บทที่ 198 ความคิดชั่วช้า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 198 ความคิดชั่วช้า

คิดว่าเขาตายไปแล้วจะหนีพ้นหรือ?

ตอนนี้นางจะสั่งให้ฝังจางซิ่วเอ๋อไปเป็นเพื่อนเนี่ยหย่วนเฉียวด้วย ให้นังบ้านนอกไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวผู้นี้อยู่ในหลุมเดียวกับเนี่ยหย่วนเฉียว

นางต้องการให้เนี่ยหย่วนเฉียวไม่สบายตอนอยู่และไม่สงบตอนตาย!

ฮูหยินเนี่ยคิดแล้วก็เผยรอยยิ้มเย็นชาโหดร้าย!

นางคิดแค่ว่าต้องบรรลุจุดมุ่งหมายของตัวเอง ส่วนคนตรงหน้าจะบริสุทธิ์เพียงใดนั้นไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด

และฮูหยินเนี่ยรู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋อท้าทายอำนาจตัวเอง เวลานี้จึงอยากเล่นงานจางซิ่วเอ๋อให้ตาย

ชุนอวี้ฟาดแส้ลงมาอีกครั้ง

จางซิ่วเอ๋ออยากจะหลบ แต่บัดนี้ฮูหยินเนี่ยตามแม่เฒ่ามาสองคน จับตัวจางซิ่วเอ๋อกดไว้ตรงนั้น

“นังผู้หญิงชั่วร้าย! ถ้าเจ้าตีข้าจนตาย เจ้าเองก็จะไม่พบจุดจบที่ดีนักหรอก! เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา!” จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างเกรี้ยวกราด

ฮูหยินเนี่ยคลี่ยิ้มบาง บนใบหน้าของนางไม่มีความรู้สึกบันดาลโทสะแบบเมื่อครู่แล้ว กลับมีรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนหวาน

นางก้มมองมือตัวเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เห็นชีวิตคนเป็นผักปลารึ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้วันนี้ข้าตีเจ้าจนตายก็เป็นที่สมควรแล้ว ใครใช้ให้เจ้าไม่รู้จักมองตัวอย่างดี ๆ กลับไปเอาอย่างคนคบชายชู้?”

“ต่อให้พูดจนผืนฟ้าถล่ม คนเป็นแม่สามีอย่างข้าสั่งสอนลูกสะใภ้ที่ลอบคบชายชู้ อย่างไรก็ไม่เกินกว่าเหตุหรอก!”

“อีกอย่าง ต่อให้เจ้าตายก็ไม่มีผู้ใดมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ อย่างที่เจ้าว่ามาเมื่อครู่อย่างไรเล่า ใครใช้ให้เจ้ามันมีชีวิตที่ต่ำต้อยล่ะ?” พูดไปรอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินเนี่ยก็ยิ่งกว้างขึ้น

จางซิ่วเอ๋อคับแค้นใจมาก

หลังจากที่นางทะลุมิติมาแล้ว คิดเพียงแต่อยากจะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี

นางไม่เคยคิดจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร เรื่องของตระกูลเนี่ยสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องร้าย ๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย

และในใจของจางซิ่วเอ๋อเองก็ต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจว่า สิ่งที่ฮูหยินเนี่ยพูดมานั้นไม่ผิด

ต่อให้ฮูหยินเนี่ยตีนางจนตาย ก็ไม่มีใครเรียกร้องความยุติธรรมให้นาง

ยุคโบราณนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องกฎหมายอะไรหรอก ของพวกนั้นมีไว้สำหรับคนจน สำหรับคนฐานะอย่างตระกูลเนี่ยแล้ว เพียงแค่แถบแคว้นชิงสือแห่งนี้ เกรงว่ายื่นมือไปบดบังผืนฟ้าก็ยังได้

แส้ถูกฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า จางซิ่วเอ๋อเจ็บจนเหงื่อชุ่มหน้าผาก

และในตอนที่นางโดนแส้ฟาดครั้งที่สี่

เสียงเอะอะก็ดังมาจากด้านนอก “คุณหนูรอง ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ”

“ถอยไป” เสียงคุกรุ่นเสียงหนึ่งดังมา

ในขณะที่คุยกันอยู่ ม่านลูกปัดหน้าประตูถูกเลิกขึ้นอีกครั้ง

คนในห้องรู้ว่ามีคนเข้ามาจึงเงียบลงนิดหน่อย แม้แต่แส้ในมือชุนอวี้ยังชะงัก

คนที่เดินเข้ามาเป็นสตรีอายุราว ๆ สามสิบกว่า สตรีผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว ทว่าไม่ได้เกล้าผม คนในตระกูลใหญ่เช่นนี้ต่างจากคนในหมู่บ้าน

คนในหมู่บ้านไม่ถืออะไรมากมาย แต่การที่คนตระกูลใหญ่เช่นนี้ไม่ได้เกล้าผม น่าจะเป็นเพราะยังไม่ออกเรือน

สตรีผู้นี้มีโฉมหน้าโดดเด่น ชุดสีครามบนตัวเปี่ยมไปด้วยความพริ้มเพรา

ช่วงคิ้วตาของนางฉายแววยโส งดงามหากแต่ไม่ดูเกลื่อนกลาด

สตรีผู้นั้นเดินเข้ามาช้า ๆ และหยุดอยู่ข้างจางซิ่วเอ่อ นางเหลือบมองจางซิ่วเอ๋อก่อนจะหันมองหน้าฮูหยินเนี่ย

เวลานี้จางซิ่วเอ๋อก็ได้สติจากความเจ็บปวดแล้ว

นางสังเกตเห็นว่าเมื่อฮูหยินเนี่ยเห็นหญิงสาวชุดครามผู้นี้แล้วนางก็มีรอยยิ้มแข็งค้างไป ดูไม่เป็นตัวเองเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเนี่ยไม่ชอบสตรีชุดครามผู้นี้

และในตอนนั้น สตรีชุดครามก็หัวเราะเบา ๆ เสียงของนางแสนจะไพเราะเสนาะหู แต่หากฟังดูดี ๆ จะได้ยินนัยถากถางที่แฝงเอาไว้ “พวกเจ้านี่คึกคักกันดีจริงนะ….”

“เฟิ่งหลิน เจ้ามาได้อย่างไร?” ฮูหยินเนี่ยพูดด้วยความอึ้ง

สตรีชุดครามผู้นี้คือน้องสาวแท้ ๆ ของนายท่านเนี่ย ชื่อว่าเนี่ยเฟิ่งหลิน

บัดนี้นางอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงยังไม่แต่งงานเสียที

ปกตินางไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนตระกูลเนี่ยแห่งนี้ แต่อาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลังบนเขาใกล้ ๆ

ปกติแล้วหญิงอายุมากที่ยังไม่แต่งงานเฉกเช่นนางจะไร้ซึ่งฐานะ ต่อให้กลับมาที่จวนตระกูลเนี่ยก็ไม่มีใครให้ความสำคัญกับนาง

แต่เห็นได้ชัดว่าเนี่ยเฟิ่งหลินไม่ได้เป็นแบบนั้น

ดูเหมือนฮูหยินเนี่ยจะยำเกรงเนี่ยเฟิ่งหลินมาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดนัก อย่างไรเสียหญิงอายุมากที่ยังไม่แต่งงานเช่นเนี่ยเฟิ่งหลินน่าจะต้องหวังพึ่งพี่สะใภ้ของตัวเองในหลาย ๆ ด้านสิ

ที่เนี่ยเฟิ่งหลินมีสถานะเช่นนี้ในตระกูลเนี่ยก็เป็นเพราะพ่อแม่ของเนี่ยเฟิ่งหลินรักลูกสาวคนนี้มาก

ตอนที่พวกท่านจากไปก็ได้แบ่งมรดกของตระกูลเนี่ยเป็นสอง และแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับเนี่ยเฟิ่งหลิน

แต่เนี่ยเฟิ่งหลินดูจะไม่สนใจเท่าใด ตอนที่นายท่านเนี่ยแต่งงาน นางกลับยกมรดกเหล่านี้ให้กับนายท่านเนี่ย

และเพราะเรื่องนี้เอง นายท่านเนี่ยจึงซาบซึ้งใจต่อเนี่ยเฟิ่งหลินมาตลอดชีวิต!

แม้แต่ฮูหยินเนี่ยก็ต้องเกรงใจเนี่ยเฟิ่งหลินบ้างยามอยู่ต่อหน้า และไม่ใช่แค่นายท่านเนี่ยจะปกป้องเนี่ยเฟิ่งหลินมาก ขนาดบ่าวรับใช้เก่าแก่ของตระกูลเนี่ยก็เอ็นดูรักใคร่นางมากเช่นกัน

เนี่ยเฟิ่งหลินได้ยินแล้วหัวเราะพลางย้อนถาม “ทำไมเหรอ? เจ้าจะบอกว่าข้ามาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ฮูหยินเนี่ยไม่ต้องการบาดหมางกับเนี่ยเฟิ่งหลิน อย่างไรเสียหลายปีมานี้ฮูหยินเนี่ยก็เสแสร้งได้อย่างดีเยี่ยม เวลาแบบนี้ต่อให้นางไม่พอใจก็ยังต้องเอ่ยยิ้ม ๆ “เฟิ่งหลิน เจ้าคิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน ข้าจะบอกว่าหากเจ้าบอกล่วงหน้าก่อนว่าจะกลับมา ข้าจะได้เตรียมนู่นเตรียมนี่ไว้ บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว ข้าคงจะรับรองเจ้าได้ไม่ดีด้วยเวลาที่ฉุกละหุกเช่นนี้”

เนี่ยเฟิ่งหลินอมยิ้มพลางตอบ “ฮูหยินหรูมีใจแล้ว แต่ข้าโตมาที่จวนตระกูลเนี่ย บัดนี้ถือว่าได้กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องให้เจ้ามาคอยรับรองหรอก เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดไป”

คำพูดนี้เหมือนจะหวังดีกับฮูหยินเนี่ย แต่ต่อให้คนที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหลังจากได้ฟังแล้วก็ยังรู้สึกว่ามีนัยยะแฝง

อย่างคำเรียกขานนั่น ฮูหยินหรู…..

ฮูหยินหรูที่ว่านี้มีความหมายว่าเป็นอนุภรรยา ดูเหมือนเป็นการเรียกอนุภรรยาด้วยความเคารพ หากอนุภรรยาคนใดได้ฟังคำเรียกขานเช่นนี้อาจจะยินดีมาก

แต่บัดนี้ฮูหยินเนี่ยได้เป็นภรรยาหลวงของนายท่านเนี่ยและมีหน้าที่คอยดูแลตระกูลแล้ว การได้ยินแบบนี้ก็จุดเพลิงโทสะให้โหมอยู่ในใจ

สองมือของนางกำหมัด พยายามอดกลั้นสุด ๆ

ตั้งหลายปีแล้วนะ! ตั้งหลายปีแล้วนะ!

ทุกคนลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว แต่ทุกครั้งที่เนี่ยเฟิ่งหลินออกมาจะต้องเรียกนางว่าฮูหยินหรู เพื่อย้ำเตือนว่านางมิใช่ฮูหยินที่แท้จริงของจวนตระกูลเนี่ยแห่งนี้

ไหนจะประโยคสุดท้ายของเนี่ยเฟิ่งหลิน

ความหมายนั้นชัดเจนมาก ว่านี่คือการประกาศชิงอำนาจกับฮูหยินเนี่ย

เป็นการบอกฮูหยินเนี่ยอยู่กลาย ๆ ว่าตัวนางเนี่ยเฟิ่งหลินก็เป็นนายของตระกูลเนี่ยเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินหรูอะไรมารับรองหรอก!

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เหมือนจะเป็นฉากบอสตีบอสแล้ว ซิ่วเอ๋อรอดแล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)