บรรลุด้วยยุทธ์ โดย ProjectZyphon

ประโยคนั้นของจ้าวหยินมีความหมายว่าอย่างไรนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก ตอนนี้สิ่งที่ทำให้สืออวี่มุ่นคิ้วคือ หลินสวินจะตัดสินใจอย่างไรกับคำท้าประลองของฮวาอู๋โยว

ถ้าหลินสวินไม่ไปตามคำท้า ด้วยนิสัยทำตามอำเภอใจของฮวาอู๋โยว ย่อมกล้าทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ให้ตาย ผู้หญิงคนนั้นน่ารำคาญจริงๆ” สืออวี่อดก่นด่าไม่ได้

“ข้าบอกแล้วว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าคนเดียวก็พอ”

หลินสวินพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ แผลบนแขนขวาของเขาประสานกันด้วยความเร็วจนน่าตกใจ ตอนนี้บนแขนขวาเหลือเพียงรอยแผลเป็นบางๆ

เพียงแต่แผลสามารถประสานเข้ากันได้ แต่คำท้าทายและการโจมตีของฮวาอู๋โยว หลินสวินไม่มีวันลืมง่ายๆ แน่

ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เขาผ่านการฆ่าฟันอย่างเหี้ยมโหดมาแล้วมากมาย เคยถูกดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังเอากระบี่จี้คอขู่ เคยถูกฉือฉางเฟิงดูถูกกดขี่

และวันนี้ก็ยังถูกฮวาอู๋โยวจู่โจมเข้ามาสังหารตามอำเภอใจ ถ้ายังทนต่อไปอีก เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเต่าหดหัวแล้ว!

“การประลองครั้งนี้ ข้าต้องไป!”

น้ำเสียงของหลินสวินหนักแน่นอย่างไม่เปิดโอกาสให้สงสัย

“นี่…”

สืออวี่และหนิงเหมิงต่างลังเล

ไม่ว่าฮวาอู๋โยวจะน่าชิงชังเพียงใด แต่นางก็เป็นบุคคลที่เก่งกาจมาก ดังจะเห็นได้จากการที่นางสามารถเข้าไปเป็นศิษย์สายใน ‘เรือนยุทธ์วิถี’ แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว

แม้ตอนนี้นางเป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง แต่กระทั่งผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลายก็ยังสู้นางไม่ได้!

ในบรรดาลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลในนครต้องห้าม ถ้าจัดอันดับความสามารถของเหล่าหนุ่มสาวผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ ฮวาอู๋โยวถือว่าเป็นหนึ่งในร้อยเลยเชียว!

การจัดอันดับนี้เหมือนจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่อย่าลืมว่าตระกูลทรงอิทธิพลภายในนครต้องห้ามมีเป็นร้อยเป็นพัน หนุ่มสาวยุคใหม่ที่มากความสามารถก็มีนับไม่ถ้วน การที่ติดหนึ่งในร้อยของระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถือว่าโดดเด่นมากในคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว

ส่วนหลินสวินเพิ่งจะบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น แม้พลังการต่อสู้จะเปลี่ยนไปมาก แต่ถ้าเทียบกับฮวาอู๋โยว เห็นได้ชัดว่ายังด้อยกว่ามาก

ในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้สืออวี่และหนิงเหมิงต่างไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลินสวิน

“ข้าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ย่อมต้องเป็นข้าแบกรับมันไว้ หลินสวิน เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากกับเรื่องนี้ ต่อไปเจ้ายังต้องดูแลตระกูลหลินทั้งตระกูล จะปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!”

หลินเสวี่ยเฟิงที่เงียบมาโดยตลอดกัดฟันพูด สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยวเต็มประดา

สืออวี่และหนิงเหมิงต่างอึ้ง ไม่คิดเลยว่าปัญหาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหลินสวิน แต่เพราะญาติผู้พี่คนนี้ของเขา!

ทว่าหลินสวินกลับพูดเสียงเย็น “ถ้าข้ามีความคิดแบบนี้ ตอนนั้นคงไม่ช่วยเจ้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับข้า!”

สีหน้าของหลินเสวี่ยเฟิงเปลี่ยนไปทันที ความรู้สึกในใจซับซ้อนพูดไม่ออก ทั้งขึ้งโกรธ รู้สึกผิด เสียใจ ซาบซึ้งใจ…

“ข้า…”

หลินเสวี่ยเฟิงอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกหลินสวินตบไหล่และยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”

“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ก็จัดการตามนั้น” สืออวี่เองก็พูดขึ้น เห็นชัดว่าดูออกเช่นกัน ว่าเปลี่ยนใจหลินสวินไม่ได้แล้ว

“ให้พวกเราพี่น้องช่วยเล่นงานหญิงบ้าคนนั้นจนไม่สามารถไปประลองได้ดีหรือไม่”

หนิงเหมิงเสนอ

แผนนี้แม้จะเป็นการลอบกัดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแผนที่ได้ผลมาก ทำให้สืออวี่และหลินเสวี่ยเฟิงต่างตาเป็นประกาย

“ไม่ต้อง”

หลินสวินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ นัยน์ตาลึกล้ำของเขาวูบไหวคล้ายขบคิดอะไรอยู่ “การประลองในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับข้า”

“โอกาสอันใด” หนิงเหมิงแปลกใจ

สืออวี่หยุดคิดไปครู่ก็กระจ่าง “เจ้าจะใช้การประลองในครั้งนี้ สร้างบารมีในนครต้องห้ามงั้นหรือ”

“ประมาณนั้น”

หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ความคิดของเขามีมากกว่านั้น ถ้าชนะ อาศัยการกำราบฮวาอู๋โยวสร้างฐานบารมี จะเป็นผลดีอย่างมากต่อการปกครองภูเขาชำระจิตของเขาในอนาคต!

ให้ฉายาที่ว่า ‘ผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’ อะไรนั่นหายไปซะ!

“ข้าไม่ได้ตั้งใจหักหาญน้ำใจกันหรอกนะ แค่อยากรู้ว่า ถ้า…”

หนิงเหมิงเพิ่งจะอ้าปาก หลินสวินก็รู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร “ศึกนี้ ข้าไม่เผื่อใจให้ความพ่ายแพ้!”

น้ำเสียงหนักแน่นยิ่ง

“ก็ดี! รอให้เจ้าชนะ ข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้เจ้าที่หอสรวลทรัพย์แห่งนี้อีก!”

สืออวี่พูดขึ้น

หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ข้าไม่กล้ามาร่วมงานเลี้ยงที่เจ้าจัดอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างคืนนี้อีก ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ”

สืออวี่ใบหน้าแข็งทื่อไป ในขณะที่หนิงเหมิงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

……

ยามหลินสวินออกจากหอสรวลทรัพย์ก็ดึกแล้ว

จูเหล่าซานบังคับเกี้ยวสมบัติไปส่งหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก่อน แล้วจึงพาหลินสวินกลับภูเขาชำระจิต

ระหว่างทางหลินจงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอสรวลทรัพย์แล้วก็ทั้งโกรธทั้งกังวล

หลินจงไม่เห็นด้วยที่หลินสวินตัดสินใจจะไปตามนัดการท้าประลองของฮวาอู๋โยว แต่เขาเองก็รู้ว่าห้ามหลินสวินไม่ได้

“ลุงจง เดี๋ยวกลับถึงภูเขาชำระจิต ท่านนำหนึ่งล้านเก้าแสนเหรียญทองนี้ไปให้พญาแร้ง บอกเขาว่าจะต้องยกระดับความสามารถของภูเขาชำระจิตขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด”

หลินสวินพูดพร้อมยื่นถุงใบหนึ่งให้หลินจง

เหรียญทองมหาศาลนี้ได้มาจากสืออวี่ ซึ่งก็คือรายได้จากการประมูลสมบัติวิญญาณล้ำค่าทั้งเจ็ดชนิดที่หลินสวินฝากสืออวี่ไปก่อนหน้านี้

ความจริงได้ทั้งหมดสองล้านสองแสนเหรียญทอง แต่หลังจากหักล้างกับสามแสนเหรียญทองที่ยืมจากสืออวี่ ก็เหลือหนึ่งล้านเก้าแสนเหรียญทอง

ลองคำนวณดูก็จะรู้ว่าสมบัติวิญญาณทุกชิ้น ล้วนประมูลออกไปในราคาที่สูงสามแสนกว่าเหรียญต่อชิ้น!

เงินก้อนโตนี้ ถือว่าช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้หลินสวินได้บ้าง อย่างน้อยภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ยังไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน

“เพราะอะไรหรือนายน้อย” หลินจงอึ้ง

“ข้ามีลางว่า วันคืนข้างหน้าจะต้องเจอปัญหาที่มากกว่านี้แน่ และเราก็มีเวลาไม่มากแล้ว”

หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเคร่งขรึม “หากตระกูลหลินของเราต้องการเชิดหน้าชูตาขึ้นมา ไม่เพียงแค่จะถูกตระกูลรองอื่นๆ ปฏิเสธและต่อต้าน ยังต้องรับมือกับการก่อกวนจากภายนอกอีกมากมาย เรา…ต้องรีบเตรียมพร้อมรับมืออย่างครอบคลุม”

หลินจงแววตานิ่งขรึม มองใบหน้าที่แน่วแน่และสงบนิ่งของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ แล้วอดสะท้านใจไม่ได้ หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำในช่วงที่ผ่านมา นายน้อยดูต่างจากวันแรกที่ก้าวเข้าสู่ภูเขาชำระจิตอย่างชัดเจน…

เขาเริ่มคุ้นชินกับฐานะของตัวเอง เริ่มสั่งสมความน่าเกรงขามและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

และนี่ก็คือเส้นทางการเปลี่ยนแปลง ที่ผู้ควบคุมอำนาจแห่งตระกูลทรงอิทธิพลทุกคนต้องเผชิญ!

……

พอกลับถึงภูเขาชำระจิต หลินสวินก็ไปเก็บตัวอยู่หน้าผายอดภูเขา คืนนี้จันทร์กระจ่างดาราหลบเร้น พยับเมฆมืดครึ้ม สายภูเขาเย็นเยียบ พัดพาผมของเด็กหนุ่มให้พลิ้วไหว

เคร้ง!

หลังจากนั้นไม่นาน หลินสวินก็ลุกขึ้นพร้อมดาบ เงาร่างร่ายรำพลิ้วไหว เริ่มฝึกวิชาดาบกลางท้องฟ้าและสายลม

ดาบคือยุทธ์ ยุทธ์คือดาบ

บรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน การฝึกยุทธ์ก็เปลี่ยนตามไปด้วย เริ่มตระหนักรู้และควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินได้

จวบจนขณะนี้เอง หลินสวินจึงพบว่าอานุภาพของ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ที่ตัวเองฝึกมา เพิ่งจะสําแดงฤทธิ์ออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง

เช่นกระบวนท่าคว้าดารา แม้เมื่อก่อนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยากจะทำอะไรยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะกระบวนท่านี้มีพลังจำกัด แต่เป็นเพราะพลังปราณของเขาน้อยเกินไป

ส่วนตอนนี้ ถ้าใช้กระบวนท่าคว้าดารา ก็จะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน พลังระดับนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่ใช่แค่หนึ่งเท่า!

หรือจะเป็นกระบวนท่าสอยจันทรา พลานุภาพยิ่งยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบและไม่มีที่สิ้นสุด หากใช้ร่วมกับพลังแห่งจันทรา ย่อมมีพลังที่สามารถสะเทือนภูเขาแม่น้ำ ทำลายล้างสรรพสิ่งได้

และตอนนี้หลินสวินก็กำลังฝึกกระบวนท่าสอยจันทราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

ภายใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ ผมยาวปลิวพลิ้ว ดาบคมเปล่งประกาย สะท้อนแสงจันทร์เต็มฟ้า

สีหน้าของเขานิ่งสงบ ดวงตาสีดำราบเรียบ ราวกับได้ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหอสรวลทรัพย์ จ่อมจมอยู่ในสภาวะลืมสิ้นทุกสิ่ง

จดจ่อจนลืมตัว

ในโลกของการฝึกปราณ เรียกสิ่งนี้ว่าจดจ่อจนลืมตัว!

เหมือนเช่นหลินสวินในตอนนี้ที่วาดดาบไปตามใจ ล่องลอยดุจจันทร์กระจ่างและสายลมเย็น ไหลเคลื่อนราวกับหมู่เมฆและธารน้ำ ไร้ซึ่งร่องรอย เปี่ยมไปด้วยความสงบ

“เขายังคงกำลังฝึกดาบเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้รีบเร่งใช้เวลาทั้งหมดกับการทะลวงขั้นปราณ ดูเหมือนว่าการนัดประลองในอีกสามวันข้างหน้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยสักนิด”

พญาแร้งที่ยืนอยู่ไกลออกไปคล้ายกำลังใคร่ครวญ

เสี่ยวเคอเองก็แอบพยักหน้า

สภาวะของหลินสวินในตอนนี้ก็คือการลืมตัวตน ท่าทางสงบไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้ ถ้ามีเรื่องที่ยังผูกมัดตัดไม่ขาดอยู่ ไม่มีทางนิ่งสงบขนาดนี้ได้แน่

ในอีกด้านของยอดเขามีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง ตรงหน้ากระท่อมหลินจงทอดสายตามองไปที่ยอดผาบนเขา แววตาวาบประกายแปลกประหลาด

“การฝึกยุทธ์ก็คือวิถีแห่งยุทธ์ นายน้อยเริ่มใช้ยุทธ์บรรลุวิถี เพื่อควบคุมนัยอันแท้จริงของการต่อสู้”

หลินจงพึมพำ “ปีนั้นหลังจากข้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลาย ถึงเพิ่งจะเข้าใจหลักการนี้… ก็ไม่รู้ว่าตอนที่นายน้อยบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ จะได้ครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรคในระดับใด…”

“ใครบอกว่าพลังแห่งสัจจะมหามรรคต้องบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก่อนถึงจะครอบครองได้”

จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังแว่วออกมาจากในกระท่อม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นจูเหล่าซาน

“เมื่อครั้งฆ่าฟันอยู่ในสนามรบ ข้าเคยพบคนหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถควบคุมสัจวิถีธาตุไฟซึ่งอยู่ในมหาวิถีปัญจธาตุได้ทั้งที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง หนึ่งกระบี่ทำลายล้างสรรพสิ่ง ไม่มีผู้ใดเทียบได้”

จูเหล่าซานเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับสร้างความประทับใจให้หลินจง “ใครกัน?”

“ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ รู้เพียงว่าเขาชื่อเฉินเสียนตู้”

หลินจงอึ้งงันไป สายตาจ้องไปที่หลินสวินซึ่งสะบัดดาบร่ายรำท่ามกลางหมู่เมฆและแสงจันทร์บนยอดเขา กล่าวอย่างคล้ายขบคิด “ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่านายน้อยจะได้ครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรคตั้งแต่ยังไม่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะงั้นหรือ”

“ไม่รู้”

จูเหล่าซานตอบตรงมาก ทำให้ใบหน้าหลินจงแข็งทื่อไปทันที

ครู่ใหญ่หลินจงจึงเปรยว่า “ต่อให้นายน้อยไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ด้วยพลังยุทธ์ของเขา ย่อมเพียงพอที่จะเป็นบุคคลผู้น่าภาคภูมิในระดับมหาสมุทรวิญญาณ!”

ในท่าทางนั้นปรากฏความรู้สึกหยิ่งผยองภาคภูมิอย่างบอกไม่ถูก