บทที่ 1.3 เล่ห์เหลี่ยม (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (3) โดย Ink Stone_Romance

นานมากทีเดียว แล้วก็ยังคงเป็นฉู่ฉีเหยียนที่ละสายตามองไปยังรถม้าที่อยู่ข้างหลังก่อนเอ่ย “เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวลงมือทำร้ายเจ้าตรงนี้ ตอนนี้ข้ามีตัวเลือกให้เจ้าเลือกสองข้อ ทิ้งรถม้าคันนี้ไว้ที่นี่ เจ้าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า เราแยกทางกันไป ไม่งั้น…”

เขาพูดไปก็หันไปมองฉู่ฉีเฟิงอีกครั้ง แล้วยิ้มเยาะตรงมุมปากว่า “ข้าคิดว่าทำตามที่เจ้าพูดตอนอยู่ที่หน้าประตูเมืองเมื่อครู่ดีกว่า เจ้ากับข้าไปอารามเมตตาด้วยกัน จากนั้นข้าค่อยคุ้มกันเจ้ากลับวังบูรพาเอง จะได้แน่ใจว่าเจ้าไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย!”

ทหารที่ฮ่องเต้ส่งไปตามคณะทูตนั้นกลับชะตาลิขิตแล้วว่าจะคว้าน้ำเหลว ไม่แปลกที่ฉู่ฉีเหยียนจะระมัดระวัง

ต่อให้เขาสามารถนำตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีมาจากฉู่ฉีเฟิงได้ วังบูรพาก็คงเคราะห์ร้ายในเวลาเดียวกัน หากฮ่องเต้ยังคงไล่ล่าต่อไปโดยที่ฉู่ฉีเหยียนไม่รีบรายงานจะทำให้เขาได้รับความผิดอาญาโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้

เหตุใดต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยน! สุดท้ายก็เสียผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย?

ฉู่ฉีเฟิงดูออกว่าในใจเขากำลังวางแผนอะไรอยู่ หลังจากฟังจบก็ยิ้มเย็นชา สายตาลุ่มลึกและแฝงความนัยบางอย่างมองไปยังรถม้าคันนั้นพลางถามกลับไปว่า “เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียว คนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ในรถคันนี้น่ะ?”

ฉู่ฉีเหยียนใจสั่นระรัวและนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

จากนั้นเขาก็ได้สติกลับมาและมองเข้าไปในตาฉู่ฉีเฟิงอย่างลึกมากจนจะหยั่งรู้ได้

ฉู่ฉีเฟิงกลับหลบสายตาไม่ยินดียินร้าย

ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากพลางพินิจพิจารณาเขาชั่วขณะ ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่ก็หัวเราะอย่างไม่แยแสแล้วกล่าวว่า

”ไม่เป็นไร! ระหว่างเจ้ากับฉู่สวินหยางต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นคนพาทั่วป๋าอวิ๋นจีหลบหนี แม้ว่าข้าจะเดาผิด….ในเมื่อข้ามาแล้วก็ต้องดูให้เห็นกับตา!”

ฉู่ฉีเฟิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยืนกรานเช่นนี้

จากนั้นก็โต้ตอบกลับไปว่า “อีกอย่าง…ข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะเดิมพันผิดฝั่ง!”

ความจริงมีสามทาง แต่เขาไม่ได้สนใจเหยียนหลิงจวินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…

เขากล่าวว่าจะร่วมมือกับวังบูรพา หากเพ่งพินิจให้ดีต้องพูดว่าทุกอย่างที่เหยียนหลิงจวินทำก็เพื่อฉู่สวินหยางจะเหมาะกว่า เขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อฉู่สวินหยาง ทว่าสถานการณ์ของฉู่สวินหยางในตอนนี้…

กล่าวได้ว่าฉู่ฉีเหยียนไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะไม่สนใจไยดีนาง และไปคุ้มกันคนอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับเขาแม้แต่น้อย!

เหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนรวมทั้งฉู่ฉีเฟิงต่างไม่เหมือนกัน เหยียนหลิงจวินไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงเงินทอง เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่มากเกินไป ไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

 สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่ฉู่สวินหยางเท่านั้น!

ฉู่ฉีเฟิงเห็นเหยียนหลิงจวินโง่เง่าเช่นนี้สีหน้าเขาก็ห่อเหี่ยวแล้วหุนหันพูดออกไปว่า “ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน!”

พอพูดจบเขาก็ปลีกตัวออกมาไม่สนใจแล้วควบม้าออกไป

ฉู่ฉีเหยียนหันกลับไปมองดูเมืองหลวงที่อยู่ด้านหลัง ขณะที่หันกลับมาสายตายังคงมองรถม้าคันนั้น จากนั้นก็สลัดความคิดที่ปะปนอยู่ในหัวออกไป แล้วตามฉู่ฉีเฟิงไปต่อ

ความจริงฉู่ฉีเฟิงพูดถูก เขากำลังเดิมพันอยู่ แม้เขาเชื่อมั่นถึงเก้าส่วนว่าทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่บนรถคันนี้ แต่ยังมีความเป็นไปได้อยู่อีก

เนื่องจากว่าเป็นการเดิมพัน…

ฉะนั้นความเสี่ยงนี้ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ขณะที่ฉู่ฉีเฟิงถูกฉู่ฉีเหยียนมัดมือชกให้ออกจากเมืองไปด้วยกัน ฉู่สวินหยางก็พาคนมาถึงประตูเมืองทางทิศตะวันออกแล้วเช่นกัน

เนื่องจากวังบูรพาตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง แสดงว่าฉู่ฉีเฟิงออกมาช้ากว่านางหนึ่งเค่อ ทว่าประตูเมืองทางทิศใต้อยู่ใกล้วังบูรพาหน่อย หากเทียบดูแล้วฉู่สวินหยางจะไปถึงประตูเมืองทางทิศตะวันออกล่าช้ากว่าก้าวเดียวเท่านั้น

“ท่านหญิงฉู่สวินหยางใช่หรือไม่?” ทหารรักษาเมืองแปลกใจมาก รีบลงมาจากป้อมปราการ มองไปทางรถม้าที่อยู่หลังนางพลางเอ่ย “ท่านหญิง ยามวิกาลเช่นนี้ นี่ท่านจะ…”

“ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องออกจากวัง หลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฉู่สวินหยางพูด นางกระวนกระวายใจสีหน้าเป็นกังวล “อย่างช้าที่สุดหนึ่งชั่วยามครึ่งข้าก็กลับมาแล้ว”

ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ทหารรักษาเมืองกลับตะขิดตะขวงใจ ลองต่อรองด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านหญิง ค่ำมืดเช่นนี้ท่านออกไปนอกเมืองตัวคนเดียว เกรงว่าองค์รัชทายาทจะเป็นห่วง ท่าน…”

“เรื่องของเสด็จพ่อและข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ฉู่สวินหยางตัดบทเขาอย่างหงุดหงิด

ชิงหลัวที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวของบุรุษและอยู่ด้านข้างเหมือนกับอดรนทนไม่ไหวจนควบม้าเข้ามาแล้ว สะบัดแส้ม้าตบหน้าผากทหารรักษาเมืองพูดอย่างไม่แยแส “ท่านหญิงบอกให้เจ้าหลีกทาง เจ้าก็หลีกทางสิ มัวพูดจาเหลวไหลอยู่ได้ ข้าว่าเจ้าทำงานแย่เช่นนี้คงไม่อยากทำต่อแล้วใช่หรือไม่?”

ขณะพูดก็สะบัดแส้ลง

ทหารรักษาเมืองคนนั้นถูกชิงหลัวขู่จนกุมหัวและรีบหลีกทางให้ทันที

“หึ” ฉู่สวินหยางแสดงความไม่พอใจพลางโบกมือสั่งการ “พวกเราไป!”

ทหารรักษาเมืองสีหน้ากระวนกระวายอยากที่จะตามมาและพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกชิงหลัวส่งสายตาเย็นขู่เข็นเขาจึงล่าถอยไป

ฉู่สวินหยางท่าทางหยิ่งยโสนำขบวนจากไป จากนั้นรีบเร่งออกจากประตูเมืองไป ทหารรักษาเมืองนายนั้นเห็นว่ารั้งไว้ไม่อยู่เขาก็เหงื่อไหลท่วมตัว วิ่งไปร้องเรียกทหารผู้น้อยอีกคนว่า “แย่แล้วๆ ท่านหญิงก่อเรื่องอีกแล้ว ข้าคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ เจ้ารีบไปส่งข่าวที่วังบูรพาด่วน หากว่าเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นจริง องค์รัชทายาทจะต้องตำหนิอย่างหนัก เจ้ากับข้าคงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่!”

ทหารคนนั้นเข้าใจเหตุผลแจ่มแจ้ง ตกปากรับคำวิ่งพรวดไปทันที

ทหารรักษาเมืองนายนั้นครุ่นคิด เขาคิดว่าไม่ควรที่จะรอดูสถานการณ์เช่นนี้ เขาคิดอยู่นานจึงตัดสินใจกัดฟันเรียกเหล่าทหารรักษาเมืองที่เข้าเวรคืนนี้มาพลางสั่งการว่า “เร็วเข้าๆ พวกเจ้ารีบตามข้าออกตระเวนไป ทางที่ดีห้ามใช้กำลังโดยเด็ดขาด!”

ทุกคนต่างกุลีกุจอวิ่งออกไป

อีกด้านฉู่สวินหยางเพิ่งจะพาพวกชิงหลัวออกมาจากเมืองก็ขมวดคิ้ว นางดึงบังเหียนหยุดทันที และกวาดสายตาเฉียบคมมองรอบด้าน

ความสามารถในการสังเกตการณ์ของชิงหลัวดีไม่แพ้นางเลยทีเดียว นางรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงรีบหวดม้าไปขวางหน้าฉู่สวินหยางอย่างเยือกเย็น และตะโกนเสียงทุ้มออกไปท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บว่า “เจ้าเป็นใครเหตุใดทำตัวลับๆ ล่อๆ? ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”

เสียงของนางยังไม่ทันจางหาย ก็มีเสียงดังออกมาจากป่าไพรทั้งซ้ายและขวาตรงหน้าดังมาก กองกำลังรักษาพระนครนับร้อยถือทวนพุ่งออกมา

ท่ามกลางยามราตรีนั้นปลายทวนเปล่งแสงเย็นและชี้ไปยังกลุ่มของฉู่สวินหยางที่อยู่หน้าประตูเมืองโดยพร้อมเพรียงอย่างเย็นชาและเย็นยะเยือก

“บังอาจนัก!” ชิงหลัวตะโกนว่า “พวกเจ้าไม่รู้จักท่านหญิงหรืออย่างไร? พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาแอบซุ่มอยู่ที่นี่ ทั้งยังกล้าใช้อาวุธจ่อหน้าท่านหญิงเช่นนี้ ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”

ท่ามกลางฝูงชนก็ปรากฏความปั่นป่วนขึ้น…

ที่แท้ก็เป็นฉู่สวินหยาง? พวกเขาสั่งให้ซุ่มโจมตีคนๆ หนึ่งรอครึ่งค่อนวันเป็นท่านหญิงสวินหยางเช่นนั้นหรือ?

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

จากนั้นยังไม่ทันปล่อยให้ความกระวนกระวายของคนเหล่านั้นกระหน่ำออกมา ก็ประจันหน้ากับผู้ที่สวมเสื้อคลุมล้ำค่าสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่บนหลังม้าสูงตระหง่านและกำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้

มงกุฎประดับศีรษะ สีหน้าสง่างาม

ไม่ใช่ผู้อื่นใด…

พี่ชายคนโตของฉู่สวินหยางนามว่า หวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุย!

“หวงจ่างซุนรึ?” ชิงหลัวฉงนและเหม่อลอยไปเล็กน้อย ฉู่สวินหยางใช้ปลายแส้ดันนางออกและขี่ม้าไปข้างหน้าเอง

ภายใต้แสงจันทร์ ฉู่ฉีฮุยสีหน้าเย็นชากอปรใบหน้าสง่างามที่ไม่เหมาะกับท่าทางเหี้ยมโหดอำมหิต จ้องเขม็งมาที่ฉู่สวินหยางที่นั่งบนหลังม้าฝั่งตรงข้าม

“พี่ใหญ่?” ฉู่สวินหยางสบสายตาเขา และกวาดสายตามองเหล่าทหารเบื้องหน้าด้วยสายตาเยือกเย็นเป็นประกายถาม “ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ฉู่ฉีฮุยมองดูนางแต่ไม่พูดโต้ตอบ แค่สูดลมหายใจลึกพลางพูดอย่างไม่ไยดีว่า “เจ้าจะยอมมอบตัวโดยดีหรือจะให้ข้าจับตัวเจ้าไปรับโทษ เจ้าคิดดูให้ดีแล้วกัน!”

น้ำเสียงหยิ่งยโสโอหัง ในใจเขาภูมิใจกระหยิ่มยิ้มย่อง

คิ้วทั้งสองข้างของฉู่สวินหยางบรรจบกัน เห็นท่าทางของนางเช่นนี้แล้วแต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้ายินดียินร้าย ขณะเดียวกันกลับเฉยเมยพลางพูด “ข้าว่าพี่ใหญ่เสียสติไปแล้ว พูดพล่ามอะไรของท่าน? ท่านมีธุระอะไรหรือไม่? เช่นนั้นก็หลีกทางให้ข้าแล้วท่านก็ไปสะสางธุระของท่านต่อเถอะ เพลานี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ายังต้องรีบกลับมาเมืองหลวงอีก”

ฉู่สวินหยางถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? เหตุใดต้องให้ข้าบังคับจึงจะยอมก้มหัวให้? ฉู่ฉีฮุยพูดดักไว้ทุกทาง ค่อยๆ ยกแส้หางม้าที่อยู่ในมือชี้ไปที่นาง “หากเจ้าอยากไปใช่ว่าจะทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็รีบเรียกคนที่อยู่ในรถม้าออกมาให้ข้าตรวจดูเสียก่อน หากไม่มีปัญหาข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!”

ขณะที่กล่าวก็เชิดหน้าส่งสัญญาณให้ฉางหลินพลางสั่งว่า “ไปค้นซิ!”

สายตาฉู่สวินหยางเพ่งตามองไม่ละสายตา

————————————-