หูซิ่งฟังคำของชูชิงแล้วตกใจจนเหงื่อแตก
เขาแค่คิดว่าจะจัดการอย่างไรให้ออกมาดี ให้สกุลเผยมีหน้ามีตา ให้ตนเองกลับเข้าไปอยู่ในรายชื่อผู้มีค่าพอให้เผยเยี่ยนเรียกใช้งานได้อีกครั้ง แต่กลับหลงลืมข้อห้ามของสกุลเผยที่ว่าไม่ให้ทำตัวโดดเด่นไป
ชูชิงมิใช่คนที่จะพูดจาเรื่อยเปื่อยเลื่อนลอย
“ขอบคุณขอรับๆ!” หูซิ่งร้องบอกไม่ขาดปาก “รอวันไหนที่ท่านชูมีเวลา พวกเราค่อยไปดื่มเหล้าด้วยกัน โรงเตี๊ยมและโรงสุราขึ้นชื่อในเมืองหลินอันไม่มีร้านไหนที่ข้าไม่รู้จัก”
ชูชิงไม่ใช่คนเมืองหลินอัน แต่ติดตามเผยเยี่ยนกลับมาจากเมืองหลวง ส่วนว่าเป็นคนที่ไหนแน่กับความเป็นมาบางอย่าง หูซิ่งก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
รวมทั้งเฉินฉีห้องบัญชีและจ้าวเจิ้นคนรถ เขาล้วนไม่สนิทและไม่รู้ภูมิหลังทั้งสิ้น
ชูชิงหัวเราะ แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “เอาสิ” จากนั้นก็ไปวุ่นวายงานของตนเองต่อ
หูซิ่งกลับยืนเหม่ออยู่ใต้เงาไม้เป็นนานสองนานกว่าจะเดินจากไป
เถ้าแก่น้อยถงทางนั้น เขาจัดการเรื่องราวได้ราบรื่นมากกว่าที่อวี้ถังคาดไว้เสียอีก วันที่สามนับจากที่นางไปเจอเถ้าแก่ใหญ่ถง โรงจำนำก็ส่งข่าวมาให้เสียแล้ว เหล่าเถ้าแก่สกุลถงหาช่างฝีมือที่ทำธูปหอมได้สองคน คนหนึ่งมาจากฟู่หยาง นามสกุลสวิน อายุหกสิบกว่า เดินทางมาที่นี่ได้ แต่ต้องพาลูกเล็กเด็กแดงและลูกศิษย์สิบกว่าคนมาด้วย อีกคนนามสกุลหมี่ เป็นคนอู่ชาง อายุสี่สิบต้นๆ ต้องพาครอบครัวสี่คนกับสองลูกศิษย์มาด้วยเช่นกัน ตอนที่เถ้าแก่น้อยถงแนะนำช่างฝีมือสองคนยังบอกอีกว่า “ดีกันคนละแบบ อาจารย์สวินนั้นนายจ้างคนเก่าไม่อยู่แล้ว นายจ้างคนใหม่ต้องการจะเปลี่ยนสายอาชีพ จึงจ่ายเงินเลี้ยงดูตอนแก่เขามาก้อนหนึ่ง แต่บุตรชาย ลูกสะใภ้และลูกศิษย์ต่างก็เล่าเรียนสิ่งนี้มา เขาจึงต้องหาทางออกสักทางให้ แต่ตัวเองน่าจะไม่ทำธูปหอมอีกแล้ว ส่วนอาจารย์หมี่ กำลังอยู่วัยหนุ่มแน่นไฟแรง เพราะเขาไม่ถูกกับนายจ้าง ถึงได้เดินทางรอนแรมมาถึงแถบเจียงหนาน สุดท้ายแล้วจะเลือกคนไหน ก็ให้คุณหนูอวี้เป็นคนตัดสินใจ”
อวี้ถังคิดว่าเรื่องนี้ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยสั่งให้เหล่าคุณหนูเป็นผู้ดูแลหลัก จึงให้คนถือจดหมายไปหาพวกนางเพื่อสอบถามความเห็น ใครจะคิดว่าคุณหนูแต่ละคนกลับไม่มีเวลาว่างให้กับงานวันสรงน้ำพระ คุณหนูรองตัดบทว่า “ในเมื่อมอบเรื่องนี้ให้คุณหนูอวี้แล้ว ก็รบกวนคุณหนูอวี้ตัดสินใจเถิด”
คล้ายว่าจะปล่อยมือไม่สนใจแล้ว
อวี้ถังยิ้มขื่น
ช่างเหมาะกับคำที่ว่าเอาไว้ ใครคิดคนนั้นทำ เรื่องนี้เหตุใดกลายเป็นเรื่องของนางคนเดียวแล้ว
โชคดีที่เถ้าแก่น้อยถงเป็นคนใจกว้างเหมือนกับเถ้าแก่ใหญ่ถง ไม่เพียงไม่หัวเราะเยาะนาง แถมยังปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไรขอรับ พวกเราเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ท่านแค่บอกเหตุผลในการเลือกให้เหล่าคุณหนูทราบไว้ก็พอ ต่อไปหากพวกนางเจอเรื่องคล้ายคลึงกันจะได้ใช้เป็นตัวอย่างอ้างอิงได้ นี่คือสาเหตุที่ท่านแม่เฒ่ามอบหมายให้เหล่าคุณหนูเป็นคนจัดการ…ภายภาคหน้าพวกนางต้องแต่งออกไปยังสกุลสูงส่ง ไม่มีทางได้ลงมือจัดการเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ต่อให้มีเรื่องจริงๆ บ้านสามีก็ยังมีลุงป้า บ้านภรรยาก็ยังมีพี่น้อง ไม่มีทางขาดแคลนคนออกความเห็น ท่านแม่เฒ่ากลัวแต่ว่าพวกนางจะเห็นโลกน้อย ถึงได้ลากพวกนางตะเวนไปโน่นมานี่ด้วยไม่หยุด”
อวี้ถังคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ถึงเอ่ยกับเถ้าแก่น้อยถงว่า “ข้าเลือกอาจารย์หมี่”
เถ้าแก่น้อยถงชะงักไป
คนทั่วไปมีแต่จะเลือกอาจารย์สวิน
อาจารย์หมี่ทะเลาะและผิดใจกับนายจ้างเก่า นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนประนามอย่างหนัก
อวี้ถังเอ่ยต่อว่า “อาจารย์ทั้งสองที่ท่านหามาล้วนเป็นผู้มีชื่อในการทำธูปหอมในถิ่นตน อาจารย์หมี่จะหาข้ออ้างสักอย่างมาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทว่ากลับยอมพลัดที่นาคาที่อยู่ เห็นชัดว่าไม่อยากปะทะกับเจ้านายเก่า เป็นคนที่รู้จักขอบเขตอยู่บ้าง การที่เบาะแว้งกับเจ้านายเก่า ไม่แน่อาจมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่ก็ได้ ส่วนอาจารย์สวินผู้นั้น บุตรชายลูกสะใภ้และลูกศิษย์ต่างก็เรียนวิชาทำธูปหอมจากเขา อายุเขาก็เกินหกสิบแล้ว ทั้งนายจ้างใหม่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ ครอบครัวและลูกศิษย์ของเขากลับไม่อาจหางานดีๆ ทำได้ ต้องให้เขาออกหน้าช่วยเหลือ หากมิใช่เพราะพวกลูกชายสะใภ้ลูกศิษย์ไม่ได้ความ ไม่อาจรับถ่ายทอดวิชาจากเขาได้ ก็คงเป็นเพราะเขาหวงวิชา ไม่ยอมถ่ายวิชาให้ผู้สืบทอดอย่างหมดเปลือก คนประเภทนี้ ต่อให้พวกเราเชิญเขามา เกรงว่าคงไม่คิดสอนพวกพระอาจารย์และอุบาสิกาของอารามดับทุกข์ให้ทำธูปหอมอย่างจริงใจแน่ ทว่า นิสัยลึกๆ ของคนทั้งสองเป็นอย่างไร ก็ต้องคบหาดูสักพักจึงจะรู้”
เถ้าแก่น้อยถงลอบพยักหน้าเงียบๆ
เขาพูดเช่นนี้ออกมาก็เพราะต้องการจะหยั่งเชิงอวี้ถัง หากว่าอวี้ถังเชื่อใจเขา ก็ต้องเชื่อมั่นในข่าวที่เขาหามาให้ หากว่าไม่เชื่อใจเขา จะเชื่อเพียงสิ่งที่ตนได้เห็นกับตาเท่านั้น สิ่งนี้เกี่ยวพันถึงท่าทีที่เขาจะปฏิบัติต่ออวี้ถังในอนาคต
และนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
เถ้าแก่น้อยถงไม่เก็บงำอีกต่อไป เขาเอ่ยว่า “ข้าอยากจะลองเชิญอาจารย์มาทั้งสองท่านเลยขอรับ” พูดถึงตรงนี้เขาก็หันมายิ้มให้อวี้ถังแล้วเอ่ยต่อ “จะได้มาช่วยพวกเราเร่งทำธูปกำยานขดกับธูปก้านยาวชุดแรกออกมาก่อน”
นี่คิดจะใช้โอกาสช่วงทดลองงานให้อาจารย์ทั้งสองช่วยงานที่อารามดับทุกข์ก่อนน่ะสิ!
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ ตอบว่า “ใช้ได้!”
ดวงตาของเถ้าแก่ถงน้อยหรี่ลงเป็นเส้นโค้ง
สองคนได้ข้อตกลงร่วมกันโดยไม่ต้องพูดมาก ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกคนเป็นคนหัวไวฉลาดเฉลียว ต่อไปย่อมทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดีแน่
ไม่นาน อาจารย์ทั้งสองก็เดินทางมาถึงเมืองหลินอัน
ช่วงระหว่างนี้ อวี้ถังไปดูตัวมาแล้วรอบหนึ่ง
ก็เหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้า อวี้ถังไม่มีความเห็นใดเป็นพิเศษ อวี้เหวินคิดว่าหนุ่มคนนี้ซื่อตรงใช้ได้ เป็นคนสกุลเฉินที่เลือกมากหาว่าผู้อื่นสูงใหญ่ไม่เข้าขั้น ไม่ดีพอสำหรับอวี้ถัง
อวี้เหวินเถียงคนสกุลเฉินไปคราหนึ่งอย่างหาได้ยาก “การแต่งงาน สิ่งที่สำคัญมิใช่นิสัยใจคอกับวิชาความรู้หรือ?”
คนสกุลเฉินต่อปากว่า “แต่เด็กคนนั้นเตี้ยไปหน่อย ต่อไปเจ้าอยากเห็นหลานๆ ออกมาเตี้ยม่อต้อหรือ?”
อาจเพราะคนสกุลอวี้มิได้มีรูปร่างสูงมาก จึงค่อนข้างฝังใจกับเรื่องของความสูงอยู่ตลอด
อย่างอวี้หย่วนนั้น พอได้เห็นคนสกุลเซียงก็พออกพอใจ แต่ในสายตาคนนอก คนสกุลเซียงมีรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งผิวไม่ขาว หากมองจากมุมของรูปโฉมแล้ว การแต่งให้อวี้หย่วนคล้ายจะสูงเกินเอื้อมด้วยซ้ำ
อวี้เหวินพลันเงียบเสียงทันที
อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก
นางคิดว่าตัวเองยังมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย ไม่คิดจะแต่งงานเร็วเพียงนั้น
อ้างตามข้อตกลงที่เถ้าแก่น้อยถงพูดไว้กับอาจารย์ทำธูปหอมทั้งสอง พออาจารย์ทั้งสองปักหลักที่หมู่บ้านชาวนาทั้งสองแห่งใกล้ๆ กับอารามดับทุกข์เรียบร้อยแล้ว เขาจะนำค่าเดินทางของทั้งสองไปมอบให้ด้วยตนเอง ทั้งยังเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม มิใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในฝีมือการทำธูปหอมของคนทั้งคู่ แต่สกุลเจ้านายตนถือคติที่ว่า ‘เป็นล่อหรือม้าให้จูงออกมาเดินก่อน[1]’ เขาที่เป็นเพียงเถ้าแก่ตัวน้อยได้แต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ทั้งกล่อมอาจารย์ทั้งสองอีกว่า “จะต้องแสดงความสามารถให้สุดฝีมือ ทำธูปหอมอันยอดเยี่ยมออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นผู้เอ่ยแนะนำเช่นข้าย่อมไม่อาจมีหน้าไปรายงานต่อเจ้านาย”
ช่างฝีมือทั้งสองต่างส่งข้อความตอบรับกลับมา
เถ้าแก่น้อยถงส่งธูปหอมที่ทำเสร็จแล้วไปให้ จากนั้นก็เดินทางไปอารามดับทุกข์
เจ้าอาวาสอารามดับทุกข์ได้ทำตามที่เถ้าแก่น้อยถงบอกเอาไว้ จากการสังเกตตลอดหลายวันที่ผ่านมา หาอุบาสิกามือเท้าว่องไวไว้ได้สิบกว่าคน พอเห็นเถ้าแก่น้อยถงมาถึง ก็ส่งคนมาให้เขาในทันที ทั้งยังกำชับคำตามที่เถ้าแก่น้อยถงเคยพูดเอาไว้ว่า “เพื่อให้อารามของเราเป็นที่รู้จัก สกุลเผยไม่เพียงสนับสนุนพิธีบรรยายธรรมที่วัดเจาหมิง ยังเชิญช่างฝีมืออีกสองท่านมาช่วยอารามดับทุกข์ของพวกเราทำธูปหอม แต่พวกเราเองก็ไม่อาจเอาแต่ยืนมองเฉยอยู่ข้างๆ พวกเจ้าไปแล้ว ก็ต้องคอยเป็นลูกมือช่วยเหลืออาจารย์ทั้งสองด้วย”
ช่างฝีมือทั้งสองพิจารณาลักษณะท่าทางของอุบาสิกาแต่ละคน แล้วตัดสินใจว่าสุดท้ายจะเลือกใครไว้บ้าง
ไม่กี่วันผ่านไป ช่างฝีมือทั้งสองต่างก็ทำธูปกำยานขดขนาดเท่าถังไม้ล้างเท้ากับธูปก้านยาวที่ใหญ่เท่าแขนเด็กออกมา เถ้าแก่น้อยถงเชิญอวี้ถังกับเหล่าคุณหนูให้มาทดสอบ ดูว่าหลังจากจุดแล้วไฟจะดับกลางคันหรือธูปจะหักหรือไม่ นี่คือสาเหตุว่าทำไมการทำธูปกำยานขดขนาดเท่าถังไม้ล้างเท้ากับธูปก้านยาวที่ใหญ่เท่าแขนเด็กจึงทำได้ยากเย็นนัก
แน่นอนว่าอวี้ถังกับเหล่าคุณหนูสกุลเผยคงไม่รอให้ธูปกำยานขดกับธูปก้านยาวไหม้จนหมดจริงๆ…เช่นนั้นมิรู้ต้องรอกี่วันกี่คืน ทว่าตอนที่เถ้าแก่น้อยถงส่งธูปหอมมาก็ได้พากันไปดู จากนั้นหาทางเดินระหว่างห้องสักแห่งจุดธูปหอมเพื่อดมกลิ่น ภายหลังก็เฮโลไปเล่นด้วยกันแล้ว ทางเดินระหว่างห้องตรงนั้นย่อมมีสาวใช้กับหญิงรับใช้ที่คอยเฝ้าไว้มารายงานพวกนางอีกทีว่าธูปหอมเหล่านั้นดีหรือแย่อย่างไร
“วันนั้นพี่อวี้เตรียมจะใส่ชุดอะไรไปหรือ?” นี่เป็นเรื่องที่คุณหนูสี่สนใจที่สุด นางเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ข้าตัดเสื้อมาสามชุด พี่รองกับพี่สามล้วนแต่พูดส่งๆ ว่าสวยแล้ว อีกเดี๋ยวพี่อวี้ช่วยข้าดูที ท่านว่าชุดไหนสวยข้าก็จะใส่ชุดนั้น”
คุณหนูห้าเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “พี่อวี้อย่าไปฟังนาง พวกเราบอกนางแล้วว่าชุดสีชมพูที่นางใส่งามที่สุด แต่ชุดสีชมพูนั้นต้องติดไข่มุกและเครื่องประดับอื่นๆ ด้วยถึงจะสวย แต่สุดท้ายนางกลับไปสั่งทำปิ่นระย้าทองชุดใหม่ นางคิดจะปักปิ่นระย้านี้ไปวัดเจาหมิง ตอนนี้ถึงได้ลังเลอยู่ว่าต้องใส่ชุดไหนดี” นางพูดแล้วก็เชิญชวนอวี้ถังว่า “พี่อวี้ไม่ได้มาหลายวันแล้ว ดอกโบตั๋นที่เรือนหลังของพวกเราใกล้จะบานเต็มแก่ ช่วงนี้ท่านมีเวลาว่างไหมเจ้าคะ? ถึงตอนนั้นข้าให้หญิงรับใช้ไปส่งข่าว ท่านก็มาชมดอกไม้ด้วยกัน! ปีนี้ที่จวนมีโบตั๋นเขียวเพิ่มมาใหม่หลายต้น ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
อวี้ถังถามด้วยความอยากรู้ว่า “นายท่านสามมิใช่ไม่ชอบดอกไม้หรือ?”
คุณหนูห้าร้องเหอะอย่างแง่งอน “ต่อให้ท่านอาสามจะไม่ชอบ แต่จะยุ่งไปถึงลานเรือนของท่านย่าข้าได้รึ! โบตั๋นเขียวต้นนั้น เป็นสกุลซ่งให้คนส่งมาให้ ท่านย่าข้าชื่นชอบเป็นที่สุด ยังมอบให้มารดาข้าหนึ่งกระถาง แต่มารดาข้ากลัวจะเลี้ยงได้ไม่ดี จึงวางไว้ที่ห้องบุปผาของท่านย่าเหมือนเดิม”
อวี้ถังรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเผยกับสกุลซ่ง
นางตอบรับยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าลืมให้หญิงรับใช้มาบอกข้าแล้วกัน ข้าก็เคยได้ยินแต่ชื่อโบตั๋นเขียว ทว่าไม่เคยเห็นมาก่อน”
คุณหนูสามแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สกุลซ่งนั้นถ้าไม่มีปัญหาก็คงไม่ส่งอะไรมาให้หรอก ครั้งนี้พวกเขาคิดจะทำอะไรอีกล่ะ?”
คุณหนูห้าเอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “น่าจะไม่มีปัญหาหรอก? คนที่มาส่งของบอกเพียงบอกว่าสกุลซ่งเพิ่งต่อเรือสองลำสำเร็จที่ไท่หูทางนั้น บอกว่าตอนลากเรือลงน้ำ อยากจะเชิญท่านย่าไปดูด้วย นี่ไม่นับเป็นปัญหากระมัง?”
คุณหนูสามเอ่ยเตือนคุณหนูห้า “สุดท้ายไม่ว่าสกุลนั้นจะทำอะไรพวกเราก็ต้องคอยจับตาดูไว้ หากไม่ไปมาหาสู่กันได้ย่อมดีที่สุด” จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือก “ท่านย่านั้นอะไรก็ดีไปหมด ทว่าญาติที่เกี่ยวดองด้วยไม่ค่อยจะดีนัก”
อวี้ถังฟังแล้วก็ส่งเสียงขำทันที “ฮ่องเต้ยังมีญาติที่ยากจนเลย เจ้าคงไม่คาดหวังให้ทุกสกุลที่เกี่ยวดองด้วยเป็นคนดีมีคุณธรรมหมดกระมัง!”
ดวงหน้าคุณหนูสามแดงเรื่อ “ข้าแค่รู้สึกว่าสกุลซ่งชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมาะสม” ทว่าไม่เหมาะสมอย่างไรนั้น คุณหนูสามไม่ได้เล่าต่อ อวี้ถังก็ไม่สะดวกซักไซ้ แต่ที่สกุลซ่งต่อเรือลำใหญ่ออกมา กลายเป็นความทรงจำที่อวี้ถังจำได้ขึ้นใจ
ไม่รู้ว่าเจียงเฉาออกทะเลครั้งนี้จะปลอดภัยหรือไม่
หากว่ากลับมาได้อย่างปลอดภัย สกุลอวี้ก็คงพลอยได้ลาภไปด้วย
อวี้ถังครุ่นคิดอยู่ในใจ ข้างหูพลันได้ยินเสียงบ่นของคุณหนูรองว่า “พวกเจ้าเลิกประชันความงามกันเสียทีเถอะ วันงานสรงน้ำพระ พวกเราคงได้ดูความครึกครื้นอยู่ในห้องเซียงฟางเท่านั้น จะแต่งตัวงดงามไปเพื่ออะไร?”
หมายความว่าอย่างไร?
สายตาของทุกคนพุ่งไปที่คุณหนูรองเป็นจุดเดียว
คุณหนูรองถึงได้เอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าไม่รู้อย่างนั้นรึ? กำหนดการวันสรงน้ำพระออกมาแล้ว งานรับบริจาคก่อนพิธีบรรยายธรรม จะไม่มีสกุลใดออกหน้าทั้งสิ้น สิ่งของจะมอบให้วัดเจาหมิงไว้แต่แรก ถึงเวลานั้นให้พระผู้ดูแลของวัดเจาหมิงอ่านรายชื่อผู้ร่วมบริจาครอบหนึ่งเป็นเสร็จเรื่อง เหล่าสตรีทั้งหมดไม่อนุญาตให้ไปร่วมดูความครึกครื้น”
————————————————
[1]เป็นล่อหรือม้าให้จูงออกมาเดินก่อน หมายถึง อย่าได้ฟังแต่วาจาไพเราะจากปากผู้อื่น แต่ให้ลองลงมือทำดูว่ามีความสามารถจริงหรือไม่ จากนั้นค่อยตัดสินใจแยกแยะดีชั่วอีกที