บทที่ 162: การแลกหินวิญญาณ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 162: การแลกหินวิญญาณ

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

แม้แต่เหล่าอาจารย์ที่เพิ่งทำการบรรยายไปก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง

ตอนที่คะแนนการสอน 90 คะแนนของฉินเย่ปรากฏขึ้นมาหน้ารายการแรก คนอื่น ๆ ต่างก็มีความคิดเห็นเหมือนกันกับหวางเฉิงหยาง ในเรื่องการกำจัดภูตผี พวกเราอาจจะไม่เก่งเท่านาย แต่ถ้าเป็นเรื่องการให้ความรู้…ด้วยอายุของนายแล้ว พวกเรายังคงมีความได้เปรียบอยู่มาก

ถ้านายได้ 90 คะแนน หมายความว่าระบบการให้คะแนนของภาคการศึกษานี้หละหลวมเป็นอย่างมาก บางทีพวกเขาอาจจะต้องการรักษาหน้าบุคลากรของตัวเอง ดังนั้นครั้งนี้ทุกคนจะต้องได้คะแนนตั้งแต่ 90 คะแนนขึ้นไปแน่นอน

แต่คะแนนของอาจารย์คนอื่น ๆ กลับบอกพวกเขาว่าพวกเขาคิดผิด

ไม่มีคะแนนพิเศษสำหรับการรักษาหน้าของเหล่าบุคลากรของตัวเอง พวกเขาต่างได้รับคะแนนตามที่ฝ่ายบริหารระดับสูงเห็นสมควร คะแนน 90 คะแนนของฉินเย่จึงดูยากที่จะก้าวข้ามขึ้นมาทันที!

“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะได้เป็นอาจารย์ดีเด่นโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมการฝึกฝนอะไรอื่นเลยก็ได้! เด็กหนุ่มคนนี้…เทพองค์ใดกันที่ส่งเขามา?! นี่เขาคือปรมาจารย์กลับชาติมาเกิดหรือไงกัน?!” อาจารย์ที่ได้ทำการบรรยายเปิดเมื่อเช้านี้เก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิมด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงเริ่มคิดแผนการสำหรับระยะเวลาที่เหลือของภาคการศึกษา

ฉินเย่ออกจากแอปโม่โม่ขณะที่จมอยู่ในความคิดของตัวเอง

ตาแก่สองคนนี้…เจ้าเล่ห์จริง ๆ

หากมองผิวเผินแล้วข้อกำหนดทั้งหมดนี้อาจดูไม่สำคัญ แต่มันก็ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ละสาขาสามารถแยกกันทำงานหรือร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้

สถานที่ทำงานก็เปรียบเสมือนสนามรบ ทุกคนต่างพยายามอย่างหนักที่จะแย่งชิงคะแนนการสอนมาเป็นของตน

แต่ถึงกระนั้น ในขณะที่ทุกคนพยายามอย่างหนัก รองผู้อำนวยการชั่วร้ายก็จะพูดว่า : ก็ได้แต่ถ้าทำวิจัยหัวข้อเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็จะได้คะแนนรวมกันนะ

จะแย่งชิงคะแนนการสอนของตัวเอง หรือจะร่วมมือกันและทำเพื่อส่วนรวม…เขาต้องบอกเลยว่า เขากำลังตั้งตารอถึงวันที่ตาแก่สองคนนี้จะบินไปที่ปลายขอบฟ้าด้วยปีกของนกกระเรียน[1]…พาพวกเขาไปที่ยมโลกมากกว่าสิ่งอื่นใด…

“ในฐานะของยมทูต ข้ารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก….” ฉินเย่แสร้งทำเป็นปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงออกจากดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตน

“แล้วกระเพาะของข้าล่ะ?” อาร์ทิสหันไปมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อฉินเย่ก้าวเข้ามาในห้อง หมิงชีหยินเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน ข้อความปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระจกทันทีที่เห็นเขา “เจ้าหนูน้อย นี่เจ้าไปไหนมาทั้งวัน? เจ้าไม่นึกถึงความรู้สึกของผู้สูงอายุที่ต้องอาศัยอยู่ในรังเปล่า ๆ ทั้งวันบ้างเลยหรือ?!”

ท่านหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าผู้สูงอายุที่ต้องอาศัยอยู่ในรังเปล่า ๆ น่ะ?!

ฉินเย่ข่มความรู้สึกอยากทำลายกระจกตรงหน้าด้วยความพยายามอย่างหนัก ก่อนจะฉีกยิ้มร่าเริงและเอ่ยว่า “ข้าจะไปเอามาให้ท่านคืนนี้”

“เย็นนี้มีซี่โครงอ่อนเปรี้ยวหวาน” อาร์ทิสยังคงมีสีหน้าโกรธเคืองอยู่ “ข้าชอบซี่โครงอ่อนเปรี้ยวหวานที่สุด”

นางหยุดไปครู่หนึ่งและเอ่ยต่อว่า “ข้าเห็นมันจากรายการอาหารก่อนหน้านี้”

อีกนัยหนึ่งก็คือ นางต้องการจะบอกว่านางไม่ได้ต้องการจะยั่วยุนายจริง ๆ นะ

ให้ตายเถอะ ข้าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี…ฉินเย่ครวญครางออกมาเบา ๆ ในลำคอขณะที่นั่งลงบนโซฟาอย่างแรง “คืนนี้! ข้าจะนำซี่โครงอ่อนเปรี้ยวหวานสามชุดมาให้ท่าน! หากท่านไม่อยากที่จะให้ข้าต้องกระโดดลงจากตึก อย่าพูดเรื่องน่าอายอย่างการไปเก็บกระเพาะของท่านกับข้าอีก!”

ท่านจะทำให้ข้าเป็นบ้าเข้าสักวัน!

ปฏิกิริยาของเขานั้นรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงจนแม้แต่อาร์ทิสเองก็ยกมือปิดปาก จากนั้น ก่อนที่นางจะได้ตอบอะไรกลับไป ฉินเย่ก็เอ่ยต่อว่า “คลังสมบัติจะเปิดคืนนี้! ข้าควรจะไปแลกหินวิญญาณเลยดีหรือไม่?”

“ข้าคิดว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่เจ้าจะได้เดินทางลงไปยมโลก และข้าก็อยากรู้ด้วยว่าตอนนี้บริษัทก่อสร้างหยินดำเนินการอะไรไปถึงไหนแล้ว” อาร์ทิสพยักหน้า “ไปแลกหินวิญญาณก่อนก็แล้วกัน จำนวนประชากรวิญญาณในยมโลกตอนนี้ยังไม่มากนัก และมันก็ยังมีสิ่งก่อสร้างพิเศษอย่างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณที่เราสามารถเริ่มดำเนินการได้แล้ว แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความผิดพลาดด้วย”

“เพราะอย่างไรแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่จำนวน แต่คือคุณภาพ”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและกำลังจะเดินจากไปเมื่ออาร์ทิสเอ่ยเรียกอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน”

วัตถุเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ลอยมาอยู่ในมือของฉินเย่ อาร์ทิสเอ่ยขึ้นว่า “ตอนที่เจ้าไปเอากระเพาะของข้ากลับมาก็ช่วยทำความสะอาดของในถุงนั้นให้ข้าด้วยนะ”

ฉินเย่รู้สึกได้ว่าหางตาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ และลางสังหรณ์ไม่ดีก็พลันเกิดขึ้นในใจ ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่รู้สาเหตุ “ท่านจะไม่บอกข้าหน่อยหรือว่าสิ่งนี้คืออะไร?”

อาร์ทิสกลอกตา “เหตุใดเจ้าถึงถามมากนัก? มันคือปอดของข้า อากาศทุกวันนี้แย่จะตายชัก และการหายใจของข้าก็ไม่ราบรื่นเท่าที่ข้าต้องการ ให้ดีที่สุดก็คือเอามันไปทำความสะอาดด้วยไงล่ะ”

เหอะ เหอะ เหอะ…ฉินเย่แค่นหัวเราะอย่างอับจนหนทาง และโยนถุงดังกล่าวไปไว้ที่ใต้เตียง ท่านจะใช้ชีวิตสบายเกินไปแล้ว….

เขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะทำใจให้สงบลง แอบชื่นชมตัวเองนิด ๆ ที่จิตใจแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต้านทานการจู่โจมของอาร์ทิสได้ จากนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบของรางวัลจากการต่อสู้ครั้งก่อนหน้าของตนออกมา

ก่อนหน้านี้เขาได้คะแนนความดีมา 20,000 คะแนนจากการที่ทำลายเขตไล่ล่าในเมืองเป่าอันได้สำเร็จ

จากนั้นก็ยังมีลูกประคำที่ทำจากหัวกะโหลกของเชาโยวเต๋า รวมไปถึงเครื่องบันทึกเทปและตลับเทปที่ได้มาจากบ้านพักคนชราในตอนที่เขาพบที่ตั้งของศูนย์วิจัย SRC ครั้งแรกอีกด้วย

ตามกฎของการแลกหินวิญญาณ วัตถุหยินขั้นนักล่าวิญญาณมีค่า 30,000 คะแนนความดี…หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตอนนี้เขามีคะแนนความดีอยู่ถึง 110,000 คะแนน! หากคิดตามอัตราส่วนแล้วเขาก็จะสามารถแลกหินวิญญาณได้ทั้งสิ้น 11,000 ก้อน!

หลังจากที่เก็บหอมรอมริบมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างรายได้จากมันได้สักที….

เขาหยิบกล่องไม้สามกล่องที่มียันต์ติดอยู่ออกมาและใส่วัตถุหยินเข้าไป จากนั้น พร้อมกับกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ที่ไหล่ เขาก็เดินตรงไปที่สนามบาสเกตบอลทันทีหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปถึง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าทุกอย่างโดยรอบเปลี่ยนไป

ใครบางคนได้ผูกเชือกสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่บริเวณทางเข้าของสนาม เหรียญทองแดงห้อยลงมาอย่างเป็นระเบียบตามเชือกแต่ละเส้น ตามตำนานกล่าวว่า เหรียญทองแดงที่ได้เปลี่ยนมือเจ้าของเกินหมื่นครั้งจะมีพลังหยางที่แข็งแกร่ง และจะสามารถขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ สิ่งนี่ยังเป็นคำอธิบายด้วยว่าเหตุใดวิญญาณจึงไม่รับหน่วยเงินจากแดนมนุษย์หลังจากที่ตายไปแล้ว

สำนักฝึกตนแห่งแรกเป็นเขตบ่มเพาะแห่งใหม่ของจีน การที่พวกเขาแขวนอะไรแบบนี้ไว้ทั่วทางเข้าหลักแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าสำนักแห่งนี้มีความสำคัญมากเพียงใด

เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกมันก็คือสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่คู่กับประวัติศาสตร์จีนมานานนับพันปี

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้าวเข้าไปในอาณาเขตตรงหน้า

ทันทีที่เขาเปิดประตู รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งโรงยิมมีการเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นหลังจากเข้ามาก็คือทางเดินอันยาวเหยียด

และมันก็ไม่ใช่ทางเดินที่ถูกสร้างด้วยการออกแบบเหมือนกับตึกระฟ้าสมัยนี้ กลับกัน…มันดูเก่าแก่และโบราณกว่ามาก…ไหนจะประตูบานเลื่อนโบราณที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งอีก….

พื้นไม้สีซีดถูกขนาบข้างด้วยประตูสีน้ำตาลแดงที่ปิดสนิท แสงสว่างอ่อน ๆ เล็ดลอดออกมาจากลวดลายแกะสลักที่ประณีต โคมไฟพระราชวังโบราณถูกแขวนอยู่เหนือศีรษะ ในขณะที่เชิงเทียนสีเข้มถูกตั้งอยู่ทั้งสองข้างของทางเดิน หากฉินเย่ไม่รู้ เขาคงคิดว่าตัวเองก้าวเข้ามาในคฤหาสน์โบราณไปแล้ว

ด้านในนั้นเงียบมาก

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ การเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ทำให้เขาขนลุกขึ้นมา เขารู้สึกราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งทรงพลังอย่างไม่สามารถเทียบได้ กำลังจ้องมองมาที่เขาจากที่ที่ไกลออกไป

ใครบางคนกำลังจับตาดูเขาอยู่…และคนคนนี้ก็น่าสะพรึงกลัวว่าโจวเซียนหลง!

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยและเย็นชาดั่งเดิม นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คลังสมบัติจะปราศจากผู้คุ้มกัน หากไม่มีนายประตูอยู่ที่ทางเข้า เช่นนั้น…มันก็หมายความว่านายประตูที่จะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ นี้

เขาไม่รู้เลยว่าด้านหลังของประตูเลื่อนพวกนี้มีเสื่อผืนใหญ่ปูอยู่บนพื้น

ในความเป็นจริงแล้ว ม่านไม้ไผ่แถวหนึ่งถูกแขวนอยู่ด้านหลังของประตูเลื่อนทางซ้ายมือของฉินเย่ พระภิกษุสงฆ์ชราหลายรูปในชุดอาภรณ์สีแดงที่ปักด้วยดิ้นทองกำลังนั่งเรียงกันอยู่บริเวณทางเดินด้านโถงหลังของบานประตูเลื่อนราวกับรูปสลักหินขณะที่เคาะบักฮือเป็นจังหวะ การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นมีสม่ำเสมอและพร้อมเพรียงกันอย่างน่าเหลือเชื่อ ทว่าสิ่งที่ตกใจที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าผิวของพวกเขาล้วนเปล่งประกายแสงสีทองอ่อน ๆ ออกมา ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันเป็นประตูกั้นเท่านั้น แต่ฉินเย่กลับไม่ได้ยินเสียงสะท้อนจากการเคาะบักฮือเลยแม้แต่นิดเดียว!

หม้อปิดทองที่มีดอกบัวลอยอยู่ด้านในถูกวางอยู่ที่มุมโถง นอกเหนือจากนั้น สิ่งเดียวที่มีอยู่ภายในห้องก็คือเชิงเทียนที่ถูกออกแบบให้เป็นรูปทรงของพระพุทธรูป

ทางฝั่งขวายังมีนักพรตเต๋าชราอีกหลายสิบคนซึ่งมันผมเป็นมวยและแต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมยาวปักลายนกกระเรียนและก้อนเมฆ พวกเขาสะพายดาบยาวไว้บนหลังและถือแส้หางม้าไว้ในมือ พวกเขาแต่ละคนล้วนดูดีเสียจนสามารถเป็นร่างอวตารของไตรวิสุทธิเทพได้อย่างง่ายดาย [2]

หากฉินเย่สามารถเดินเข้าไปใกล้พวกเขาได้ และเขาสัมผัสได้ในทันทีว่า…ไม่มีใครกำลังหายใจอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

แต่การเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาที่เปลือกตาของพวกเขาก็ทำให้รู้ว่าพระและนักพรตเต๋าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่

ทางเดินยาวทอดตัวอยู่ระหว่างกลางทั้งสอง ฉินเย่เดินไปตามทางอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ยิ่งเขาเดินไปไกลมากเท่าไหร่ แสงสว่างที่ลอดผ่านบานประตูแกะสลักก็ยิ่งสว่างมากขึ้น ในขณะที่เงาของเขาอ่อนลงเรื่อย ๆ จากนั้นเมื่อเขาอยู่ห่างจากปลายสุดของทางเดินประมาณสิบเมตร เงาของเขาจางจนแทบจะหายไป ทันใดนั้นพลังหยินภายในร่างก็เริ่มแผ่ออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด

เขาสามารถมองเห็นปลายสุดของทางเดิน ผ้าสีขาวผืนยาวถูกแขวนอยู่ ปกปิดเคาน์เตอร์ที่อยู่เบื้องหลัง ทว่าทันใดนั้น เหล่าพระภิกษุสงฆ์และนักพรตเต๋าที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่งทางพลันลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน!

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ! เทียนทุกเล่มที่อยู่ภายในห้องดับลงพร้อมกันทันที ในขณะที่สายลมนรกที่น่าสะพรึงกลัวพัดผ่านไปทั่วทางเดินและทำให้ม่านไม้ไผ่ปลิวไสวอย่างรุนแรง

“อมิตาพุทธ” ทางฝั่งซ้ายมือ พระภิกษุที่นั่งอยู่ตรงกลางของกลุ่มก็ยกมือขึ้น เผยให้เห็นลูกประคำ 108 ลูกที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมที่ปักด้วยดิ้นสีทองของเขา จากนั้น ในเสี้ยววินาทีถัดมา มันก็ระเบิด!

“วิญญาณตนใดกัน…” เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “…ที่กล้าแอบเข้ามาในขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์นี้!”

ทางฝั่งซ้ายมือ แส้หางม้าในมือของเหล่านักพรตเต๋าเองก็เริ่มปลิวไสวอยู่รุนแรงก็สายลมนรกที่พันผ่านเข้ามา ทันใดนั้นแส้ดังกล่าวก็ระเบิดออก ทำให้มีสายแส้สีขาวกระจายเต็มห้องไปหมด นักพรตเต๋าชราที่นั่งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของห้องลืมตาขึ้นทันที เผยให้เห็นว่ารูม่านตาของเขานั้นเป็นสีแดงเข้มอย่างชัดเจน

“ช่างเป็นพลังหยินที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้…” เขามองไปรอบๆอย่างตกตะลึง “ไม่…พลังของมัน…พลังของมันสูงกว่าพวกวิญญาณตนอื่น ที่เราเคยเจอมาก่อน! มันเหมือนกัน…การลงมาจุติของท่านจ้าวนรก!”

ในขณะเดียวกัน เศษตราจ้าวนรกที่ถูกเก็บอยู่บริเวณอกของฉินเย่ก็สั่นไหวเล็กน้อย และปรากฏการณ์แปลกประหลาดระหว่างทั้งสองฝ่ายก็หายไปทันที

“หายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” พระภิกษุทั้งหลายรูปล้วนประหลาดใจเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างหันไปมองร่างของเด็กหนุ่มที่เดินอยู่บนทางเดิน

มีเงา

“ยมบาลตนสุดท้ายของยมโลก?” พระชราค่อนข้างมึนงง แต่หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็พยักหน้าและหลับตาลงเพื่อทำสมาธิอีกครั้ง

ฉินเย่รู้สึกไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรขึ้น นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่าเขาเกือบเสียชีวิตไปเมื่อครู่นี้ เขายักไหล่เล็กน้อยและเดินต่อจนไปถึงท้ายสุดของทางเดิน จากการคาดคะเนของเขา ที่แห่งนี้จะต้องบริเวณใจกลางของสนามบาสเกตบอลแน่ ๆ เด็กหนุ่มค่อย ๆ ดึงผ้าม่านสีขาวที่แขวนอยู่ออกช้า ๆ

ด้านหลังม่านมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่

เขาแต่กายด้วยชุดเสื้อผ้าโบราณและมีสีผิวที่ซีดเซียว นอกเหนือจากนั้น รูปลักษณ์ส่วนอื่นของเขาดูจะไร้ที่ติ

ด้านหลังของเขาคือชั้นหนังสือที่ถูกทำสัญลักษณ์ไว้ตั้งแต่ A ไปจนถึง D เชิงเทียนแกะสลักรูปนกกระเรียนที่วางอยู่ด้านข้างถูกจุดด้วยไฟอ่อน ๆ เอาไว้ แต่มันกลับส่องสว่างราวกับเป็นโคมไฟสมัยใหม่

ฉินเย่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งผู้ทรงภูมิลอยอยู่ภายในห้อง เขาโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างเคารพและมองไปยังหนังสือในมือของคนตรงหน้า

หืม?….สัประยุทธ์ทะลุฟ้า…

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคิ้วของชายหนุ่มผู้นี้จึงดูคมราวกับใบมีดอย่างนั้นหรือ? ความสามารถของท่านไม่เข้ากับใบหน้าของท่านในตอนนี้เลยสักนิด!

ดูเหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นฉินเย่ในที่สุด เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา “ในที่สุดก็มีคนมาที่นี่….”

สายตาของฉินเย่วูบไหวเล็กน้อย ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีเงา ยิ่งกว่านั้น…ทั้งมือและเท้าของเขาล้วนถูกล่ามไว้ด้วยโซ่!

“คุณเป็นคนหรือผี?”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ชายหนุ่มยิ้มบาง “มีความเป็นไปได้ว่าฉันกำลังจะกลายร่างเป็นวิญญาณอีกในไม่กี่วินาทีข้างหน้า…ดังนั้นหากนายรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ นายควรหนีออกไปทันที”

ฉินเย่ผงะไป จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่แน่ใจนักขณะที่ถามต่อว่า “วิญญาณผสาน?”

ไร้ซึ่งเสียงตอบ

ชายหนุ่มหันหน้าไปหาผู้มาใหม่ เมื่อครู่นี้เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ และฉินเย่ก็มองเห็นเพียงด้านข้างของเขาเท่านั้น ทว่าทันทีที่อีกฝ่ายหันหน้ามา ฉินเย่ก็พบว่า…ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของผู้ชายคนนี้ล้วนถูกสร้างจากพลังหยิน! แม้แต่รูม่านตาของคนตรงหน้าก็เป็นสีแดงสดทั้งหมด!

ฉินเย่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขาถอยห่างจากอีกฝ่ายและเปลี่ยนไปอยู่ในท่าป้องกันทันที มือของเขาวางค้างอยู่บริเวณเอว ตราบใดที่ชายหนุ่มตรงหน้าทำอะไรขึ้นมา กระบี่ปีศาจจะก่อตัวและปรากฏออกมาทันที

วิญญาณผสาน…อาร์ทิสเคยบอกว่านี่คือหนึ่งในวิญญาณที่แปลกประหลาดที่สุดในหมู่วิญญาณทั้งหมดนอกเหนือจากวิญญาณระดับ A สามระดับแรก!!

มันยังถูกรู้จักในอีกหลาย ๆ ชื่ออย่าง

ปี่เซียน [3] เตี๋ยเซียน [4] ฮว่าผี [5]….นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตายที่ผิดปกติ มันคือวิญญาณที่แปลกประหลาดและหายากอย่างถึงที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับอาศัยอยู่ภายในสำนักฝึกตนแห่งแรก!

[1] 驾鹤西归 แปลว่า นั่งกระเรียนขึ้นสู่สวรรค์ หมายถึง ไปยังโลกหลังความตาย

[2] เทพสูงสุด 3 พระองค์ในลัทธิเต๋า

[3] คล้ายกับผีถ้วยแก้วสมัยใหม่ของจีนโดยผู้เล่นจะถือปากกาไว้ในมือและอัญเชิญวิญญาณมาจับที่มือของเขาและขีดเขียนเป็นคำหรือรูปต่างๆ

[4] ผีถ้วยแก้วสมัยใหม่ของจีนที่ใช้จานใบเล็กเคลื่อนที่ไปตามคำภาษาจีนต่างๆ

[5] นิทานปรัมปราของจีนเกี่ยวกับปีศาจหรือผีที่ห่อหุ้มตนเองด้วยผิวหนังของมนุษย์ หรือที่รู้จักกันในหนังเรื่องโปเยโปโลเย