขอความช่วยเหลือจากเขา… สวี่ชีอันพยักหน้า และพูดว่า “ข้าจะไปทันที”

เขาสับเท้าวิ่งเข้าไปในที่ทำการ

เมื่อแผ่นหลังของเขาจางหายไป แมวสีส้มก็พ่นลมหายใจเบาๆ และครุ่นคิดในใจ

ลั่วอวี้เหิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่ยอมลงมือเองตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการฝึกฝนและอายุของนาง หายนะน่าจะยังมาไม่ถึง นางจึงไม่ลงมือโดยไม่มีเหตุผล

อยากเป็นราชครู แต่ไม่อยากบำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิ ไม่รู้ว่านางวางแผนอะไรอยู่กันแน่ เฮ้อ ช่วยหมายเลขหกให้ได้ก่อนเถอะ ถ้าเขายังไม่ตายไปเสียก่อน

ขณะที่กำลังครุ่นคิด นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ได้ยินเสียงแมวร้อง จึงเอียงคอมอง แมวสีเทาตัวใหญ่เดินเข้ามา วนรอบตัวเขา และดมไม่หยุด

นักบวชเต๋าจินเหลียนเพิกเฉยมัน และครุ่นคิดเรื่องในใจต่อ ทันใดนั้น แมวสีเทาตัวใหญ่ก็อ้อมไปอยู่ข้างหลังเขา และพิงตัวไปข้างหน้า ขยับขึ้นลง…

“หือ” นักบวชเต๋าจินเหลียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบสนองในทันที เขาโกรธจัด และหันไปรัวหมัดใส่แมวสีเทาตัวใหญ่ไม่ยั้ง

สวี่ชีอันพุ่งทะยานเข้าไปในหอเฮ่าชี่ โดยไม่ต้องเสียเวลารอผ่านด่าน ขณะที่วิ่งเขาหยิบตราทองคำออกมา และตะคอกใส่ทหารรักษาพระองค์ “เร่งด่วนที่สุด ไสหัวไป”

เมื่อมาถึงชั้นเจ็ด เขาก็เห็นเว่ยเยวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ในหอสังเกตการณ์ และเป็นฝ่ายพูดก่อน “มีธุระอะไร”

“เว่ยกง เป็นไปได้ว่าจะมีข่าวของเหิงฮุ่ย” สวี่ชีอันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเรื่องไร้สาระเกินจำเป็น

“เจ้าหาเจอได้อย่างไร” เว่ยเยวียนหันกลับมา

“เมื่อไม่นานมานี้ ในที่สุดนักบวชเต๋าจินเหลียนแห่งพรรคฟ้าดินจับตำแหน่งของหมายเลขหกได้ ผ่านปฏิกิริยาระหว่างชิ้นส่วนหนังสือปฐพี” สวี่ชีอันกล่าว

“หมายเลขหกแห่งพรรคฟ้าดินเป็นศิษย์พี่ของเหิงฮุ่ย และเป็นภิกษุของวัดมังกรเขียว นามฉายาเหิงหย่วน ตอนเขากำลังตามหาแหล่งกบดานของศิษย์น้องเหิงฮุ่ย เขาก็หายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะถูกเหิงฮุ่ยหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจผนึกไว้”

หรือกล่าวได้ว่า สถานที่ที่หมายเลขหกอยู่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือเหิงฮุ่ย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ต้องให้ความสนใจ

เว่ยเยวียนพยักหน้า กลับไปที่ห้องน้ำชา หยิบพู่กันบนโต๊ะมาเขียน และประทับตราหยก “เจ้านำหนังสือคำสั่งของข้าไปหาหยางเยี่ยน ให้เขาเรียกระดมฆ้องทองคำทั้งหมดมารวมตัวกันที่ลานด้านหน้าที่ทำการภายในหนึ่งเค่อ เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ”

“นักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ด้านนอกที่ทำการ จำเป็นต้องให้เขานำทาง…” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

“ข้ารู้” เว่ยเยวียนพยักหน้า

“ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง” สวี่ชีอันลังเลครู่หนึ่ง “เหิงฮุ่ยอยู่ที่เมืองชั้นใน หากเกิดการต่อสู้ขึ้น ประชาชนจะได้รับบาดเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้”

การสลายคนที่อยู่รอบๆ เป็นวงกว้างจะต้องถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็นแน่ แม้ว่าค่ายกลของสำนักโหราจารย์จะลึกลับซับซ้อน แต่ก็ไม่อาจตระเตรียมล่วงหน้าได้ เท่ากับเปล่าประโยชน์

“นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เว่ยเยวียนจ้องเขา และชี้แนะ “นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าอยากบอกกับเจ้ามาตลอดเช่นกัน ข้าเกลียดการมีอยู่ของการดูถูกชีวิตมนุษย์เหมือนกัน แต่บางครั้งพวกเราก็ต้องรู้จักเลือก”

“เหิงฮุ่ยเกี่ยวข้องกับคดีซังผอ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกปิดผนึก เกี่ยวข้องกับแผนการร้ายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ขอเพียงมีโอกาส ก็จะจับหรือสังหารโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น”

“อย่าได้ทิ้งการใหญ่ด้วยเรื่องเล็กๆ เพราะมโนธรรมชั่วครู่ เช่นนั้นมีแต่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่า”

“ข้าอ่านสำนวนความของคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อแล้ว สิ่งที่ถูกปิดผนึกชอบสูบกินเลือดลมปราณเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ตอนนี้เหิงฮุ่ยไม่ได้ก่อเหตุฆาตกรรม แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเขาจะเก็บตัวเงียบไปตลอด ด้วยความแข็งแกร่งของสิ่งที่ถูกปิดผนึก หากสูบกินเลือดลมปราณของคนธรรมดาอย่างกำเริบเสิบสาน นั่นจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากยิ่งขึ้น”

เว่ยเยวียนกำลังเตือนข้าว่าอย่าทำผิดพลาด…เรื่องที่ฟันดาบใส่ฆ้องเงินจู แม้ดูเหมือนเขาก็ไม่พูด แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการของข้า…เขาเป็นที่ปรึกษา แต่ข้าเป็นตำรวจ แม้ว่าข้าจะง่วนอยู่กับการเอาใจเหล่าพี่สาวในหอนางโลม…อืม แบบนี้เขาไม่เรียกว่าเศษเดน แต่เรียกว่าให้ความอบอุ่นแก่พวกนางต่างหาก

ขณะที่ความคิดส่องประกาย เขาประสานหมัดคารวะ “ขอรับ”

สวี่ชีอันรับหนังสือคำสั่งถอยออกไป

เขาไปหาหยางเยี่ยนทันที พอได้เจอฆ้องทองคำผู้มีใบหน้าอัมพาตกลางโถงเสินเชียง เขาเผชิญกับสายตาตั้งคำถามของอีกฝ่าย และส่งหนังสือลายมือของเว่ยเยวียนให้

เมื่อหยางเยี่ยนอ่านจบ ใบหน้าที่แข็งกระด้างราวกับแกะสลักก็แสดงความตึงเครียดออกมาเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดท่านพ่อบุญธรรมเรียกระดมฆ้องทองคำทั้งหมด”

“พบแหล้งกบดานของผู้ต้องสงสัยภิกษุเหิงฮุ่ยแล้ว” สวี่ชีอันกล่าว

สายตาของหยางเยี่ยนเฉียบแหลมขึ้นในฉับพลัน เขาลุกขึ้น และยื่นมือออกไป หอกสีเงินที่แขวนอยู่บนชั้นไม้ลอยเข้ามาในมือของเขา “ฟุ่บ”

“ฆ้องทองคำหยาง…” สวี่ชีอันตะโกน และถามอย่างแปลกใจ “ไม่มีฆ้องทองคำประจำที่ทำการ ความปลอดภัยของเว่ยกงจะไม่ถูกคุกคามหรือ”

“ข้าไม่รู้” หยางเยี่ยนส่ายหน้า

ไม่รู้หรือ สวี่ชีอันมองเขาอย่างงุนงง และฟังเขาอธิบาย “ไม่มีใครรู้ว่าพลังป้องกันของท่านพ่อบุญธรรมมีมากเท่าไหร่ และแข็งแกร่งเพียงใด”

พลังป้องกันถูกเก็บไว้เป็นความลับหรือ จริงหรือหลอกก็ทำให้คนคาดเดาไม่ได้…เว่ยเยวียนเป็นจอมวางแผนที่เจ้าเล่ห์เพทุบายจริงๆ

ในไม่ช้า ฆ้องทองคำซึ่งนั่งอยู่ในโถงก็ถูกเรียกมารวมกันที่ลานด้านหน้าที่ทำการ

ในเวลาเดียวกันยังมีฆ้องเงินอีกสามสิบคนที่ถูกเรียกมาด้วย แต่ไม่มีฆ้องทองแดงเลยสักคน หากเกิดการปะทะขึ้น พวกฆ้องทองแดงไปด้วยน่าจะกลายอาหารกันหมด

สวี่ชีอันวิ่งออกจากประตูที่ทำการ และมองไปรอบๆ เห็นแมวสีส้มอยู่ข้างๆ แผงลอยขายเกี๊ยวไม่ไกล

“นักบวชเต๋าจินเหลียน มานี่ๆ…” สวี่ชีอันกวักมือเรียก

แมวสีส้มไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย และมองหม้อใบใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ ดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากข้างใน

เกิดอะไรขึ้นกับท่านนักพรต หิวหรือ ท่ามกลางความงุนงงของสวี่ชีอัน เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “ข้าอยู่นี่”

เมื่อหันกลับไปมอง แมวสีเทาตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็ยืนอยู่ข้างหลัง และมองเขาอย่างเงียบๆ

“ทำไมท่านเปลี่ยนเป็นแมวตัวนี้” สวี่ชีอันถามอย่างประหลาดใจ

“นั่นเป็นแมวตัวเมีย…” แมวสีเทาตัวใหญ่อธิบาย ดูไม่อยากพูดถึงมันอีก และเปลี่ยนเรื่อง “ที่ข้าอยู่กับพวกเจ้า เว่ยเยวียนมีท่าทีอย่างไรบ้าง”

“เว่ยกงยินดีร่วมมือกับท่าน” สวี่ชีอันกล่าว

แมวสีเทาตัวใหญ่พยักหน้า กระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนไหล่ของสวี่ชีอัน และหัวเราะออกมาเบาๆ ข้างหูเขา “เว่ยกง…ความเคารพที่เจ้ามีต่อเว่ยชิงอีลึกซึ้งกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งมาก”

“จนถึงนี้ ข้ายังไม่เห็นข้อบกพร่องกับความประพฤติที่ชวนรังเกียจในตัวเขาเลย” สวี่ชีอันเดินไปพลางกระซิบว่า

“หมายเลขหกอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กทางทิศตะวันออกของเมืองชั้นนอกชั่วคราว ที่นั่นทรุดโทรมเหลือทน ราชสำนักค้างชำระเงิน คนชรากับเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงก็ใกล้จะอดตายกันแล้ว ข้าเปิดเผยข้อมูลของหมายเลขหกให้เว่ยกง เขาไม่ได้ไล่หมายเลขหก แต่กลับส่งเงินบริจาคให้ ทว่าสถานรับเลี้ยงเด็กไม่ใช่พื้นที่ที่อยู่ในอำนาจการควบคุมของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”

“อืม เจ้ากำลังเปิดเผยข้อมูลภายในพรรคฟ้าดินให้กับเขาจริงๆ” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ใช่

นี่มัน… สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ และรู้สึกละอายใจเมื่อนกสองหัวถูกเจ้านายจับได้ แต่เขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และยักไหล่

“ข้าได้รับความไว้วางใจจากเว่ยกง เพื่อจะได้รับข้อมูลที่มากยิ่งขึ้น และเติมเต็มระบบข่าวกรองของพรรคฟ้าดินของพวกเรา เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี…ท่านนักพรตทำไมไม่พูดไม่จาล่ะ”

“ไร้ยางอายเกินไป ข้าไม่อยากพูด” แมวสีเทาตัวใหญ่หัวเราะเยาะ “เจ้าเหมาะกับเส้นทางข้าราชการมาก”

“แต่เว่ยเยวียนบอกว่าข้ารับราชการไม่ได้”

“ถึงแม้จะไร้ยางอาย แต่ขีดจำกัดยังอยู่ เสียเปรียบได้ง่ายๆ” นักบวชเต๋าจินเหลียนแสดงความคิดเห็น

“จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนราชครูพบข้า ก็เห็นความพิเศษของข้า และถามวันเดือนปีเกิดของข้า แต่ไม่ได้คำนวณออกมา” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจนปัญญา

แมวสีเทาครุ่นคิดครู่หนึ่ง และถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ความพิเศษของข้า…มองทางขวา”

แมวสีเทา “…”

สวี่ชีอันขึ้นขี่แม่ม้าตัวน้อย และเดินเสียงดังกุบกับอยู่ข้างหน้า โดยมีฆ้องทองคำกับฆ้องเงินกลุ่มหนึ่งตามอยู่ข้างหลัง

แมวสีเทาตัวใหญ่เกาะอยู่บนไหล่คอยชี้ทาง

หลังจากเดินไปเป็นเวลาสองก้านธูป จู่ๆ มันก็พูดว่า “หยุด ข้างหน้านั่น…ลานเล็กนั่นล่ะ กลิ่นอายของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอยู่ที่นั่น”

สวี่ชีอันรั้งบังเหียนม้า ฆ้องทองคำกับฆ้องเงินที่อยู่ข้างหลังก็รั้งบังเหียนม้าพร้อมกัน กองกำลังขนาดใหญ่หยุดลง

เขาส่งสัญญาณไปทางข้างหลัง และชี้ลานเล็กที่อยู่ข้างหน้า

ฆ้องทองคำสิบคนมองหน้ากันเงียบๆ และหายไปจากหลังม้าอย่างรู้งาน ร่างของแต่ละคนปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันของลานเล็ก ปิดกั้นเส้นทางที่อาจหลบหนีได้

เหล่าฆ้องเงินล้อมอยู่วงนอก

สวี่ชีอันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และพบว่าเหล่าฆ้องทองคำไม่ได้ลงมือ แต่กลับขมวดคิ้วมองไปที่ลานเล็ก

เกิดอะไรขึ้น หนีไปแล้วหรือ

เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาของบ้านข้างๆ จากมุมนี้สามารถมองเห็นลานเล็กได้

ลานไม่กว้างมาก ปลูกต้นหลิวไว้สองต้น ภายในลาน มีภิกษุสองรูปนั่งขัดสมาธิอยู่ รูปหนึ่งสองมือประสานกัน และสวดอย่างแผ่วเบา

อีกรูปหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำ ก้มหัวต่ำ ไม่พูดไม่จา

ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหิงฮุ่ยและเหิงหย่วนนั่นเอง

เกิดอะไรขึ้น สวี่ชีอันเหลือบมองแมวสีเทาตัวใหญ่บนไหล่ของเขา และพบว่าในดวงตาของมันก็มีความสงสัยแบบเดียวกันเช่นกัน

“ไปดูกัน” หัวเล็กๆ ของแมวสีเทาตัวใหญ่ ส่งเสียงร้องกระตุ้นสวี่ชีอันด้วยความสงสัยอย่างมาก

ตอนนี้อีกฝ่ายเห็นหยางเยี่ยนถือหอกเดินเข้าใกล้

“พวกเจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง เขาไปสู่แดนสุขาวดีแล้ว” เสียงของเหิงหย่วนว่างเปล่า ไม่ยินดียินร้าย แต่ล้นเอ่อด้วยความโศกา

ตายแล้วหรือ ผลลัพธ์ไม่คาดคิดทำให้สวี่ชีอันไม่ทันได้ตั้งตัว และคิดไปโดยอัตโนมัติว่านี่เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิด เป็นการหลอกลวง และเป็นการถ่วงเวลา

หยางเยี่ยนใช้ปลายหอกเลิกผ้าคลุมศีรษะของเหิงฮุ่ย นั่นเป็นใบหน้าที่เสื่อมสลาย ดวงตาปิดสนิท ไร้ชีวิตแล้ว

หยางเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยให้ฆ้องทองคำทุกคน และยืนยันว่าเหิงฮุ่ยตายแล้ว

“ระหว่างข้ากับความตาย เขาเลือกอย่างหลัง และถูกมือปีศาจช่วงชิงพลังชีวิตไป” เหิงหย่วนสวดมนตร์อย่างแผ่วเบา

“หยางเยี่ยน ดูแขนขวาของเขาสิ” เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงต่ำ

หยางเยี่ยนสะบัดปลายหอก พลังปราณสลายชุดคลุมสีดำ แขนขวาของเหิงฮุ่ยว่างเปล่า มือปีศาจนั่นหายไปแล้ว

ไม่มี… รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัว เขามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง และรู้สึกว่าบริเวณโดยรอบ ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป มีพยันตรายมากมายแผงตัวอยู่

ฆ้องเงินที่เห็นเช่นนั้น ก็เกิดอาการแบบเดียวกัน พวกเขาชักดาบออกมาทันที และระแวดระวังคนสัญจรไปมารอบๆ

“มันไปแล้ว…” ภิกษุเหิงหย่วนเอ่ยเสียงเบา “ส่วนข้าอยู่ที่นี่รอทุกคน”

หมายเลขหกมั่นใจว่าพวกเราจะมาหรือ ใช่ นักบวชเต๋าจินเหลียนสัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ดังนั้นเขาจึงรออยู่… สวี่ชีอันเข้าใจทันที

“ท่านภิกษุ ท่านอยากจะพูดอะไร” หนานกงเชี่ยนโหรวถือดาบด้วยมือข้างเดียว และยังคงไม่คลายความระแวง

“เขาไม่ได้เลิกแก้แค้น เพียงแค่มอบภาระให้กับข้า” เหิงหย่วนเอ่ยเสียงเบา

“ข้าอยากเล่าเรื่องหนึ่งให้ทุกคนฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน”

…………………………………………………………