บทที่ 189 เตรียมตัว

เฉินเฉียงผู้ซึ่งในตอนนี้กำลังเดินลงจากเวทีได้หัวเราะในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเจิ้งยี่ เขาได้นำกระบี่ทองคำออกมาจากแหวนเก็บของแล้วโยนไปให้เจิ้งยี่โดยไม่หันกลับไปมอง

“ศิษย์พี่เจิ้ง รับมันไปซะ”

เจิ้งยี่ได้มองสิ่งที่ได้รับมาด้วยสายตาที่มีความสุขอย่างที่สุด

นี่คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดที่ได้มาจากหลินฟาน

เจิ้งยี่เข้าใจถึงความสุดยอดของมันเป็นอย่างดีเพราะเผชิญหน้ากับมันมาด้วยตัวเอง

แต่เขาไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะมอบมันให้กับเขาง่ายๆแบบนี้

“ข้าขอขอบคุณสำหรับกระบี่เล่มนี้”

หลังจากเก็บกระบี่เข้าไปแล้ว เจิ้งยี่ก็ได้เดินตามเฉินเฉียงลงจากเวทีไปในทันที

ในตอนนี้เหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหลายต่างก็มองตามด้วยความอับอาย

แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากมาย นั่นก็คือหลิวตันแห่งตึกจอมพลเป่ยเชิน และเว่ยหยวนตี้

ไม่กี่วันก่อนที่มีการประลองสี่สำนัก พวกเขาต่างก็เข้าไปในตึกจอมพลภาคกลางโดยไม่คาดคิด ในตอนนั้นพวกเขาพบว่าตึกจอมพลในครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากครั้งนั้นสักเท่าไหร่ นั่นก็คือไม่ได้รับยอดฝีมือเข้าไปในตึกจอมพล

แม้แต่ลูกศิษย์สำนักวิหคอสนีบาตที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่เธอหวังไว้นักหนาก็ยังไม่คิดจะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเป่ยเชิน

สำหรับเว่ยหยวนตี้ที่ควบคุมเขตกันหนัน เขาในฐานะที่เป็นผู้การคนหนึ่ง เขาย่อมวางตัวที่ดูเป็นกลาง แต่ใจของเขานั้นกลับดี๊ด๊าอย่างที่สุด

นั่นก็เพราะ การเลือกกองกำลังในครั้งนี้กลายเป็นเขาที่ถูกฉายแสงเสียอย่างนั้น

แต่เดิม ในฐานะผู้จัดงานประลองสี่สำนักในครั้งนี้ เว่ยหยวนตี้ยังกังวลอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับคนที่จะเข้าร่วม และเขาก็ไม่นึกฝันว่าการจัดงานของเขาในครั้งแรกนี้จะได้รับศิษย์สิบอันดับสุดยอดเข้าร่วมไปเกือบครึ่ง

นี่เขายังนึกไม่ออกเลยว่าหากท่านผู้การแคว้น(ภาค)รู้เข้าล่ะก็ เขานั้นจะเอ่ยชมเขาขนาดไหนกัน

ในตอนแรกนั้นเขาคิดเพียงว่าจะเป็นการพูดคุยกับลูกสาวของเขาเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น

ไม่คิดไม่ฝันว่าสุดท้ายจะกลายเป็นฉากที่ว่าศิษย์สุดยอดสี่ในห้าอันดับแรกจะมาเข้าร่วมกับพวกเขา ไม่เว้นแม้แต่เจิ้งยี่ที่อยู่อันดับหนึ่ง

กับเรื่องนี้ เขาเองก็บอกได้เลยว่าเขายังทำตัวไม่ถูก

เว่ยหยวนตี้ได้สงบใจลงให้ได้อย่างที่สุด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพื่อพยายามทำให้ทุกคนเห็นว่าทุกสิ่งเกิดจากการตัดสินใจของศิษย์สี่สำนัก เขายังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

เป็นตอนนี้ที่จ้าวลี่แสดงสีหน้าออกมาอย่างดำคร่ำเคร่งประดุจดั่งก้นหม้อ

เพื่อได้รับคำชมเชิญ แต่เดิมเขาคิดว่าจะรับสมัครเหล่าผู้มีความสามารถสูงทั้งหลายให้เข้าร่วมกับตึกจอมพลภาคกลางให้ได้ แต่ดูเหมือนเขาจะพลาดมันซะแล้ว

เมื่อหันไปมองศิษย์สิบอันดับที่เหลืออีกหกคนที่ยังยืนนิ่งราวกับไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี จ้าวลี่ก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง

“เฉียวกัง เจ้าล่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็คิดจะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราน่ะ”

“ห้ะ”

“ใช่ เอ่อ ไม่ครับ” เฉียวกังพูดออกมาอย่างลนลาน

“ข้าจะมาบอกว่า ข้าต้องการเข้าร่วมกับท่าน”

“หึ” จ้าวลี่สบถออกมาหนึ่งทีก่อนที่จะยืดตัวตรงและพูดออกมา “พวกเจ้าทั้งหก หากพวกเจ้าต้องการเข้าร่วมกับตึกจอมพลภาคกลาง ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าร่วมได้”

เฉียวกังและอีกห้าคนที่เหลือรู้สึกดีใจในทันทีที่ได้ยิน และต่างตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ขอบคุณท่านจ้าวที่รับพวกเข้าร่วม พวกเราจะติดตามท่านเป็นอย่างดี”

เรื่องบ้าอะไรกัน

เว่ยหยวนตี้และหลิวตันมองหน้ากันอย่างนิ่งเงียบ

ในครั้งนี้ มีเพียงหลิวตันเท่านั้นที่ไม่สามารถรับผู้ติดอันดับหนึ่งในสิบในการประลองครั้งนี้ไปได้เลยสักคน

ในสิบอันดับนี้มีศิษย์สำนักวิหคอสนีบาตติดอันดับอยู่สองคน เขานั้นหวังไว้ว่าทั้งสองจะเข้าตึกจอมพลเป่ยเชินอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่คนหนึ่งกลับเข้าร่วมกับกันหนัน อีกคนหนึ่งกลับโดนตัดหน้าไปโดยจ้าวลี่โดยที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะไต่ถาม

แล้วไอ้หลักการที่เขาพร่ำออกมาก่อนหน้านี้(ให้ลูกศิษย์ตัดสินใจกันเอง)…..จะพูดทำเพื่อ

หากใครที่ไม่รู้จักจ้าวลี่มาก่อนล่ะก็แล้วมาเห็นฉากนี้ ทุกคนคงจะบอกจริงๆว่าเขานั้นทำพฤติกรรมเกินเลยจนน่ารังเกียจ

ท้ายที่สุด หลิวตันก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆออกมาและยอมรับผลลัพธ์นี้ ยังไงซะ หากดูจากจำนวนแล้ว ตึกจอมพลเป่ยเชินนั้นได้รับคนมากกว่าใคร

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่จ้าว พี่หลิว ในเมื่อเหล่าศิษย์สี่สำนักก็ได้เลือกกองกำลังที่เข้าร่วมจนหมดแล้ว พวกเราเองก็ควรจะให้พวกเขาเตรียมตัวสักวันหนึ่งก่อนที่จะพาพวกเขาเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิในวันพรุ่งนี้จะดีกว่านะ พวกท่านคิดยังไง”

จ้าวลี่พยักหน้ารับในทันที “คงต้องรบกวนพี่เว่ยแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้ยืดตัวตนและประกาศออกมา “ทุกคน ฟังทางนี้ จ้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวันในการจัดเตรียมสัมภาระที่จะเป็นในเขตกันหนันแห่งนี้ แล้วพวกนี้ให้พวกเจ้ามารวมตัวกันทึ่นี่”

ทางฟากฝั่งตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา หลินเฟิงเองที่ยืนเคียงกับกองกำลังนับพันก็ได้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มและพูดออกมา

“นักรบทั้งหลาย ในวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าต้องเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิ”

“พวกเจ้าหลายๆคนนั้นสมควรจะยังไม่รู้ว่าเขตแดนจักรพรรดินั้นเป็นพื้นที่แบบไหน และควรจะต้องเตรียมตัวยังไง”

“แต่กับเรื่องนี้ ข้าบอกได้เลยว่ามันง่ายมาก พวกเจ้านั้นเพียงแค่ต้องการสามสิ่งนี้”

หลินเฟิงพูดพลางชูนิ้วเข้ามาสามนิ้วและพูดออกมา “อย่างแรก อาวุธที่เหมาะสมในการจัดการศัตรู”

“อย่างที่สอง แหวนเก็บของ ในเขตแดนจักรพรรดินั้นมีสมบัติอยู่มากมาย และด้วยการที่พวกเจ้านั้นต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี หากพวกเจ้าไม่มีแหวนเก็บของที่เหมาะสม ต่อให้พวกเจ้าพบเจอสมบัติล้ำค่าขนาดไหน พวกเจ้าก็ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น”

“อย่างที่สาม กำไลสื่อสาร”

“กับสิ่งนี้ ข้าเชื่อว่าเหล่านักรบที่อยู่ในตึกจอมพลอยู่แล้วนั้นมีกันเกือบทุกคน มีเพียงไม่กี่คนที่ยังไม่มี”

หลังจากพูดจบ หลินเฟิงก็ได้มองไปยังกองกำลังเทียนเว่ยที่มีเฉินเฉียงยืนนำ จางหยวนและคนอื่นๆนั้นทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาอย่างอับอาย

“กำไลสื่อสารนี้มีความสำคัญอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ”

“พวกเจ้าทุกคนนั้นพึ่งจะเข้าร่วมกับกองกำลัง ข้าแนะนำว่าให้พวกเจ้านั้นโยนกำไลสื่อสารที่มีทิ้งไปได้เลย นั่นก็เพราะกำไลสื่อสารเหล่านั้นมีขอบเขตสื่อสารที่น้อยมาก พวกมันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ที่นั่น”

“หลังจากที่เข้าไปที่นั่นแล้ว สิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องทำนั้นไม่ใช่การเข่นฆ่าศัตรูและการหาสมบัติ”

“เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าจะต้องใช้กำไลสื่อสารในการรวมกลุ่มกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“นอกจากสามเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่เหลือล้วนไร้ประโยชน์”

“อ้อ ส่วนเรื่องอาหารนั้นไม่ต้องกังวล”

“ในมิติจักรพรรดินั้น ด้วยการที่มีสมบัติที่ล้ำค่า แน่นอนว่าที่นั่นย่อมมีศัตรูของพวกเจ้าอยู่ ทั้งพวกสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์”

“ไอ้ของพวกนั้นเจ้าค่อยไปฉกมาจากพวกมันก็พอ”

“ในมิติจักรพรรดิแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่มนุษย์จะต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับคนของอีกสองเผ่าพันธุ์”

“เหตุผลที่พวกเราเข้าไปนั้น หนึ่งคือการสั่งสมประสบการณ์ที่ล้ำค่าจากเกียรติยศที่เหลือทิ้งไว้ของราชาผู้ล่วงลับ อีกหนึ่งคือการขัดเกลาตัวเองด้วยการเผชิญหน้ากับศัตรูอีกสองเผ่าพันธุ์”

“นั่นก็เพราะมิติจักรพรรดิคือสถานที่การต่อสู้ของราชาทั้งสามเผ่าพันธุ์”

“หลังจากที่ได้เข้าไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่รอดกลับมา คนคนนั้นจะถือว่าเป็นผู้ชนะและได้รับความแข็งแกร่งที่ยากจะจินตนาการได้”

“ด้วยเหตุนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนนั้นจะต่อสู้ในนั้นด้วยใจที่กล้าหาญ และให้ถือซะว่าเป็นโอกาสตัดกำลังของอีกสองเผ่าพันธ์ุ”

คำพูดของหลินเฟิงนั้นราวกับการประกาศก่อนการเคลื่อนพลใหญ่ก็ว่าได้ และนี่ทำให้เด็กใหม่ทุกคนรู้สึกเลือดร้อนจนแทบจะหลงลืมการเตรียมตัวกันเลยทีเดียว

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนสำเร็จแล้ว หลินเฟิงได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้กับคนของเขาและจากไป

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านมีแก่นคริสตัลหรือไม่ หากไม่มีขอให้ท่านบอกข้า ข้าจะไปยืมมาจากท่านพ่อให้กับท่าน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉิงเชิน ไม่ต้องเป็นกังวลไป พวกเราจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง” เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉียงได้บอกปฏิเสธออกไปก่อนที่จะเหลือบไปมองหลินเฟิงและเว่ยหยวนตี้ที่อยู่ข้างหลัง ก่อนที่จะพาเจิ้งยี่และจางหยวนพร้อมทั้งคนอื่นๆเข้าไปในเขตเมือง