บทที่ 76 รอเก็บศพ

The king of War

หยางเฉินเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งตัวเป็นจิตอาฆาตแค้นที่รุนแรง หลังจากชายแดนเหนือมา เพิ่งโมโหเดือดดาลเป็นครั้งแรก

รถโฟล์คสวาเกนสีดำคันหนึ่งแล่นไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว บนถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมาฉับไว

ขณะเดียวกัน ในห้องส่วนตัวในผับแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่อายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟามีระดับ ในอ้อมแขนของเขายังโอบหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้

“คุณชายเฟิง ฉันรับปากเป็นผู้หญิงของคุณแล้ว คุณจะต้องแก้แค้นแทนฉันให้สาสมเลยนะ!” หญิงสาวยังคงแอบอิงในอ้อมอกของชายหนุ่ม ทำหน้าตาขวยอาย

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังฮาๆ ขึ้นมา “เสี่ยวเยว่ เธอสบายใจได้เลย กล้ารังแกผู้หญิงของฉัน ต่อให้เป็นคนที่มีพลังเหนือชั้นมา ฉันก็ไม่ปล่อยมันไปแน่”

หญิงสาวคนนี้คือฟางเยว่นั่นเอง เวลานี้ทั่วทั้งตัวเหมือนน้ำกองหนึ่ง พิงอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มแบบอ่อนแรงไร้กระดูก

ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเฟิง ชื่อว่ากวนเสว่เฟิง ถ้าฉินยีอยู่ที่นี่ จะต้องจำเขาได้เป็นแน่ ครั้งก่อนที่เธอมาดื่มเหล้าที่นี่ ก็คือเจ้าสารเลวคนนี้ที่อยากจะหลอกตนเองให้ดื่มเหล้าซึ่งวางยาเอาไว้

วันนั้นถ้าไม่ใช่หยางเฉินส่งเซินปามาแอบดูแลฉินยีก่อนล่วงหน้า เกรงว่าเธอคงโดนกวนเสว่เฟิงล่วงละเมิดไปแล้ว

ในแววตาลึกของฟางเยว่เต็มไปด้วยความดุร้าย “เอายัยเด็กเปรตคนนั้นซ่อนไว้ดีแล้วสินะ?”

“วางใจได้ แค่เด็กผู้หญิงอายุสี่ขวบคนหนึ่ง ซ่อนหล่อนไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรอกเหรอ?” กวนเสว่เฟิงยิ้มกริ่มบอกไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

“เสี่ยวเยว่ ก่อนที่เจ้าหมอนั่นจะมาถึง พวกเราทำเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันก่อนได้หรือเปล่า?” กวนเสว่เฟิงอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง ระหว่างที่พูดจาก็เริ่มลงมือแล้ว

“คุณชายเฟิงคะ รีบอะไรกัน? รอคุณช่วยฉันแก้แค้นเสร็จ คืนนี้ฉันก็เป็นของคุณอยู่ดี” ฟางเยว่ผลักมือของกวนเสว่เฟิงออกแบบเนียนๆ

ในแววตาลึกของเธอเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน แต่เพื่อการแก้แค้น เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้

สำหรับเธอนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉิน ตระกูลหยางของเมืองโจวเฉิงคงไปเจรจาการหมั้นที่ตระกูลฉินแล้ว ไม่แน่ว่าเธอกับหยางเวยอาจหมั้นหมายกันไปแล้ว แต่ทว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นหยางเฉินทำพังหมด

วันนั้นที่ชั้นบนสุดของตึกในเมืองที่ไม่เคยหลับใหล หยางเวยตบหน้าเธอต่อหน้าสาธารณชน ทำให้เธอขายหน้ามาก ปัจจุบันนี้แม้แต่ประตูบ้านเธอยังไม่กล้าออกไป มักรู้สึกว่าใครที่มองเธอล้วนแอบนินทาลับหลังไปหมด

เดิมทีนายท่านฉินยังให้ความสำคัญกับเธอมาก แต่พอหลังเธอกับหยางเวยเลิกรากันไป เดิมทีนายท่านฉินไม่ได้ปลื้มเธอ ที่สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ดีๆ กับเธอ จึงไม่เหลืออะไรเลย

ไม่เพียงแค่นี้ ตำแหน่งในบ้านเธอที่ตระกูลฉินก็ตกฮวบลง เดิมทีไม่มีทางพลิกสถานการณ์กลับมา สำหรับเธอแล้ว ตัวการที่ก่อกรรมทำชั่วที่สร้างทุกอย่างนี้ขึ้น ก็คือหยางเฉิน

“เสี่ยวเยว่ ฉันรอไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นโทรศัพท์หาเขาตอนนี้เลย ให้เขาเข้ามา?” กวนเสว่เฟิงพูดจาเร่งรีบ

เพื่อทำให้กวนเสว่เฟิงพึงพอใจ วันนี้ฟางเยว่ใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยมาก เดิมเธอจัดว่าเป็นคนสวยอยู่แล้วด้วย หลังผ่านการแต่งตัวแต่งหน้ามาอย่างตั้งใจ หน้าตาจึงสวยงามเพิ่มขึ้นมาก

ในสายตาฟางเยว่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ส่ายหน้า “คุณชายเฟิง อย่าพึ่งรีบร้อนสิ ฉันอยากให้เขาร้อนใจไปช่วงหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยติดต่อเขา ฉันอยากให้เขามาคุกเข่าอ้อนวอนที่เท้าของฉัน อ้อนวอนฉันให้บอกว่ายัยเด็กเปรตนั้นอยู่ที่ไหน!”

“ก็ได้! เธออยากเล่นยังไง วันนี้ฉันตามใจเธอ แต่ตกลงกันแล้วนะ คืนนี้เธอเป็นของฉัน”

กวนเสว่เฟิงหัวเราะแบบชั่วร้าย จากนั้นถามขึ้นอีก “เสี่ยวเยว่ เธอแน่ใจว่าเจ้าหมอนั่นไม่มีเบื้องหลังอะไร อย่ามาหลอกฉันเด็ดขาดนะ!”

ฟางเยว่ส่งเสียงหัวเราะเยาะ “คุณชายเฟิงสบายใจได้แน่นอนค่ะ เขาคือลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลฉิน ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งครอบครัวโดนไล่ออกจากตระกูลฉินไป ถ้าเขามีเบื้องหลังอะไรจริง ยังจะมาเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงอีกเหรอ?”

“คุณชายเฟิงครับ ผมจำได้ว่าครั้งก่อนที่คุณให้ผมค้นหาเจ้าหมอนั่น เหมือนว่าจะเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลฉินมั้งครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของกวนเสว่เฟิง เวลานี้เอ่ยปากพูดขึ้นกะทันหัน

ไม่นานกวนเสว่เฟิงตอบสนองเข้ามาแล้ว พอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นที่มาหอเหล้าแสงพระจันทร์เมื่อครั้งก่อน ในใจเขาก็ร้อนรุ่มขึ้น

ฟางเยว่เทียบกันกับผู้หญิงคนนั้น ยังทิ้งห่างกันอย่างเทียบไม่ติด เพียงแค่ต่อมาผู้หญิงคนนั้นโดนชายผิวดำคนหนึ่งช่วยไปแล้ว

เขาจำที่ชายผิวดำคนนั้นพูดไว้ได้ เขาเป็นคนที่เจ้าหนุ่มชื่อว่าหยางเฉินส่งมา

ตอนแรกเขาคิดว่าหยางเฉินเป็นคุณชายตระกูลไหนสักแห่ง แต่ต่อมาให้คนไปสืบค้นดูถึงได้รู้ว่าเป็นแค่สวะคนหนึ่ง ห้าปีก่อนแต่งงานเข้าบ้านตระกูลฉินไป

“เสี่ยวเยว่ เจ้าหนุ่มคนนั้นที่เธออยากแก้แค้น ชื่ออะไรนะ?” กวนเสว่เฟิงถามขึ้นทันใด

ฟางเยว่หัวเราะ “เขาชื่อหยางเฉิน ไม่แน่ว่าคุณอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ห้าปีก่อนคือเขาที่ย่ำยีฉินซีท่านประธานสาวสวยที่ชื่อเสียงสั่นสะเทือนเจียงโจวในตอนนั้น”

“คุณชายเฟิงครับ คาดไม่ถึงว่าเป็นเจ้าหนุ่มคนนั้น” ลูกน้องของกวนเสว่เฟิงพูดอย่างตกใจ

กวนเสว่เฟิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “โลกนี้มันช่างกลมเสียจริง หลายวันมานี้ฉันกำลังคิดจะตามหาเจ้าหนุ่มนี้ นึกไม่ถึงวันนี้จะหาเจอ เสี่ยวเยว่ วันนี้เธอทำเรื่องดีให้ฉันเลยนะ!”

ฟางเยว่เข้าใจเช่นกัน หยางเฉินเหมือนจะเคยล่วงเกินกวนเสว่เฟิงด้วย ในดวงตาของเธอมีแสงสว่างเต็มเปี่ยม “เขาเคยล่วงเกินคุณชายเฟิงเหรอคะ?”

“ถือว่าใช่ก็ได้! ครั้งที่แล้วฉันสนใจผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนที่ใกล้จะจัดการได้ กลับโดนบอดี้การ์ดผิวดำคนหนึ่งที่เขาส่งมาช่วยไปได้” กวนเสว่เฟิงหัวเราะอยู่บอกไป

“คุณชายเฟิงคะ ผู้หญิงคนนั้นที่คุณสนใจ คงไม่ใช่เมียของเขาหรอกมั้ง?” ฟางเยว่ถามแบบตกใจ

กวนเสว่เฟิงส่ายหน้า “ฉันหามาแล้ว เป็นน้องเมียของเขา เหมือนจะชื่อฉินยี”

ในสายตาฟางเยว่มีแสงคมกริบนิดๆ แวบผ่าน ยิ้มบอก “คุณชายเฟิง คุณไม่คิดว่านี่คือโอกาสดีที่หาได้ยากมากเหรอคะ?”

“หมายความว่าอะไร?” กวนเสว่เฟิงถามขึ้น

“วันนี้เขาต้องมาที่นี่แน่นอน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมถึงไม่คว้าโอกาสอันนี้เอาไว้ เรียกฉินยีนังสารเลวคนนั้นมาด้วยล่ะ?”

รอยยิ้มของฟางเยว่ดูหน้าซื่อใจเหี้ยม “คุณว่าถ้าให้เขาเห็นคุณจัดการน้องเมียของเขาด้วยตาตัวเอง เขาจะเสียสติไปหรือเปล่า?”

“ฮ่าๆ! เธอนี่โหดจริงๆ ไม่เหลือทางหนีให้พวกเขาเลยสักนิด แต่ว่าฉันชอบนะ”

กวนเสว่เฟิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ทันใดนั้นยิ้มแบบชั่วร้าย “เธอว่าถ้าให้เธอกับผู้หญิงคนนั้นมาบริการฉันด้วยกัน งั้นคงจะสนุกยิ่งขึ้นหรือเปล่า?”

ฟางเยว่มองค้อนกวนเสว่เฟิงไปทีหนึ่ง “คุณชายเฟิง คุณทนเหยียบย่ำให้ฉันอายแบบนี้ได้เหรอ? ในเมื่อฉันรับปากเป็นผู้หญิงของคุณแล้ว อยากได้ฉันเมื่อไรจะไม่ได้เหรอ? แต่เอาฉินยีมาขึ้นเตียง เป็นโอกาสแค่ในวันนี้เท่านั้นนะคะ!”

ในเวลานี้เอง ฉินยีกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ว่านอกจากโจวยู่ชุ่ย คนอื่นกลับไม่อยู่กันเลย

“พี่คะ พี่กับพี่เขยทำไมถึงยังไม่กลับบ้านกัน?” ไม่รู้ว่าทำไมฉินยีถึงรู้สึกว่าผิดปกติอยู่บ้าง จึงโทรศัพท์ไปหาฉินซี

“ฉันทำงานอยู่เลยล่ะ หยางเฉินไปรับเสี้ยวเสี้ยวแล้ว พวกเขายังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ?” ฉินซีพูดขึ้น ฉินยียังได้ยินเสียงเคาะแป้นพิมพ์ลอยมาจากในสายโทรศัพท์นั้นด้วย

“บางทีพี่เขยอาจพาเสี้ยวเสี้ยวไปเล่นมั้ง เดี๋ยวฉันลองโทรไปถามพี่เขยดูก่อนนะ พี่ทำงานไปเถอะ” ฉินยีพูดจบจึงวางสายโทรศัพท์

เธอเพิ่งเตรียมจะโทรศัพท์หาหยางเฉิน แต่ทว่ายังไม่ทันได้ต่อสายออกไป มือถือของเธอดังขึ้นมาก่อน คาดไม่ถึงเป็นหมายเลขแปลกหน้า

“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ!” ฉินยีรับสายโทรศัพท์

“หลานสาวของเธออยู่ในมือฉัน ให้เวลาเธอยี่สิบนาที มารับหล่อนที่หอเหล้าแสงพระจันทร์ ถ้าชักช้า ก็รอเก็บศพหลานสาวเธอแล้วกัน”

ในลำโพงของมือถือมีเสียงที่เย็นชาไร้ที่เปรียบลอยมา “ใช่แล้ว เธอต้องมาคนเดียว อย่าบอกใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าให้ฉันรู้เข้า ก็รอเก็บศพได้เลย!”