“ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่ช่องอย่างเป็นทางการของมิท ! รายการของเราในวันนี้จะพูดเกี่ยวกับอีเวนท์ขนาดใหญ่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปในโลกของเกมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา !”

เมื่อเซียวเฟิงเปิดประตูเข้ามา เขาก็พบเซียวหลิงกำลังนอนดูทีวีอยู่ที่โซฟา หัวเล็ก ๆ ของเธอโผล่พ้นที่รองแขนมานิดหน่อย เด็กสาวขดตัวเหมือนตัวนิ่มแล้วมุดหน้าเข้าที่เข่าของตน เป็นสภาพที่ดูแล้วน่าสงสารและเหงาหงิมมาก ๆ เลย

เซียวหลิงน่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูของเซียวเฟิง เพราะงั้นเธอจึงรีบหันหน้ากลับมามองด้วยดวงตากลมโตสีฟ้าที่ดูจะเริ่มสดใสขึ้นมา ทว่าเพียงครู่เดียวเธอก็หันหน้ากลับไปดังเดิมด้วยความหยิ่งผยองพร้อมกับเสียง ‘ฮึ่ม !’

“เซียวหลิง อยากจะกินอะไรดีล่ะ ? เดี๋ยวพี่จะจัดให้ชุดใหญ่เลยวันนี้” เซียวเฟิงล้างมือและเดินเข้าไปในครัว เขาเอาแต่วุ่นอยู่กับในเกมมากเกินไปจริง ๆ พอมานึกดูแล้วมันแทบจะนับครั้งได้เลยว่าเขาออกมาทำอาหารให้เซียวหลิงทานไปกี่มื้อ

ยิ่งตระหนักได้ว่าตามปกติเซียวหลิงก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงตั้งใจจะชดเชยให้ด้วยอาหารที่ให้สารอาหารครบถ้วนแก่เธอในครั้งนี้

“อะไรก็ได้”

น้ำเสียงที่ห่อเหี่ยวดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของโซฟาตามด้วยท่าทีเฉยเมยต่อเซียวเฟิงตามปกติของเซียวหลิง…

เขาได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ และไม่ใส่ใจท่าทีนี้ เซียวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำเอาปลาดาบเงินตัวใหญ่ที่แช่แข็งไว้ออกมาจากตู้เย็น เขาได้มันมาจากเมื่อตอนที่ออกไปซื้อของเมื่อหลายวันก่อน ถึงความสดจะหายไป แต่สารอาหารก็น่าจะเยอะกว่าอาหารสำเร็จรูปอีกหลายเท่าตัว

เซียวหลิงไม่ทานของเผ็ดเพราะร่างกายไม่แข็งแรง หากเธอทานอาหารรสเผ็ดเข้าไปจะทำให้เธอมีสิวได้ เพราะงั้นแล้วเซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะนำปลาตัวนั้นมาต้มในรสชาติอ่อน ๆ แทน แม้ว่าทั้งวิธีการและวัตถุดิบมันจะผิดเพี้ยนจากสูตรที่ควรจะเป็นไปหมด แต่ด้วยวิธีเฉพาะตัวของเซียวเฟิง ท้ายสุดแล้วปลาต้มนี้ก็สามารถส่งกลิ่นหอมเย้ายวนต่อมอาหารได้

บนโต๊ะอาหารถูกประดับไปด้วยอาหารสามอย่าง ได้แก่ ปลา ของหวาน แล้วก็หมูผัดเปรี้ยวหวาน และถึงแม้มันจะมีเพียง 3 อย่าง แต่ว่าแต่ละจานก็ล้วนมีความน่ากินในแบบของมันเอง อาหารมื้อนี้ค่อนข้างจะ ‘เยอะ’ เกินไปสำหรับคนสองคน มันเลยทำให้ภายในตู้เย็นเหลือวัตถุดิบอีกไม่กี่อย่างเท่านั้น เห็นทีหลังจบมื้อนี้แล้วเซียวเฟิงคงต้องออกไปซื้อวัตถุดิบมาเก็บไว้เพิ่มเสียแล้ว

“ข้าวเสร็จแล้ว เซียวหลิง”

เซียวเฟิงเรียกเธอหลังจากที่เขามานั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว ทว่าสาวน้อยกลับยังคงนอนอยู่บนโซฟาแม้เขาจะเรียกไปแล้วก็ตาม มันค่อนข้างจะน่าแปลกเล็กน้อย เพราะตามปกติแล้วอาหารของเซียวเฟิงสามารถเรียกเซียวหลิงให้มาหาเขาได้อยู่เสมอ ก็เธอน่ะแพ้ทางอาหารฝีมือเขาจะตายไป !

เพราะงั้นเขาจึงลุกเดินไปยังห้องนั่งเล่นด้วยความสงสัย ทว่าเซียวหลิงกลับยังคงจับจ้องอยู่กับสิ่งที่ฉายอยู่บนทีวีโดยไม่ได้สนใจเขาที่เดินเข้ามาเลย

เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองดูว่าอะไรที่สามารถดึงความสนใจจากน้องเขาไปได้ขนาดนี้ จากนั้นเซียวเฟิงก็ต้องชะงัก เมื่อภาพที่อยู่บนจอทีวีคือหอเกียรติยศในมิท และผู้ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ ณ ตอนนั้นก็คือตัวเขาเอง

“เจ้าพี่โง่ นั่นนายเหรอ ?”

ท้ายที่สุดเซียวหลิงก็หันกลับมาจ้องมองเซียวเฟิงด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตนเอง แต่ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร เซียวเฟิงกับผู้เล่นในทีวีนั้นก็ต้องเป็นคนเดียวกันอย่างแน่นอน

“ทำไม…ทำไมนายถึงโด่งดังขนาดนั้นได้ ? นายเป็นที่ 1 ในทุกอันดับจากผู้เล่นทั้งหมดเลยนะ !” ดวงตากลมโตของเซียวหลิงนั้นเบิกกว้างเป็นอย่างมาก

“แน่นอน ก…ก็ฉันเป็นพี่ชายของเธอเลยนะ !” มันเป็นอะไรที่หาดูได้ยากมากที่เซียวเฟิงจะอวดเบ่งเช่นนี้ เซียวหลิงน่ะเป็นแฟนเกมนี้ ดังนั้นเธออาจจะมองเขาใหม่ก็ได้หากรู้ว่าเขาดีในด้านนี้ได้ เขาจะได้เลิกถ่อมตัวเสียทีเพราะบางครั้งมันก็ยากเกินที่จะถ่อมตัวอยู่แบบนี้

“แล้วอะไรสำคัญกว่าล่ะ ระหว่างฉันกับเกม ?” ทันใดนั้นเอง เซียวหลิงก็ยิงคำถามออกมา น้ำเสียงนั้นแอบฟังดูเหมือนว่าเธอกำลังตัดพ้ออยู่เลย

ความผิดฐานที่ละเลยการทำอาหารให้เซียวหลิงทานหลายวันมานี้กลับมาอีกครั้งหลังได้ยินคำถามนั้น

“อ…เอ่อ…ก็ต้องเป็นเธออยู่แล้ว”

ในหัวของเซียวเฟิงมันตื้อไปหมด เขาทำได้เพียงถูจมูกไปมาด้วยความอึดอัด

โชคยังดีที่จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เซียวเฟิงไม่ต้องทนอึดอัดอยู่นาน

“ใครกันนะ ?”

ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีคนอยู่ค่อนข้างน้อย แถมเซียวเฟิงก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ใครในละแวกนี้อีกด้วย ถึงแม้ว่าเซียวหลิงยังมีครอบครัวอยู่ แต่แม่เลี้ยงของเธอก็ไม่ได้หวังให้เธอกลับไปอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีทางที่เธอคนนั้นจะมาที่นี่แน่ ๆ เช่นกัน

เซียวเฟิงออกไปเปิดประตูหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อเขาเหลือบเห็นว่าใครอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของประตู เขาก็รีบปิดประตูกลับไปเหมือนเดิมทันทีโดยไม่คิดจะถามอะไรอีก

“เฮ้ย ! ไอ้เวรนี่ ทำอะไรของนายน่ะ ? เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ !”

ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูก็ถูกกระแทกเข้าอีกหลายครั้งตามด้วยเสียงโวยวายด้วยความโมโหของซือเยี่ยจิ๋ง

เธอทำเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น จนท้ายที่สุดเซียวเฟิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดประตูออกไปก่อนที่เพื่อนบ้านอันน้อยนิดจะพากันเดินออกมาดู

“เจ้าบ้าเอ้ย !”

ซือเยี่ยจิ๋งถลาตัวเข้าไปภายในห้องนั้น เธอโยนกระเป๋าเงินใส่เซียวเฟิงพร้อมทั้งยกขาที่เรียวยาวของเธอเตะเขาไปด้วย หากเป็นคนทั่วไป การที่มีหญิงสาวรูปร่างดี หุ่นสวย ใบหน้างดงามสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทะยานตัวเข้ามาในห้องเช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่ใช่กับตอนนี้แน่ ๆ เพราะซือเยี่ยจิ๋งดูจะก้าวร้าวมากเป็นพิเศษหลังจากที่ได้เจอเซียวเฟิง

“หยุด ! อาหารอยู่บนโต๊ะ เลิกทำตัววุ่นวายได้แล้ว”

เซียวเฟิงถอยหลังเพื่อตั้งหลักแล้วรับกระเป๋าเงินสีชมพูกับการโจมตีเหล่านั้นไว้อย่างพอดิบพอดี

“โอ้ ฉันมองนายผิดไปสินะ นายเองก็เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย ถึงกับทำอาหารไว้รอฉันเลยเหรอเนี่ย”

หญิงสาวหยุดความก้าวร้าวลงไปในทันที เธอสูดดมกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายอยู่ในห้องนั้นด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป ใบหน้าสวยในตอนนี้ถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานชื่นเช่นเดียวกับกริยาที่ดูละมุนละม่อม

เขาถึงกับพูดไม่ออกเลยกับสิ่งที่เกิดนี้ ระหว่างนั้นเซียวหลิงก็แอบย่องออกมาที่โซฟาแล้วเกาะเบาะเอาไว้ขณะที่จ้องมองสาวผู้เข้ามาทีหลังราวกับสัตว์ที่กำลังป้องกันอาณาเขตของตน แววตานั้นดูจะไม่พอใจซือเยี่ยจิ๋งเอาเสียมาก ๆ แต่ดวงตากลมโตของเธอกลับไม่สามารถแสดงความดุดันออกมาได้มากพอที่จะข่มขู่ใครไหว

“ทำไมเธอถึงมาที่นี่อีกแล้ว ? ฉันว่าฉันบอกเธอไปแล้วไงว่าฉันเกลียดเธอ ! และไม่อนุญาตให้เธอโผล่หน้ามาที่นี่อีก”

“แต่ฉันชอบเธอนะเซียวหลิง ! เพราะงั้นฉันจะมาหาเธอให้บ่อยขึ้น พวกเราจะได้สนิทกันไง !” รอยยิ้มของซือเยี่ยจิ๋งนั้นอ่อนหวาน เธอไม่สนใจเลยว่าเซียวหลิงจะมองเธอเป็นศัตรูขนาดไหน กลับกันกับตอนที่หันกลับไปมองเซียวเฟิง ซือเยี่ยจิ๋งกลับปฏิบัติต่อเขาคนละขั้วกันเลย

“ไปหาตะเกียบมาให้ฉันสิ ! ทำไมถึงยืนบื้ออยู่เล่า ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายยังโสดแบบนี้”

ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ต้องรีบระงับความโกรธของตนเองไว้ก่อนจะเดินไปหาตะเกียบมาให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก โชคยังดีที่วันนี้เขาเตรียมอาหารไว้มากพอ

“เซียวหลิง มากินข้าวเร๊ว ! เธอยังเป็นเด็กเพราะงั้นกินเยอะ ๆ จะได้โตเร็ว ๆ นะ” ซือเยี่ยจิ๋งยังคงพูดกับเซียวหลิงด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อย ๆ เธอก็ยังมีมารยาทโดยที่ไม่เริ่มกินก่อนเจ้าของบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้เรียกเซียวเฟิงมาแต่กลับเรียกเซียวหลิงมาแทน

นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลขนาดใหญ่ได้สั่งสอนเธอมาตลอดจนเติบใหญ่ กริยามารยาทบางเรื่องมันก็ฝังตัวอยู่ในเลือดของเธอไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น มารยาทบนโต๊ะอาหาร ในฐานะที่เป็นแขก ไม่ว่าอาหารมื้อนั้นจะธรรมดาขนาดไหนก็ตาม ยังไงก็ห้ามทานก่อนเจ้าของบ้านเด็ดขาด…

มารยาทเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานที่มั่นคงสำหรับตระกูลใหญ่ เพราะงั้นพวกเขาจึงเข้มงวดในเรื่องนี้่จนบางครั้งก็ต้องใช้วิธีโหดร้ายเพื่อให้ลูกหลานได้จดจำเอาไว้

ซือเยี่ยจิ๋งเกิดในตระกูลใหญ่ เซียวเฟิงจึงเดาว่าครอบครัวของเธอน่าจะยึดถึอขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะเข้มงวดกับลูกหลานกันไม่น้อยเลย

“หน้าด้านอะไรแบบนี้เนี่ย !” เซียวหลิงไม่ได้ต้องการให้ซือเยี่ยจิ๋งมานั่งทานอาหารร่วมกับเธอด้วย เพราะงั้นเด็กสาวจึงเดินหน้ามุ่ยมายังโต๊ะอาหาร ทว่าตอนนั้นเองเธอก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าถ้าหน้าด้านมาก ๆ กินอะไรเข้าไปก็จะไม่โตแล้วสินะ”

“อ๋า เพราะงั้นเลยเซียวหลิง เธอควรเรียนรู้จากฉันไว้แล้วโตให้สูงกว่า 170 เซนติเมตรให้ได้นะ สูงกว่าพวกผู้ชายไม่เอาไหนพวกนั้นไปเลย !” ซือเยี่ยจิ๋งตีความคำว่า ‘โต’ ของเซียวหลิงผิดไปเสียแล้ว เพราะเธอน่ะภูมิใจในความสูงของเธอมาก ๆ ขาที่เรียวยาวนั้นเทียบเท่ากับความสูงครึ่งหนึ่งของเธอได้ และสาเหตุที่เธอได้รับเลือกเป็นราชินีของมหาวิทยาลัยก็เพราะความสูงยาวเข่าดีเนี่ยแหละ

“จริงเหรอ ? แต่ทำไมหน้าอกเธอถึงได้แบนราบแบบนั้นล่ะ ? อย่างกับเธอไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลยนะ” สายตาที่จ้องตรงไปยังส่วนที่เป็นเนินอกของซือเยี่ยจิ๋งของเซียวหลิงนั้นสื่อความหมายในสิ่งที่เธอพูดเป็นอย่างดี …คราวนี้คงจะไม่พลาดให้เข้าใจผิดแล้ว !

แม้เรือนร่างของซือเยี่ยจิ๋งจะได้สัดส่วนงดงาม โดยเฉพาะเรียวขาที่สุดแสนจะดึงดูดสายตานั้น ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่สวยสง่าจนไม่สามารถละสายตาได้

แต่ถึงอย่างนั้นแล้วปัญหาหนึ่งเดียวและค่อนข้างใหญ่ของเธอก็คือหน้าอกที่แบนราบจนแทบจะเป็นระนาบเดียวกับลำตัวไปนี้

เซียวเฟิงสามารถรับรู้ถึงความอับอายของซือเยี่ยจิ๋งได้แม้เจ้าหล่อนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที หญิงสาวคนนี้พยายามจะซ่อนความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ภายใต้การกัดฟันแน่นขณะพูดเบี่ยงประเด็น “นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องกินให้มากขึ้นเพื่อจะได้เติบโตยังไงล่ะ”

“หยุดเลย ! นั่นมันปลาของฉันนะ !”

ไม่นานนักสงครามอาหารที่ดูคุ้นหูคุ้นตาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เซียวเฟิงได้แต่เงียบมองและทานข้าวของเขาไปเงียบ ๆ ที่มุมหนึ่ง ในใจเขายังคงสงสัยว่าซือเยี่ยจิ๋งจะมาที่นี่ทำไมอีก เพราะถ้าหากเธอมาหวังกินข้าวฟรีที่นี่บ่อย ๆ แบบนี้ พวกเขาได้ประสบปัญหาแน่

“แค่ก…”

ทันใดนั้นเอง เซียวหลิงก็หยุดกินแล้วไอออกมาอย่างรุนแรง เธอปิดปากตนเองไว้ขณะที่ใบหน้ากำลังแดงไปซะทั้งหมด

“เกิดอะไรขึ้นน่ะเซียวหลิง ?”

เซียวเฟิงรีบวางชามข้าวและตะเกียบของตนลงแล้วรีบเดินเข้าไปหาเซียวหลิงภายในหนึ่งวินาที เขามองเธอด้วยแววตากระวนกระวาย

“เธอกินเร็วมาก ๆ เมื่อกี้นี้ บางทีน่าจะก้างปลาติดคอ เดี๋ยวฉันดูให้”

ซือเยี่ยจิ๋งพูดหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงเดินเข้าไปหมายจะช่วยดูให้ตามที่ว่าไว้

“ถอยออกไปเลย” เซียวเฟิงเปิดปากพูดออกมาก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปถึงตัว น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งและเยือกเย็น ทำให้ซือเยี่ยจิ๋งรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งตัว

เธอหยุดชะงักไปชั่วขณะเช่นเดียวกับหัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปแว้บหนึ่งด้วย เมื่อได้สติกลับมา ซือเยี่ยจิ๋งก็หันมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความรู้สึกผิดอยู่ภายในใจ

ภายในลำคอของเซียวหลิงมีก้างปลาติดอยู่จริง ๆ ก้างปลานั้นทิ่มลงไปในผนังลำคอค่อนข้างลึก มันจึงทำให้เซียวหลิงเริ่มร้องไห้และอ้วกเป็นเลือดออกมา

“อ้าปาก เดี๋ยวพี่จะดูให้เธอเอง”

มือใหญ่ของเซียวเฟิงปาดน้ำตาที่ไหลออกมาให้เด็กสาวอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดด้วยความอ่อนโยนขณะที่เชยคางของเซียวหลิงขึ้น

ความเจ็บปวดนี้มันมากเกินกว่าจะปล่อยให้เซียวหลิงสามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ข่มความเจ็บปวดแล้วอ้าปากออกเท่านั้น แต่มันก็ได้แค่คิด เพราะแม้แต่จะอ้าปากก็ยังเป็นเรื่องยากเลย

เซียวเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้มือหนึ่งจับคางของเธอเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ค่อย ๆ สัมผัสริมฝีปากนุ่มของเด็กสาวเบา ๆ ก่อนจะถ่างออกช้า ๆ เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเจ็บมากขึ้น

ฟันซี่เล็ก ๆ ภายในโพรงปากนั้นเรียงกันสวยราวกับเปลือกหอยที่ถูกนำมาจัดตกแต่งไว้ ดังนั้นเขาจึงต้องค่อย ๆ แหวกมันออกอย่างระมัดระวังเพื่อจะมองลงไปภายในลำคอของเธอ

ปากของเซียวหลิงนั้นเล็กมาก เพียงแค่สอดนิ้วเข้าไป 2 นิ้วมันก็แทบจะไม่เหลือที่ว่างให้ขยับแล้ว ด้วยเหตุนี้เซียวเฟิงจึงทำได้แค่ใช้นิ้วกลางคอยสัมผัสดูว่าก้างหลุดหรือยัง

ภายในโพรงปากนั้นเหมือนเป็นโลกอีกใบที่น่าเหลือเชื่อมาก มันถูกห้อมล้อมด้วยผนังนุ่มนิ่มและชื้นแฉะอันมาจากน้ำลาย เซียวเฟิงพยายามขยับสำรวจหาก้างปลาอย่างอ่อนโยนที่สุด แต่นั่นก็ยังมีบ้างที่เขาสัมผัสโดนสิ่งที่อยู่ภายในปากนี้ อย่างเช่น ลิ้นเล็ก ๆ ที่อุ่นและนุ่มของเธอ สัมผัสนี้เป็นสัมผัสที่เขาไม่เคยได้รีบรู้มาก่อนเลย

เขารีบเรียกสติของตนกลับมาแล้วสำรวจบนลิ้นของเธอด้วย จากนั้นก็ไล่ไปที่ริมฝีปาก แล้วออกมาที่คาง แต่ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ

เซียวเฟิงขมวดคิ้วและเพ่งมองลงไปภายในปากเล็ก ๆ ที่ยังอ้าอยู่นั้นอีกครั้ง ตอนนี้มันเหลือที่เดียวแล้วก็คือลึกลงไปในลำคอ …ซึ่งมันมักเป็นสถานที่ยอดฮิตที่พวกก้างปลาจะเข้าไปติดกันด้วย

“อ้าปากไว้นะ เซียวหลิง”

นิ้วกลางของเซียวเฟิงค่อย ๆ ขยับลงไปในลำคอของเซียวหลิงช้า ๆ ยิ่งเข้าไปลึกเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนนิ้วถูกห่อหุ้มไปด้วยผนังนุ่มนิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในขณะเดียวกันเซียวหลิงก็มีท่าทีเหมือนจะอ้วกออกมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามอดกลั้นไว้จนน้ำตาไหลออกมาแทน

แม้จะรู้สึกสงสาร แต่เซียวเฟิงจำเป็นต้องไปต่ออย่างถอยกลับไม่ได้ เขายังคงดันนิ้วกลางของตนลงไปในลำคอของเซียวหลิงเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นเซียวหลิงดูปวดร้าว เซียวเฟิงก็ยิ่งรู้สึกไม่ปกติมากขึ้น

“แค่ก ! เจ้าโง่ ! นายพยายามจะฆ่าฉันเหรอ !?”

เซียวหลิงสำรอกไม่หยุด น้ำตาของเธอไหลอาบไปทั่วทั้งแก้มแล้วตอนนี้ เด็กสาวทุบตีเซียวเฟิงด้วยความไม่พอใจ แต่ด้วยท่าทีที่เริ่มกลับมาโวยวายได้นั้น มันน่าจะแสดงให้เห็นว่าอาการของเธอดีขึ้นแล้ว

ภายในมือของเซียวเฟิงที่ชักออกมานั้นมีก้างปลาเจ้าปัญหาอยู่ด้วย มันทั้งยาวแล้วก็แหลมคม และในส่วนปลายที่แหลมคมก็มีเลือดของเซียวหลิงติดอยู่ด้วย เขาหักมันให้เป็นเหมือนเม็ดข้าวเล็ก ๆ ก่อนจะโยนทิ้งไป

“พูดออกมา ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ ?”

เซียวเฟิงหันไปมองซือเยี่ยจิ๋งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้สุภาพกับอีกฝ่ายเพราะถ้าเซียวหลิงไม่รีบหยิบอาหารเข้าปากแบบเมื่อครู่ ก้างปลาก็คงจะไม่ติดคอจนเป็นปัญหาแบบนี้

หัวใจของซือเยี่ยจิ๋งกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง เธอหันมองเซียวเฟิงด้วยแววตาที่เคว้งคว้าง ความทุกข์ก่อตัวขึ้นในอกพร้อมกับปลายจมูกที่เริ่มชื้นน้ำ ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็รีบหันหน้าออกแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร เธอออกจากห้องนั้นพร้อมปิดประตูเสียงดังปัง…