บทที่ 148 มีฉายา “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน” อยู่ด้วย?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

สามครั้ง เย่เทียนเฉินถีบไปสามครั้งเท่านั้น ก็ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่และชายฉกรรจ์อีกสองคนที่เป็นลูกน้องของเขากระเด็นออกไป โดยเฉพาะเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ไม่รู้ว่าเปราะบางจนเกินไปหรือว่าซวยจนเกินไป ในตอนที่ฝ่าเท้าสุดท้ายของเย่เทียนเฉินถีบเขาออกไปและตกมาบนพื้นถึงได้สลบไปเลย

ในตอนนี้เอง ที่ประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง นักศึกษาชายหญิงที่มาลงทะเบียนจำนวนนับร้อยคน ต่างเห็นฉากนี้ด้วยตาของตัวเอง ทุกคนถูกเย่เทียนเฉินทำให้สั่นสะท้าน โดยเฉพาะนักศึกษาหญิงบ้าผู้ชายทั้งหลาย เมื่อเห็นสายตาของเย่เทียนเฉินก็ตกหลุมรัก ผู้ชายที่ฝีมือไม่ธรรมดาและหล่อเหลาขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบ?

“จะ จะหล่อไปแล้ว…”

“ไอ้หมอนี่โหดมาก ไม่พูดไม่จาก็ถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกระเด็นออกไป เจ๋งจริงๆ!”

“เจ๋งเหรอ? ฉันว่าเขารนหาที่ตายมากกว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิง พี่ชายแท้ๆ ของของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีแค่ไม่กี่คนที่ล่วงเกินเขาได้ เจ้าหมอนี่คงอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก!”

“รู้ไหมว่านี่เรียกว่าอะไร?”

“เรียกว่าอะไร?”

“มีความสามารถแล้วทำเก่งถึงจะเรียกว่าเจ๋ง ไร้ความสามารถแต่ทำเป็นเก่งนั้นเรียกว่าโง่ ฉันดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง!”

เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษารอบๆ จำนวนหนึ่ง หลายคนก็รู้สึกได้ถึงโศกนาฏกรรมที่รอเย่เทียนเฉินอยู่ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจ เซวียนเยวี๋ยนเถิงสามสุดยอดคุณชายแห่งหลงเถิงคนนี้ ภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเขายโสโอหังเป็นอย่างมาก ทำตัวระรานไปทั่วทั้งวิทยาเขต รังแกนักศึกษาธรรมดาตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่ทางบ้านไม่มีอำนาจอิทธิพล ทำได้เพียงยอมรับการรังแกจากเขาเท่านั้น กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด ดังนั้นเมื่อมีคนเช่นเย่เทียนเฉินโผล่ออกมา ในใจของใครหลายคนต่างหวังว่าเขาจะสามารถเก็บกวาดสามคุณชายแห่งหลงเถิงได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วคงจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสามคุณชายแห่งหลงเถิงแต่ละคนมีชาติตระกูลที่โดดเด่น คนธรรมดาหาเรื่องไม่ได้โดยเด็ดขาด

เหล่านักศึกษาชายหญิงที่เดิมทีมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี สุดท้ายก็ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทำอย่างกับตนเองจะต้องตายตั้งแต่อายุน้อยอย่างไรอย่างนั้น นักศึกษาเหล่านี้ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าเย่เทียนเฉินเจ๋งมาก เพราะเขาลงมือตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่โดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของคนอื่น ก็มองเย่เทียนเฉินจนแทบทะลุ ดูไม่เหมือนกับคุณชายตระกูลสูงหรือคนที่มาจากครอบครัวที่ทรงอิทธิพลเลยสักนิด ดังนั้นจึงคิดว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน

“ฉันช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางแล้วกัน พวกเราเข้าไปที่มหาวิทยาลัยกันก่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยายิ้มๆ

“อืม! ขอบคุณนะ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า

เย่เทียนเฉินรับกระเป๋าเดินทางในมือของเสี้ยวหยามา แล้วจึงเดินไปยังประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนที่กำลังจะไปจากสถานที่ลงทะเบียน เย่เทียนเฉินก็พูดกับอาจารย์หญิงที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนด้วยเสียงอันเบาว่า “อาจารย์ครับ ช่วยผมทำเรื่องเข้าเรียนหน่อยนะครับ ผมชื่อเย่เทียนเฉิน!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเสี้ยวหยาเดินเข้าไปยังประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เสี้ยวหยาเองก็เดินตามหลังเขาไป ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแดงระเรือ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่บริเวณประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง จึงเป็นจุดสนใจของนักศึกษาชายหญิงทุกคน

เมื่อเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถูกทิวทัศน์และบรรยากาศการศึกษาภายในมหาวิทยาลัยชัั้นหนึ่งของประเทศทำเอาหลงใหล สวยมากจริงๆ เมื่อก่อนได้ยินเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องพูดถึงอยู่บ่อยๆ ความฝันของเธอก็คือสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงให้ได้ คิดดูแล้วก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ควรค่าแกการมาจริงๆ

ในตอนเช้า เย่เทียนเฉินได้โทรกลับไปที่บ้านเพื่อบอกกับพ่อแม่แล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าเย่หงและหลัวเยี่ยนจะประหลาดใจมากก็ตาม เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ยังถูกทำให้สงบลง เรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลูกชาย ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินกลับมา ก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจและตกตะลึงอยู่หลายครั้ง ขอเพียงลูกชายยังอยู่ดีก็ดีมากแล้ว!

“ขอโทษด้วยนะ ทำให้นายลำบากแล้ว!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาจากใจ

“ไม่เป็นไร คนแบบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ต่อให้ไม่เกิดเรื่องในวันนี้ก็ควรจะสั่งสอนแรงๆ สักหน่อย ไม่งั้นวันหน้าพอเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงมาแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะทำร้ายนักศึกษาธรรมดามากแค่ไหน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“แต่ แต่ฉันได้ยินมาว่าอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยิ่งใหญ่มาก ครั้งนี้นายตบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไป พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ นายรีบไปซะเถอะ!” เสี้ยวหยาพูดอย่างกระวนกระวาย

“งั้นเหรอ? แบบนั้นก็น่าสนุกดีๆ เกิดมาก็ฉันคนนี้ไม่ชอบเรียน ในมหาวิทยาลัยมีเรื่องให้เล่นสนุกก็ไม่เลวเลย มีอะไรให้ทำฆ่าเวลาแล้ว!”

เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาก็กังวลเป็นอย่างมาก นางไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็นห่วงว่าเย่เทียนเฉินจะถูกเซวียนเยวี๋ยนอวี่แก้แค้นเพราะตน หากเขาถูกคนของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทำร้ายจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ของเธอคงไม่อาจอยู่ได้ดีๆ แล้ว อย่างไรเสียเย่เทียนเฉินก็หาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนอวี่เพราะเธอ เมื่อมองจากตรงนี้แล้ว เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยากำลังเดินไปที่หอพักหญิงไปพลางพูดคุยกันไปพลางอยู่นั้น จู่ๆ ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากข้างหลัง “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน!”

แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สนใจ พวกเขาเป็นนักศึกษาใหม่ของชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัย ภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่รู้จักใครเลย เพื่อนร่วมห้องที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งแห่งนี้ได้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี ไหนเลยจะรู้ว่า เสียงตะโกนเรียก “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน”จากข้างหลังจะดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังเป็นผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มคนหนึ่ง ฟังจากเสียงของผู้หญิงคนนี้ก็รู้ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ตะโกนว่า “ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน”หรอก แถมยังตะโกนดังขึ้นทุกที

เมื่อเย่เทียนเฉินหันไปมอง ก็พบว่าด้านหลังห่างจากตัวเองไม่ถึงสามเมตร มีผู้หญิงแต่งตัวตามแฟชั่นคนหนึ่งยืนอยู่ สวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ให้ความรู้สึกเป็นเจ๊ใหญ่ เมื่อดูจากหน้าตาและรูปร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง เพียงแต่ในสมองของเย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้อยู่เลย เมื่อก่อนก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็น

“ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน เป็นนายจริงๆด้วย ไอ้เย่ฉี่รดที่นอน…” สาวงามตามแฟชั่นเดินเข้ามาตรงหน้าเย่เทียนเฉิน เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่เธอรู้จักจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือทั้งสองจับแขนของเย่เทียนเฉิน ยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วพูดออกมา

“เธอคือ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ฉันเหรอ นายไม่รู้จักฉันเหรอ? ดูสิว่าฉันเป็นใคร…”

สาวงามตามแฟชั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารู้จักเย่เทียนเฉิน เธอเบิกบานใจเป็นอย่างมาก และไม่ได้โกรธเพราะอีกฝ่ายจำตัวเองไม่ได้ กลับถอดแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ของตัวเองออกมา เผยใบหน้าอันสวยงามต่อหน้าเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาอันงดงามทั้งสองดวง มองดูแล้วมีเสน่ห์น่าหลงใหลจริงๆ

“เธอ…เธอ…เธอ…” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว

“นายจำฉันได้แล้วใช่ไหม ฉันรู้ว่านายลืมฉันไม่ลงหรอก!” สาวงามคนนั้นยิ้มอย่างเบิกบานแล้วพูดขึ้น

“จำไม่ได้!” เย่เทียนเฉินยังคงคิดไม่ออก

สาวแฟชั่นอดไม่ได้ที่จะใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงซุกซนพูดขึ้นว่า “นายคิดดูให้ดีๆ ตอนเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในตรอกใหญ่ พวกเราไปเรียนด้วยกันเลิกเรียนด้วยกัน เล่นพ่อแม่ลูกด้วยกันบ่อยๆ…”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของสาวแฟชั่น ก็อดไม่ได้ที่จะไต่ตรองอยู่ในหัว คิดไปถึงความทรงจำสมัยก่อน ในตอนเด็กนี่มันเด็กขนาดไหนกัน? หรือว่าจะเป็นตอนที่เรียนโรงเรียนอนุบาล? เพราะเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสาวแฟชั่นตรงหน้านี้อยู่เลยโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้มือขวาจับผมของสาวแฟชั่นขึ้น ทำให้เสี้ยวหยาตกใจและอยากเข้าไปหยุดเขา นี่ไม่ใช่ว่าจะดูอันธพาลไปหน่อยหรอ? ไม่ถูกตบเข้าให้ก็บุญแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าสาวแฟชั่นไม่เหวี่ยงไม่โกรธ แต่กลับทำท่าทาง ‘ดูสิ’ออกมา หากว่าคุณยังจำฉันไม่ได้อีก ฉันก็จะโกรธจริงๆ แล้ว

“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง ยัยหลิงขี้มูกโป่ง ฮ่าๆๆๆ!” เย่เทียนเฉินพูด อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ไอ้บ้า พอเจอหน้าฉันก็กล้าเรียกฉายาฉันเลยนะ เดี๋ยวก็จะจิ้มให้ตายซะเลย!” สาวแฟชั่นอดไม่ได้ที่จะทำหน้าเซ็ง จิ้มลงไปที่แขนของเย่เทียนเฉินอย่างแรงแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินหัวเราะจนตัวโก่ง ตอนนี้เขาจำสาวงามตรงหน้าได้แล้วว่าเป็นใคร ผู้หญิงนี่เปลี่ยนไปเร็วจริงๆ เมื่อก่อนเป็นยัยอัปลักษณ์น้ำมูกไหล ตอนนี้กลายเป็นสาวงามคนหนึ่งไปแล้ว มีความแฟชั่นและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก แต่ว่านิสัยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังมีท่าทางของเจ๊ใหญ่อยู่

“นี่ นี่ เธอทำแบบนี้ฉันก็แค่ตอบโต้เองนะ เธอตะโกนเรียกฉายาของฉันตอนเด็ก แล้วไม่ยอมให้ฉันเรียกฉายาของเธอหรอ?” เย่เทียนเฉินรู้สึกอยากหัวเราะ

“ไอ้บ้า นายท่าทางเหลาะแหละแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเด็กๆ เลยสักนิด!” แม้ว่าคำพูดของสาวแฟชั่นจะดูโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เนื่องจากสามารถพบเพื่อนสมัยเด็กอย่างเย่เทียนเฉินที่นี่ได้ เธอจึงมีความสุขมาก

“เธอมีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเลยนะ เปลี่ยนไปสวยขึ้นไม่น้อย ตอนนี้คงไม่มีน้ำมูกไหลตลอดเวลาแล้วมั้ง?” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อแล้วยิ้มออกมา

“ตอนนี้นายยังฉี่รดที่นอนอยู่ไหมล่ะ?” สาวแฟชั่นถามอย่างโกรธเคือง

เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ในตอนที่ไม่คาดคิดก็ยังเจอเพื่อนสมัยเด็กที่นี่ได้ สาวแฟชั่นที่อยู่ตรงหน้านี้มีชื่อว่าหลิงอวี่สวิ๋น สมัยก่อนอยู่ในซอยเดียวกับเขา ทั้งซอยมีแค่เขาสองคนที่เป็นเด็ก เดิมทีทั้งสองบ้านก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ดังนั้นจึงเล่นมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งถึงสมัยประถม เย่เทียนเฉินก็ย้ายบ้าน จึงค่อยๆ ขาดการติดต่อกับหลิงอวี่สวิ๋นไป แน่นอนว่าฉายาของทั้งสองคนไม่มีทางลืมได้ ฉายาของเย่เทียนเฉินคือไอ้เย่ฉี่รดที่นอน ส่วนฉายาของหลิงอวี่สวิ๋นคือยัยหลิงขี้มูกโป่ง ตอนเด็กๆทั้งสองมักจะเรียกอีกฝ่ายแบบนี้

 “คนนี้คือ…แฟนของนายเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเสี้ยวหยาที่อยู่ข้างๆ เย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้น

“อ๋อ ไม่ ไม่ใช่ ฉันแนะนำให้พวกเธอรู้จักกันสักหน่อยแล้วกัน คนนี้คือเสี้ยวหยา ส่วนเธอชื่อว่าหลิงอวี่สวิ๋น หรือสามารถเรียกได้ว่ายัยหลิงขี้มูกโป่ง…” เย่เทียนเฉินแนะนำด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“นายสิไอ้เย่ฉี่รดที่นอน สวัสดี ฉันชื่อหลิงอวี่สวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จัก อย่าไปฟังคำพูดมั่วซั่วของไอ้บ้านี่เลย ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดกับเสี้ยวหยายิ้มๆ

“พี่อวี่สวิ๋นสวัสดีค่ะ ต่อไปก็เรียกหนูว่าหยาเอ๋อร์เถอะ!” เสี้ยวหยาเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม