ตอนที่ 185 สามปีต่อมา...

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“จู่โจมทางจิต!” การจู่โจมทางจิตอันทรงพลังโจมตีไปยังมู่สุ่ยชิง ทว่าเมื่อการจู่โจมทางจิตนี้ปะทะเข้ากับร่างจิตของอีกฝ่าย มันก็สร้างระลอกคลื่นให้กับโล่จิตของอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

จากการโจมตีนี้ หลิงหลานก็รู้ว่าพลังจิตของอาจารย์เธอหนาแน่นอย่างแน่นอน การจู่โจมทางจิตทั่วไปไม่สามารถสะเทือนมันได้เลย แล้วเธอก็ได้ยินมู่สุ่ยชิงกล่าวพลางส่ายหน้าตามที่คาดไว้จริงๆ “พลังแค่นี้ไม่สามารถเรียนรู้บัญชาเทวะ สุดยอดทักษะได้หรอกนะ”

หลิงหลานขมวดคิ้ว รู้ว่าถ้าหากไม่ทุ่มสุดกำลังก็ไม่สามารถผ่านการทดสอบไปได้ ดังนั้นเธอจึงกัดฟัน ตัดสินใจใช้เทคนิคการโจมตีทางจิตที่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือระเบิดพลังจิต!

แน่นอนว่าพลังของระเบิดพลังจิตอาจจะสั่นคลอนมู่สุ่ยชิงได้ยากมากเช่นกัน หลิงหลานจึงนำการระเบิดพลังสี่ชั้นที่ตอนนี้เธอสามารถทำได้ออกมาโจมตีทันที

ระเบิดสี่ชั้นก็คือการที่หลิงหลานแบ่งพลังจิตของตัวเองออกเป็นพลังจิตสี่สายโดยเฉลี่ย หลังจากนั้นก็ระเบิดแยกกัน พลังระเบิดซ้อนทับทีละชั้น ทำให้อานุภาพการระเบิดพลังจิตรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า จนกระทั่งถึงตอนที่ระเบิดพลิงจิตชั้นที่สี่ พลังงานที่เกิดขึ้นจะเป็นพลังงานที่เพิ่มขึ้นแปดเท่าของการระเบิดพลังจิตดั้งเดิมของเธอ เห็นได้ว่าเป็นอานุภาพของการระเบิดพลังจิตรูปแบบทับซ้อนกัน นี่เป็นวิธีการปล่อยพลังที่หลิงหลานเลียนแบบหมัดหนึ่งนิ้ว ถือได้ว่าเป็นกระบวนท่าโจมตีทางจิตที่หลิงหลานสร้างขึ้นเอง

หลิงหลานผนึกพลังจิตให้กลายเป็นเชือกจิตที่หนาเท่าแขนสี่เส้นอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็แผ่ขยายไปหามู่สุ่ยชิงซ้อนกันทีละชั้นตามลำดับก่อนหลัง ในตอนที่กำลังจะสัมผัสกับเกราะคุ้มกันจิตของมู่สุ่ยชิงนั้น หลิงหลานก็ร้องออกมาสี่คำอย่างเด็ดขาดเบาๆ ว่า “ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด!”

 พลังจิตสี่สายระเบิดติดต่อกันทีละสายอยู่กลางอากาศที่มองไม่เห็น อากาศไร้รูปร่างปรากฏเป็นคลื่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันทีละชั้นในพื้นที่ที่พวกเขาทั้งสองคนอยู่ หลังจากที่พลังจิตสายสุดท้ายระเบิดออก พลังงานจากการระเบิดพลังจิตที่ซ้อนทับกันพุ่งใส่มู่สุ่ยชิงราวกับกระแสน้ำทะเลก็ไม่ปาน

เมื่อเกราะคุ้มกันจิตของมู่สุ่ยชิงสัมผัสพลังสั่นสะเทือนทางจิตมหาศาลสายนี้ สีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้ พนมมือทั้งสองข้างฉับพลัน ทำเสียงฮึดฮัด พลังจิตที่เดิมทีป้องกันร่างกายถูกเสริมความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง…

“ปัง!” พลังจิตสองสายชนกันอย่างรุนแรงในกลางอากาศ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่ได้ยินเสียงปะทะกัน แต่พลังที่ส่งกลับมาจากในอากาศก็ทำให้เธอรู้ว่าแรงปะทะครั้งนี้เหนือกว่าการระเบิดพลังจิตครั้งไหนๆ ของเธอ

พลังมหาศาลกระแทกกันก่อนจะสะท้อนกลับมาที่ร่างของหลิงหลานฉับพลัน พลังที่พุ่งมารวดเร็วมากเกินไปและแข็งแกร่งมากเกินไป เธอไม่สามารถประคองตัวยืนได้อย่างมั่นคง จากนั้นทั่วทั้งร่างก็กระเด็นลอยไปข้างหลัง ล้มลงไปกับพื้นจากพลังสะท้อนสายนี้ทันที

ส่วนทั่วทั้งร่างของมู่สุ่ยชิงก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงหลายที สีหน้าของเขาซีดเผือด แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร แต่ลานบ้านของมู่สุ่ยชิงถูกทำลายจนหมดท่ามกลางการปะทะกันของพลังสองสายนี้ พลังงานมหาศาลเป่าทุกสิ่งทุกอย่างในลานบ้านจนกลายเป็นผุยผง กระทั่งกำแพงบ้านที่มู่สุ่ยชิงพักอาศัยก็ปรากฏรอยร้าวเป็นสายๆ เช่นกัน ให้ความรู้สึกอันตรายไม่มั่นคง เห็นได้ถึงความน่ากลัวของพลังนี้

หลิงหลานสปริงตัวทีหนึ่งแล้วก็ยืนขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ถูกแรงสะท้อนเหล่านี้ซัดจนได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่สีหน้าเธอขาวซีดอย่างมาก ดูท่าการระเบิดพลังจิตสี่สายจะกินแรงเธออยู่บ้าง

“เจ้าเด็กนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะโหดร้ายขนาดนี้….” มู่สุ่ยชิงมองหลิงหลานอย่างพูดไม่ออกเล็กน้อย เด็กคนนี้ไม่มีความคิดเรื่องเคารพครูบาอาจารย์เลยสักนิด โจมตีทางจิตใส่เขาอย่างรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่ที่เข้ามาครั้งแรก นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ควรรู้ไว้ว่าการระเบิดพลังจิตจะทำให้ผู้ใช้วิชาทรมานอย่างยิ่งยวด มันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถอดทนได้

หลิงหลานยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าขาวซีด เวลานี้หน้าผากของเธอเกิดอาการปวดตุบๆ การระเบิดพลังจิตทำให้พลังจิตของเธอถูกใช้เยอะมากเกินไป กลายเป็นตะเกียงที่หมดน้ำมันอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม เธอยังคงฝืนทนความเจ็บปวดที่ศีรษะอย่างรุนแรงรวมไปถึงความรู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียนแล้วเอ่ยว่า “แต่ถ้าไม่โหดร้ายกับตัวเองสักหน่อย ผมคงตายในน้ำมือคนอื่นไปนานแล้ว”

มู่สุ่ยชิงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกฝืดเฝื่อนขึ้นในใจ เขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหลานดี ผลงานของหลิงหลานสูงมากเกินไป นี่ก็เลยทำให้คนที่ปรารถนาความสำเร็จของหลิงเซียวจำนวนไม่น้อยอยากได้มรดกกับสมบัติของหลิงเซียว ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของหลิงเซียว ตัวตนของหลิงหลานย่อมทำให้ผู้คนคั่งแค้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนที่ละโมบต่างคิดจะกำจัดหลิงหลานที่ขวางหูขวางตา หากไม่มีหลิงหลานแล้วละก็ พวกเขาก็สามารถยึดครองสมบัติและมรดกที่หลิงเซียวทิ้งไว้ได้อย่างเปิดเผย พวกเขาจึงใช้วิธีการนับไม่ถ้วนทั้งในที่ลับและที่แจ้งเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ตลอดทางที่หลิงหลานเติบโตขึ้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ย่อมมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งติดตามมาด้วยแน่นอน

“ขอโทษนะ ฉันควรมาเจอเธอเร็วกว่านี้…” มู่สุ่ยชิงละอายใจ

“อาจารย์ คุณอยู่ในตระกูลหลิงก็เป็นยันต์ป้องกันตัวผมแล้ว” ตอนนี้หลิงหลานเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่ตระกูลหลิงวางแผนชิงสิทธิสืบทอดของเธอ ทางกองทัพจึงเลือกปล่อยปละละเลยอยู่เงียบๆ ไม่กล้าแสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจน สาเหตุส่วนใหญ่คือพวกเขากังวลเรื่องมู่สุ่ยชิงที่รักษาการณ์อยู่ในตระกูลหลิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าทำเกินเลยมากไป และเป็นเพราะการดำรงอยู่ของมู่สุ่ยชิง หลานลั่วเฟิ่งแม่ของเธอถึงมีความกล้าวางแผนใส่ตระกูลหลิง นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริงที่ตระกูลหลิงยอมจากโดฮาไปแต่โดยดีหลังจากที่พ่ายแพ้ไปแล้ว…

กล่าวได้ว่า การที่มู่สุ่ยชิงเลือกเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงเป็นการคุ้มครองหลานลั่วเฟิ่งและหลิงหลานสองแม่ลูกในระดับหนึ่ง ทำให้คนอื่นๆ ที่อยากได้มรดกของหลิงเซียวจำเป็นต้องเลือกถอยชั่วคราว

“ดี! หลิงเซียวมีเธอ มีผู้สืบทอดแล้ว! ตอนนี้เธอฝึกฝนพลังจิตของเธอให้ดี สามเดือนให้หลังฉันจะสอนบัญชาเทวะ สุดยอดทักษะให้เธออย่างเป็นทางการ” ในใจของมู่สุ่ยชิงเต็มไปด้วยความยินดี เขายื่นมือไปตบบ่าหลิงหลานเบาๆ บอกการตัดสินใจของเขาออกมา

“ขอบคุณครับ อาจารย์!” หลิงหลานคำนับขอบคุณ

…………..

เวลาสามปีผ่านไปราวกับดีดนิ้ว เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงดาวโดฮาตามที่กำหนดอีกครั้ง วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลินี้ พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นมา แสงแรกของยามเช้าเพิ่งจะเผยเส้นแหลมๆ ของมันออกมาเท่านั้น ด้านนอกหน้าประตูหลักของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็มีเด็กหนุ่มชุดแดงห้าคนยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้วราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่

เด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงกำยำหนึ่งในนั้นทำหน้าเคร่งเครียด เขาสูดลมหายใจลึกหลายๆ เฮือกอยู่บ่อยๆ พยายามสงบอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองไว้

ยามตรงประตูหลักที่เดิมทีไม่อนุญาตให้ลูกเสือออกมาข้างนอกโดยพลการกลับทำเป็นมองไม่เห็นคนกลุ่มนี้ เขาแค่นั่งอยู่ในป้อมยามของตัวเองยกถ้วยชาร้อนๆ ขึ้นมาดื่มอย่างเอ้อระเหย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจับ และก็ไม่ใช่ว่าเขาถูกอีกฝ่ายติดสินบน หากแต่คนกลุ่มนี้ทำให้เขาได้แต่มองทำอะไรไม่ได้เลยเท่านั้น พวกเขาต่างเป็นนักเรียนปีสิบ เป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันลูกเสือ หัวหน้าทีมของพวกเขาก็เป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันลูกเสือ

ต่อให้เขาอยากจะจับพวกเขาเข้ามาก็ไม่มีความสามารถหรอกนะ! ยามส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น เมินพวกเขาต่อไป

ถึงแม้ว่าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะตั้งกฎระเบียบต่างๆ กับนักเรียนมากมายและเข้มงวดมาก แต่ขอเพียงคุณแข็งแกร่งมากพอ กฎก็เป็นแค่กระดาษขาวใบหนึ่งให้คุณละเลงได้ตามใจชอบ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ยามไม่สนใจพวกเขา หากต้องการจับคนเหล่านี้ทั้งหมด นอกเสียจากจะใช้ทีมหุ่นรบของสถาบันลูกเสือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ

เด็กหนุ่มชุดแดงอีกคนที่อยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มที่ตึงเครียดกลับมีสีหน้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาพิงรั้วกำแพงด้วยความเกียจคร้าน เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจว่า “หัวหน้า ต้องเช้าขนาดนี้เลยเหรอ? วันนี้ลูกพี่แค่กลับมาสอบไม่ใช่เหรอ?” เขากล่าวจบก็หาวใหญ่ๆ ทีหนึ่ง ท่าทีเหมือนกับยังไม่ตื่นนอน กระทั่งขอบตายังมีขี้ตาติดอยู่ตรงนั้นหนึ่งเม็ด

 เด็กหนุ่มที่เคร่งเครียดยังไม่ทันตอบ เด็กหนุ่มรูปงามที่มีดวงหน้าสวยสดงดงามให้บรรยากาศอ่อนโยนเปราะบางดูอ่อนเยาว์และสงบเงียบที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาก็ยื่นมือไปตบศีรษะอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมทันทีและเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “การต้อนรับลูกพี่กลับมาคือเรื่องใหญ่ นายพูดพล่ามอะไร?”

เด็กหนุ่มที่ขี้เกียจแยกเขี้ยว ลูบศีรษะที่ถูกตบจนเจ็บของตัวเองแรงๆ ความง่วงแต่เดิมหายไปในพริบตา เขาเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ลั่วล่าง นายสนใจภาพลักษณ์ของนายหน่อยได้ไหม? อย่าหยาบคายขนาดนี้ได้หรือเปล่า? ดูเหมือนเด็กผู้หญิงชัดๆ แต่พอตีคนกลับป่าเถื่อนขนาดนี้…”

“นายว่าไงนะ?” ลั่วล่างโมโห เขาเกลียดเวลามีคนบอกว่าเขาเหมือนเด็กผู้หญิงที่สุด นับตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ช่วงเจริญเติบโตของเด็กหนุ่ม เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งกำยำเต็มไปด้วยกลิ่นอายลูกผู้ชายแล้ว การเติบโตของเขาค่อนไปทางสวยเปราะบาง นอกจากร่างกายที่สูงขึ้นมานิดหน่อยแล้ว อย่างอื่นก็เหมือนกับลั่วเฉาฝาแฝดคนน้องของเขา พวกเพื่อนๆ เคยพูดหยอกล้อว่า ถ้าหากลั่วล่างแต่งชุดผู้หญิงนั่งลงปลอมตัวเป็นลั่วเฉา ย่อมไม่มีใครมองออกแน่นอน

เด็กหนุ่มที่เกียจคร้านไม่กลัวโทสะของลั่วล่างเลย เขาพลันวางมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอกทำท่าประคองหัวใจ ใบหน้าเผยความขัดเขิน กระทืบเท้าเอ่ยอย่างน่ารักไร้เดียงสาว่า “อุ๊ย ลั่วล่าง เจ้าชายแสนสวยของฉัน วันนี้ตอนบ่ายได้โปรดไปดื่มชากับฉันได้หรือเปล่า?” เขากล่าวจบแล้วก็ยังขยิบตาส่งสายตาหวานเชื่อมให้อย่างสุดความสามารถ เขาแสดงฉากที่ลั่วล่างถูกผู้หญิงร่างกำยำขวางไว้และเชิญชวนเขาในสองปีมานี้จนกลายเป็นเรื่องขำขันของทีมพวกเขาในระยะหนึ่งออกมาได้อย่างครบถ้วน

“เซี่ยอี๋ แกรนหาที่ตายแล้ว!” ลั่วล่างโกรธแล้วจริงๆ ดวงหน้าสวยหยาดเยิ้มของเขาโกรธจนแดงก่ำ ทว่าท่าทีโมโหเล็กน้อยแบบนี้กลับยิ่งทำให้ลั่วล่างดูสะสวยมากขึ้น นิสัยของลั่วล่างไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็กๆ เขาชอบใช้กำปั้นพูดจาดังนั้นถึงได้ต่อยตีจนกลายเป็นเพื่อนกับฉีหลง ตอนนี้ได้ยินเซี่ยอี๋หยอกล้อเขาก็ชูหมัดขึ้นทันทีแล้วก็กระโจนไปหาเซี่ยอี๋ เตรียมตัวจะอัดเขาอย่างหนักหน่วงสักยก

ความแข็งแกร่งเซี่ยอี๋กับลั่วล่างพอๆ กัน ทั้งสองคนเริ่มเตะต่อยกันที่หน้าประตูหลัก ต่อสู้กันเกินสมควรทำให้ยามที่นั่งอยู่ในป้อมอดเบ้หน้าเล็กน้อยไม่ได้…เขาหวังแค่ว่าสองคนนี้จะต่อสู้กันอย่างระมัดระวัง อย่าทำลายทรัพย์สินรอบๆ หน้าประตูสถาบัน

“เอาล่ะ หยุดมือกันได้แล้ว!” เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย็นชาคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็คือหานจี้จวินนี่เอง เขาสังเกตเห็นว่าความคิดของฉีหลงหัวหน้าทีมเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เลย จึงต้องอาศัยเขามาจัดการการทะเลาะเบาะแว้งของสองคนนี้อย่างช่วยไม่ได้ เขาเลยได้แต่เอ่ยปากห้ามปราม เนื่องจากเขาสัมผัสถึงสายตาขุ่นเคืองอย่างหาใดเปรียบมาจากในป้อมยามด้านหลังตัวเองได้ทั้งหมด

บางทีสมาชิกทีมอาจจะยังเชื่อถือเคารพเสนาธิการหานจี้จวินคนนี้อย่างมาก เมื่อได้ยินหานจี้จวินส่งเสียงห้ามปราม ทั้งสองคนก็เก็บมือเท้าลง ลั่วล่างแค่นเสียงเย็นทีหนึ่งด้วยความซึน เขาหันหน้าหนีไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เซี่ยอี๋บีบจมูกตัวเองอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นก็สอดมือทั้งสองข้างไปที่กระเป๋าแล้วค่อยๆ เดินกลับมาด้วยความเกียจคร้าน

หลินจงชิงที่ปล่อยบรรยากาศอ่อนโยนอยู่ด้านหลังฉีหลงเห็นเซี่ยอี๋กลับมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยอี๋ อันที่จริงมาแต่เช้าหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกันนะ พวกเรามาชมพระอาทิตย์ขึ้นกันเถอะ ดูเหมือนนานมากแล้วเราที่ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นกันเลยนะ!” สามปีมานี้ทีมพวกเขาไม่กล้าเล่นสนุกเลย พวกเขาเอาเวลาทั้งหมดมาใช้กับการเรียนรู้ควบคุมหุ่นรบเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ลูกพี่หลานกำหนดไว้ โชคดีที่พวกเขาบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้โล่งใจได้ในที่สุด

ที่แท้ห้าคนที่ยืนเซ่อซ่ารอคนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าตรู่นี้ก็คือ ฉีหลง หานจี้จวิน ลั่วล่าง หลินจงชิง รวมไปถึงเซี่ยอี๋ที่เข้าร่วมกับพวกเขาหลังจากการต่อสู้ประจัญบานเมื่อสามปีก่อน วันนี้เป็นวันสอบของลูกเสือทุกคนที่สมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารและสถาบันเฉพาะทางใหญ่ๆ และลูกพี่หลานของพวกเขาก็กลับมาที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเป็นครั้งแรกหลังจากที่แยกกันมาสามปีเพื่อเข้าร่วมการสอบสุดท้ายของสถาบัน

………………………..