ตอนที่ 143 ประวัติของฉินหงเหยียน

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

ฉินหงเหยียนชอบเย่เฉินหล่อนย่อมต้องเป็นห่วงเป็นใยเรื่องนี้อยู่แล้ว ในเมื่อพวกเขาสองคนไม่ได้ตกลงจะเอาเด็กออก ทำให้ในอนาคตพวกเขาสองคนก็ยัคงมีเรื่องที่จะต้องเกี่ยวพันกันอยู่

เย่เฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมคุยเรื่องนี้กับหวังเจียเหยาแล้ว หล่อนจะคลอดลูก แต่หล่อนบอกว่าหล่อนจะเป็นคนเลี้ยง แต่พอถึงตอนนั้นผมจะแย่งสิทธิ์การเลี้ยงดูเด็กเอาไว้เอง”

ปกติแล้วพอคู่สมรสหย่ากัน ฝ่ายหญิงจะฝ่ายแย่งเป็นสิทธิ์ในการเลี้ยงดู ฉินหงเหยียนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องดึงดันแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กมา บางทีอาจเพราะเขาชอบเด็กล่ะมั้ง

ฉินหงเหยียนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ที่จริงแล้วฉันเองก็ชอบเด็กมากทีเดียว ถึงหวังเจียเหยาจะนิสัยไม่ดีแต่หล่อนหน้าตาสะสวย เด็กที่คลอดออกมาจะต้องน่ารักมากแน่ ได้เลี้ยงเด็กที่น่ารักแบบนี้คงจะต้องสนุกมาก”

ฉินหงเหยียนมองเย่เฉินอย่างสเน่หา คำพูดเหล่านี้หล่อนตั้งใจจะบอกเย่เฉินชัดๆ ว่า ฉันยอมเป็นแม่ให้ลูกของพวกคุณ! ฉันอยากจะเลี้ยงเด็กคนนี้ไปกับคุณ!

เย่เฉินคิดไม่ถึงว่าฉินหงเหยียนจะใจกว้างขนาดนี้ แต่เขาเองก็ยังรู้สึกกระดากมากทีเดียว จึงกล่าว

“เอ่อ…ที่จริงแล้วที่ผมจะฟ้องแย่งสิทธิ์เลี้ยงดู ไม่ใช่เพราะผมต้องการเลี้ยงเด็ก แต่แม่ของผม ท่านอยู่ที่ออสเตรเลียคนเดียวแล้วก็เหงาเลยอยากได้หลานเอาไว้เป็นเพื่อน”

อันที่จริงแล้วเพราะตระกูลต้องการเลี้ยงเด็กคนนี้ เพื่อจะให้เด็กคนนี้กลายเป็นทายาทที่มีคุณสมบัติคู่ควรเหมือนเย่เฉิน

ทว่าเย่เฉินไม่สามารถบอกความจริงกับฉินหงเหยียนได้ในตอนนี้

ฉินหงเหยียนได้ยินเย่เฉินบอกว่าแม่ของเขาจะเป็นคนเลี้ยงเด็กก็ดีใจกว่าเดิม

ผู้หญิงทั่วไปใครจะอยากเลี้ยงลูกให้คนอื่น?

ฉินหงเหยียนกล่าวอย่างปลื้มใจ “อ้อที่แท้แล้วคุณน้าจะเลี้ยงหลานนี่เอง ออสเตรเลียสภาพแวดล้อมดี ดำเนินชีวิตได้สบายๆ ยกเด็กให้คุณน้าเลี้ยงก็ดีเหมือนกันที่นั่นสภาพแวดล้อมดี”

ปัญหาเรื่องลูกของเย่เฉินจัดการแก้ไขแล้วเรียบร้อย ฉินหงเหยียนก็สามารถพูดเรื่องของพวกเขาสองคนได้

จู่ๆ ฉินหงเหยียนก็เอื้อมมือมากุมมือเย่เฉิน แล้วอาศัยความกล้าจากฤทธิ์แอลลกอฮอลล์ “เย่เฉิน คำพูดที่ฉันพูดกับคุณที่ร้านหม้อไฟเมื่อครู่ คุณ…คุณคิดว่ายังไงบ้าง?”

จู่ๆ เย่เฉินก็รู้สึกเหมือนมือแตะใส่ของร้อนแล้วรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “อะไร… ทำไม?”

ฉินหงเหยียนเป็นคนตรงไปตรงมา หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงขี้อาย เขาจึงถามตรงๆ “ฉันเป็นแฟนคุณได้ไหมคะ?”

และในเวลานี้เองบนจอทีวีกำลังฉายฉากพระเอกนางเอกกำลังจุมพิตกันจากเรื่อง The great gatsby

บรรยากาศวาบหวามภายในห้องปะทุถึงขีดสุด

เย่เฉินมองฉินหงเหยียน หญิงสาวสวมเสื้อกุชชี่สีดำที่เปลี่ยนหลังจากมาถึงบ้าน

เพราะกลัวว่าเสื้อตัวเก่าที่ใส่ไปร้านหม้อไฟจะมีกลิ่นเหม็น แล้วจะมีผลกับความประทับใจที่เย่เฉินมีต่อหล่อน

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาดื่มเหล้าแถมตัวเองก็มีกลิ่นหม้อไฟติดเสื้อผ้าอยู่ เขาไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ

หล่อนใส่กางเกงขาสั้นสีชมพูใหม่อีกครั้ง ขาเรียวยาวไร้ตำหนิ

หล่อนสวมรองเท้าแตะคริสตัลยี่ห้อแอร์เมสมูลค่าห้าหลัก ก้มหน้ามองคริสตัลด้านบนที่ส่องแสง

เท้านวลเนียนราวหยกสองข้าง และนิ้วเท้าเรียวนุ่มนิ่มทาสีแดงสด

ตรงบริเวณนิ้วโป้งและนิ้วกลาง คริสตัลเกาะกันเป็นตัว ‘H’ อันเป็นตราสัญลักษณ์ของแบรนด์แอร์เมส

กลิ่นอายทที่สูงส่งของฉินหงเหยียนเกรงว่ามองแค่เท้าก็น่าจะทำให้ผู้ชายจำนวนมากต้องศิโรราบให้หล่อน?

ถึงแม้ว่าหวังเจียเหยาจะสวยงามไร้ที่ติ แต่วงหน้าที่งดงามนั้นก็ยังมองแล้วเบื่อได้

ฉินหงเหยียนต่างออกไป หล่อนไม่แค่มีใบหน้าที่สวยงาม แต่เส้นผมจนถึงฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนใจ!

เป็นผู้หญิงที่สวยสุดๆ ไปเลย!

เย่เฉินลอบกล่าวในใจ

คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่โดดเด่นแบบนี้เป็นฝ่ายเสนอตัวขอความรักจากเย่เฉิน!

แต่ในใจเขายังมีกำแพงบางๆ ตั้งเอาไว้เขากล่าวว่า “ฉินหงเหยียนคุณเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ คุณทั้งสวย ทั้งมีเงิน หุ่นก็ดี บุคลิกก็น่ามองแถมนิสัยยังดีอีก แต่ผมในตอนนี้น่ะเป็นแค่คนตกงาน ไม่มีงานดีๆ ทำด้วยซ้ำ ไม่จบมหาวิทยาลัย ผมไม่คู่ควรกับคุณหรอก

พี่หงเหยียน ผมรู้ว่าคุณดีกับผมมาก คุณมักจะช่วยผมให้รอดตัวอยู่เสมอในงานธุรกิจ หลังจากที่ผมเกิดเรื่องคุณยังใช้เส้นสายช่วยเหลือผม พอมีคนจะล้างแค้นผมทันทีที่คุณรู้เข้าคุณก็รีบบอกผมทันที ผมซาบซึ้งใจกับเรื่องเหล่านี้มาก และก็จำได้ขึ้นใจ”

ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สวย ไม่ได้มีเงินขนาดนั้น เป็นคนธรรมดากว่านี้ผมคิดว่าผมอาจจะยอมรับคุณ แต่ว่าคุณดีเกินไป ผมรู้ดีแก่ใจว่ามีคนที่มีทรัพย์สินมูลค่าร้อยล้าน พันล้านหรือแสนล้านคอยตามจีบคุณ ผมจะยอมให้คุณต้องมามีชีวิตธรรมดากับผมได้ยังไง?”

ในระหว่างที่ทำความรู้จักสนิทสนมกันมาหลายเดือนนั้น ระหว่างที่เย่เฉินต้องประชุมในบริษัทก็มักจะเจอผู้ชายที่มาตามจีบฉินหงเหยียน

พวกเขาส่วนมากเป็นคนอายุเยอะ หน้าตาก็ธรรมดาแต่ว่ามีเงินกันทุกคน

แต่ก็ยังมีพวกผู้ชายอายุยังน้อยมีทรัพย์สินไม่ถึงร้อยล้าน หน้าตาพอดูได้เคยตามจีบฉินหงเหยียนอยู่เหมือนกัน

ผู้ชายที่มาให้ฉินหงเหยียนเลือกนั้นมีมากมายเกินไป หญิงสาวไม่จำเป็นต้องมาเลือกผู้ชายที่โดนไล่ออกจากตระกูลอย่างเขา

ฉินหงเหยียนมองเย่เฉินแล้วกล่าวถาม “นี่คุณปฏิเสธฉันเพราะคุณรู้สึกว่าฉันสมบูรณ์แบบเหรอคะ?”

เย่เฉินพยักหน้ารับ

เย่เฉินในตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหงเหยียน เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นคนต่ำต้อย

ต่อให้เขายังคงเป็นคุณชายสามของตระกูลเย่ ความมั่งมีของเขาก็เกิดจากตระกูล ไม่เหมือนฉินหงเหยียนที่ฝ่าฟันดิ้นรนมาเอง

เย่เฉินไม่ใช่คนระดับเดียวกับฉินหงเหยียน

ฉินหงเหยียนถามพร้อมระบายยิ้ม “คุณอยากฟังเรื่องราวของฉันไหมล่ะ? คุณอยากจะรู้ประวัติและพื้นเพของฉันไหมคะ?”

เย่เฉินพยักหน้าอย่างแรง

ถึงแม้ว่าฉินหงเหยียนจะโลดแล่นในวงการธุรกิจมาเนิ่นนานหลายปี แต่ไม่มีใครรู้ถึงพื้นเพของหญิงสาว

เย่เฉินเองก็สนใจเรื่องนี้ไม่น้อย เขาอยากรู้ว่าฉินหงเหยียนจะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยเหมือนหวังเจียเหยาหรือไม่?

ฉินหงเหยียนลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินไปปิดเสียงทีวี จากนั้นก็ยืนข้างทีวี จุดบุหรี่แล้วเล่าช้าๆ

“ฉันไม่ได้เกิดที่อวิ๋นโจว ฉันเป็นคนเมืองเสินเฉิงจากทางใต้ เดิมไม่ได้ชื่อฉินหงเหยียน แต่ชื่อฉินเสวี่ย”

เย่เฉินเข้าใจทุกอย่างทันที มิน่าเพื่อนวงการธุรกิจทั้งอวิ๋นโจวต่างก็ไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของหล่อน ที่แท้หล่อนก็มาจากทางใต้นี่เอง

เมืองเสินเฉิงเองเป็นหัวเมืองใหญ่ของประเทศจีน แต่พัฒนากว่าอวิ๋นโจวและยังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมาก ดังนั้นบริษัทใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักถึงได้มีมากกว่าอวิ๋นโจวมาก เป็นรองแค่เทียนไห่กับเมืองจิงเฉิงเท่านั้น

ฉินหงเหยียนกล่าวต่อ “ฉันเองเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย บ้านของเราที่เมืองเสินเฉิงนั้นเหมือนกับตระกูลหวังตอนอยู่ที่อวิ๋นโจว”

ตระกูลหวังตอนนี้ถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวยแล้ว ถ้าครอบครัวฉินหงเหยียนสามารถเป็นครอบครัวระดับต้นๆ อย่างตระกูลหวังได้เกรงว่าศักยภาพของพวกเขาน่าจะมีมากกว่าตระกูลหวังเสียด้วยซ้ำไป

อีกทั้งนี่อาจจะเป็นการเปรียบเทียบที่ถ่อมตัวของฉินหงเหยียนเองด้วย

เย่เฉินมองออกอยู่นานแล้วว่าบุคลิกของฉินหงเหยียนนี้ ทุกอริยาบถของหล่อน ต่อให้จะใส่รองเท้าแตะ หรือสูบบุหรี่สำหรับผู้หญิงอยู่ก็ตาม ก็ยังมีเสน่ห์ที่เป็นดอกลักษณ์อยู่ดี

ไม่มีทางที่คนที่เกิดในครอบครัวธรรมดาจะมีท่าทางแบบนี้

เย่เฉินมองฉินหงเหยียนรอให้หญิงสาวเล่าต่อ

ฉินหงเหยียนสูบบุหรี่แล้วกล่าว “ตอนฉันอยู่ม. 3 พ่อเสียขณะอยู่ที่เมืองนอก ตอนอยู่ม.6 แม่ก็ป่วยตาย”

ฉินหงเหยียนกล่าวเสียงเรียบ น้ำตาไม่ไหลสักหยด บนใบหน้าไม่มีท่าทางเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย

แต่เย่เฉินกลับสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในใจของฉินหงเหยียนได้

แต่ปัญหาก็คือในเมื่อพ่อแม่ของฉินหงเหยียนจากไปแล้วตั้งแต่เสื่อสิบปีก่อน แล้วอย่างนั้นหล่อนกลายมาเป็นประธานบริษัทได้อย่างไร?