ตอนที่ 95-2 แม่ทัพใหญ่ผิงโค่ว

ชายาเคียงหทัย

ต้าฉู่จะต้องแตกออกเป็นเหนือใต้เช่นนี้จริงๆ หรือ มู่หรงเซิ่นร้องถามในใจ หรือว่าการรับมือกับติ้งอ๋องที่มีความดีความชอบในการปกป้องรักษาแคว้นจะสำคัญกว่าการปราบกบฏหลีอ๋องอย่างนั้นหรือ คนที่มีความซื่อตรงอย่างมู่หรงเซิ่นย่อมไม่เข้าใจในจุดนี้  

 

 

สำหรับม่อจิ่งฉีที่มีฐานะเป็นฮ่องเต้แล้ว ม่อซิวเหยาและม่อจิ่งหลีไม่เคยเป็นคู่ปรับที่อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันอยู่แล้ว ขอเพียงสามารถรับมือม่อซิวเหยาได้ อย่าว่าแต่ม่อจิ่งหลีคนเดียวเลย ต่อให้มีม่อจิ่งหลีเพิ่มมาอีกคนก็ยังมิมีอันใดน่าเป็นกังวล ต่อให้แผ่นดินถูกม่อจิ่งหลียึดครองไปได้ แต่อย่างไรเขาก็สามารถนำกลับมาได้ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากให้ม่อซิวเหยายึดครองพื้นที่ทางตอนใต้แม่น้ำไปได้ อย่าว่ามายึดกลับคืนมาเลย เกรงว่าจะต้องคอยป้องกันมิให้เขาบุกเข้ามาทางตอนเหนือของแม่น้ำเพื่อยึดพื้นที่ของทั้งต้าฉู่ไปเสียด้วย  

 

 

ดังนั้นอันที่จริงแล้ว ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะโกรธจัดเมื่อได้รับข่าวว่าจู่ๆ ม่อจิ่งหลีก็ยกทัพก่อการกบฏ แต่เมื่อเขาสงบลงแล้วกลับนึกดีใจ มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เขามีเหตุผลที่สมบูรณ์ในการสั่งประหารน้องชายร่วมอุทรของเขาคนนี้ 

 

 

           “แม่ทัพผิงโค่วขอเข้าเฝ้า!” มีเสียงกังวานใสดังขึ้นที่ด้านนอกเรือน ทุกคนที่อยู่ด้านในรวมถึงมู่หรงเซิ่นต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ต่อหน้าติ้งอ๋องแล้ว อย่าว่าแต่แม่ทัพใหญ่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งแต่ยังไม่เคยออกมาทำศึกสักครั้งเลย แม้แต่ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่กรำศึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนยังมิกล้าเสียมารยาทเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่คนใหม่ผู้นี้ไม่มีหัวคิดจริงๆ หรือไม่เห็นติ้งอ๋องอยู่ในสายตากันแน่ 

 

 

           เสียงอึกทึกของฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มากันเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น เยี่ยหลีเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า อย่างน้อยน่าจะมียี่สิบหรือสามสิบคนได้ ในตาจึงปรากฏแววขบขันขึ้น แม่ทัพใหญ่ผิงโค่วผู้นี้คงไม่ได้ตั้งใจมาวางอำนาจอวดใหญ่อวดโตหรอกกระมัง  

 

 

เฟิ่งจือเหยาเห็นสายตาของเยี่ยหลี จึงเบ้ปากอย่างดูแคลน คิดจะวางอำนาจต่อหน้าท่านอ๋อง หัวเขาถูกประตูหนีบมาหรือไร องค์ชายจากเป่ยหรงที่มาวางอำนาจต่อหน้าท่านอ๋องคนก่อน ได้ยินว่าตอนนี้สติสัมปชัญญะยังกลับมาไม่สมบูรณ์เลย 

 

 

           เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นจะถูกคนขวางไว้ จึงมีเสียงดุดันดังลอยเข้ามาว่า “บังอาจ! นี่คือท่านแม่ทัพผิงโค่ว ยังไม่หลีกทางให้อีกหรือ” 

 

 

           องครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ดูจะไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขอเชิญท่านแม่ทัพปลดอาวุธเสียก่อน องครักษ์ผู้ติดตามไม่สามารถตามเข้าไปได้” 

 

 

           “ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ จะปลดอาวุธออกได้อย่างไร ท่านติ้งอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” น้ำเสียงที่ฟังดูเด็กกว่าเจือแววเย่อหยิ่งและไม่พอใจ  

 

 

องครักษ์ตอบเสียงขรึมว่า “หากมิได้รับการอนุญาตจากท่านอ๋องให้นำอาวุธติดเข้าไปได้ ถือว่าตั้งใจมาลอบสังหารทั้งสิ้น ท่านแม่ทัพใหญ่ผิงโค่วเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพใหญ่คงเข้าใจในข้อนี้ดี อย่าทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเลยขอรับ” 

 

 

           เมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าประตู ม่อซิวเหยาถึงกับยกมือขึ้นนวดขมับ “ให้พวกเขาสองคนเข้ามาได้” 

 

 

ด้านนอกเรือนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็มีบุรุษสองคนเดินเข้ามา คนที่เดินนำเข้ามาอยู่ในชุดสีขาว คลุมด้วยผ้าคลุมออกศึกสีขาว มีกระบี่สีเงินห้อยอยู่ที่ช่วงเอว มองดูเต็มตัวแล้ว…เป็นประกายยิ่งนัก จนเยี่ยหลีถึงกับต้องกะพริบตา คิดไปถึงว่าก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาก็ดูเหมือนจะใส่ชุดสีขาวทั้งตัวเช่นนี้เช่นกัน  

 

 

นางเหลือบมองคนที่กำลังเดินเข้ามาอีกแล้ว ใจในอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ม่อซิวเหยาในชุดสีขาว ม้าขาว หอกสีเงิน มองดูแล้วสง่างามพร้อมแผ่รังสีที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องหลาดกลัว ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้…ในหัวของเยี่ยหลีมีประโยคหนึ่งลอยขึ้นมา คนที่ชอบใส่ชุดขาวมักเป็นผู้ที่หลงใหลคลั่งไคล้ในตนเอง  

 

 

ในขณะที่นางกำลังก้มหน้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็มีมือเย็นยื่นมาจับมือของนางไว้ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นม่อซิเหยากำลังอมยิ้มมองนางพร้อมส่งสายตาสงสัยมาให้ เยี่ยหลีส่ายหน้าบอกว่าไม่มีอันใด แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินตามหลังมา คนที่เดินตามหลังมามิได้มีลักษณะให้คิดถึงผู้ใดเป็นพิเศษ หากจะต้องให้เอ่ยถึงก็คือ เขาเดินขากะเผลก จึงทำให้เยี่ยหลีคิดถึงแม่ทัพคนก่อนที่รักษาการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ซึ่งม่อซิวเหยาเคยให้คำจำกัดความว่าเขาคือไองั่ง 

 

 

           เมื่อทั้งสองมาหยุดยืนต่อหน้าทุกคนแล้ว ดูเหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะทำความเคารพเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่มีใครคิดจะทำความเคารพพวกเขาเช่นกัน ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น นอกจากเฟิ่งจือเหยาแล้วก็ไม่มีใครที่มีลำดับขั้นต่ำกว่าเขา แต่เฟิ่งจือเหยาก็มิใช้นายทหารที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ย่อมไม่คิดที่จะทำความเคารพใดๆ  

 

 

บรรยากาศภายในสวนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ กวานถิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิ่วจิ้งอวิ๋นดูจะรู้ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงมิใช่วิธีที่ดีนัก จึงก้าวขึ้นหน้ามาเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพหลิ่วกับข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มารับช่วงดูแลเมืองหย่งหลินขอรับ” 

 

 

           ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ พยักหน้าน้อยๆ ก่อนเบนหน้าไปพูดกับเฟิ่งจือเหยาว่า “เฟิ่งซาน ถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทั้งหมดถอนกำลังออกจากหย่งหลิน” 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” 

 

 

           “ช้าก่อน!” กวานถิ่งรีบเอ่ยขัดขึ้น จ้องหน้าม่อซิวเหยาด้วยความหยิ่งทระนง “ท่านอ๋องคงไม่ทันฟังให้ชัดเจน แม่ทัพหลิ่วกับข้าได้รับพระบัญชาให้มารับช่วงดูแลเมืองหย่งหลิน ซึ่งรวมถึงทหารที่รักษาการอยู่ในเมืองหย่งหลินด้วย” ประโยคนี้ ไม่เพียงหมายถึงเมืองหย่งหลิน แต่ยังหมายรวมถึงหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองหมื่นนายที่อยู่ในเมืองหย่งหลินด้วย  

 

 

ทุกคนในที่นั้นต่างลอบถอนหายใจ สายตาที่มองกวานถิ่งประหนึ่งใช้มองคนที่ตายแล้ว ม่อซิวเหยาดูจะไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงยิ้มเรียบๆ พร้อมกล่วว่า “แม่ทัพกวาน ฝ่าบาท…ส่งท่านมายั่วโมโหข้าหรือ” 

 

 

           กวานถิ่งถึงกับหายใจสะดุด สีหน้าแข็งขึ้นทันที “ท่านอ๋องหมายความเช่นไร ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านอ๋องนำทหารเดินทางมาช่วยเหลือเมืองหย่งหลินก่อน แต่มิได้มีพระบัญชาให้ท่านบัญชาการปราบกบฏ ในเมื่อตอนนี้ผู้บัญชาการมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านอ๋องมิควรส่งมอบอำนาจทหารที่รักษาการอยู่ในเมืองหย่งหลินให้หรอกหรือ” เขาย่อมจำได้ดีว่า ก่อนออกเดินทางมานี้ฝ่าบาทให้กำชับเขาว่าอย่าได้ไปทำอันใดให้ม่อซิวเหยาโกรธ เพียงแต่…เมื่อคิดถึงเรื่องที่ม่อซิวเหยาได้เคยทำให้ตนอับอายเมื่อหลายปีก่อน ในแววตากวานถิ่งจึงปรากฏแววเจ็บแค้นใจ แล้วจึงเชิดคางขึ้นพยายามทำให้ตนดูองอาจมากที่สุด  

 

 

มู่หรงเซิ่นขมวดคิ้วกล่าวว่า “แม่ทัพกวาน ท่านอ๋องเพียงมีคำสั่งให้ถอนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีออกเท่านั้น เจ้าน่าจะรู้ว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี…”  

 

 

กวานถิ่งเอ่ยขัดเสียงดังขึ้นว่า “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมิใช่ทหารของต้าฉู่หรือ หรือว่าท่านติ้งอ๋องคิดอยากจะสร้างกองทัพเป็นของตนเอง!” พูดจบ แววตากวานถิ่งที่มองจ้องม่อซิวเหยาก็ดูมีความมาดร้าย 

 

 

           ม่อซิวเหยายกมือจับที่เท้าแขน ก่อนค่อยๆ ลุกยืนขึ้น กวานถิ่งชะงักไป เดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ม่อซิวเหยาเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว จ้องเขาด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมเอ่ยถามเสียงเบาว่า “แม่ทัพกวาน ท่านคิดเช่นนั้นหรือว่า ที่ข้าพักรักษาตัวอยู่ในตำหนักอยู่หลายปี จะทำให้ข้าอารมณ์เย็นขึ้นกว่าแต่ก่อน”  

 

 

กวานถิ่งหน้าซีดลงทันที มองจ้องชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูอ่อนล้าเล็กน้อยตรงหน้าด้วยความตื่นกลัว ม่อซิวเหยาอารมณ์เย็นหรือ หากผู้ใดที่เพิ่งได้มารู้จักเขาในตอนนี้ เก้าคนครึ่งในสิบคนจะต้องคิดว่าเขาเป็นคนอารมณ์เย็นมากอย่างแน่นอน แต่คนที่รู้จักม่อซิวเหยาจริงๆ มานานนั้น ย่อมรู้ดีว่า ท่านอ๋องท่านนี้…ไม่เคยเป็นคนอารมณ์เย็นมาก่อน เขาซ้อมม่อจิ่งหลีเพียงเพราะม่อจิ่งหลีแอบแกล้งเขา และเขาร่วมมือกับเฟิ่งเจือเหยาจัดการทำร้ายม่อจิ่งหลีก่อนจะนำตัวเขาไปแขวนไว้กับต้นไม้ และสามารถลงแส้กับกวานถิ่งต่อหน้านายทหารหลายพันคนเพียงเพราะเห็นว่าเขาบัญชาการรบไม่ได้เรื่อง นิสัยเช่นนี้ดูอย่างไรก็ไม่ถือว่าดีไปได้ 

 

 

           “ท่าน…ท่านคิดจะทำอันใด” กวานถิ่งเอ่ยด้วยความกลัว 

 

 

           “หากที่เจ้าพูดเมื่อสักครูมิใช่พระบัญชาของฝ่าบาท…แม่ทัพกวาน ท่านรู้ใช้หรือไม่ว่าจะมีโทษเช่นใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเรียบๆ 

 

 

           กวานถิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่กลับมิกล้าเปิดปากกล่าวว่าเป็นคำสั่งของม่อจิ่งฉี ต่อให้ม่อจิ่งฉีเสียสติไปแล้วก็คงไม่เอ่ยปากคิดยึดอำนาจการสั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจากม่อซิวเหยา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าม่อซิวเหยาจะยินดีให้หรือไม่ เพราะต่อให้ให้แล้ว เขาก็ไม่สามารถควบคุมหรือสั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้อยู่ดี มีแต่จะหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเท่านั้น  

 

 

กวานถิ่งจำต้องหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหลิ่วจิ้งอวิ๋นที่มิมีผู้ใดสนใจ ถึงแม้หลิ่วจิ้งอวิ๋นจะไม่พอใจที่ติ้งอ๋องไม่เห็นตนอยู่ในสายตา เพียงแต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าติ้งอ๋องเขาถึงได้รู้ว่า ตนไม่มีบารมีพอที่จะต่อกรกับติ้งอ๋องได้ ความหยิ่งทระนงก่อนหน้านี้ที่เคยมีเหลือเพียงความไม่ยินดีและหวาดกลัวเท่านั้น 

 

 

           “ท่าน…ท่านอ๋อง…” เมื่อถูกม่อซิวเหยาจับจ้อง สีหน้าของกวานถิ่งเริ่มมีความหวาดกลัว สุดท้ายได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดแรง ประหนึ่งถูกดูดพลังทั้งหมดที่มีไปกระนั้น  

 

 

ม่อซิวเหยาเดินอย่างมั่นคงผ่านหน้าเขาไป “เฟิ่งซาน เตรียมตัวออกเดินทาง” 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”