บทที่ 149 รอผลลัพธ์
‘ผู้ตาย: เหิงฮุ่ย’

‘สาเหตุการตาย: ใบมีดคมแทงทะลุหัวใจ (บาดแผลเก่า)’

‘ผลการชันสูตรศพ: เนื้อกับอวัยวะภายในเป็นสีม่วงเข้ม มีซือกู่ไหลเวียนอยู่ในเนื้อ คอยรักษาร่างของเขาไม่ให้เน่าเปื่อย เป็นเพียงศพเดินได้ ตายมานานกว่าหนึ่งปี’

‘ผู้ตาย: ศพนิรนาม’

‘ส่วนสูงห้าฟุตสี่นิ้ว เพศหญิง โครงกระดูกสภาพดี ไม่แตกหัก ไม่มีร่องรอยการถูกวางยาพิษ ข้อนิ้วสมส่วน ไม่เชี่ยวชาญการทำงานหนัก…’

ภายในที่ทำการ เมื่อสวี่ชีอันอ่านรายงานผลการชันสูตรศพเสร็จ เขาก็ส่งมันคืนให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ และหมุนตัวเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าซึ่งอยู่ถัดจากห้องชันสูตรศพ

ฆ้องทองคำสิบนายมารวมตัวกัน เว่ยเยวียนนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน และดื่มชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

สวี่ชีอันเดินไปข้างหลังเว่ยเยวียนเงียบๆ และฟังเหล่าฆ้องทองคำโต้เถียงกันเรื่องร่างจริงของศพผู้หญิงกับความเชื่อมโยงระหว่างท่านหญิงผิงหยางกับคดีซังผอ

คดีท่านหญิงผิงหยางเวลานี้ถือว่าสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว การสอบสวนขั้นต่อมาข้าคงไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมท่านหญิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฆ้องทองแดงอย่างข้าจะเข้าร่วมได้ แต่คดีซังผอยังไม่คลี่คลาย…ไม่รู้ว่าผลงานที่ข้าทำในคดีท่านหญิงผิงหยางจะหักล้างโทษตัดเอวของข้าได้หรือไม่…หากไม่ได้ พ่อจะ**ทวดของจักรพรรดิหยวนจิ่งซะเลย

ขณะที่แอบสาปแช่งในใจ เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็ยืนอยู่ที่ประตู และพูดว่า “เว่ยกง ใต้เท้าทุกท่าน อวี้อ๋องมาถึงแล้ว”

อวี้อ๋องมาถึงแล้ว… เหล่าฆ้องทองคำสบตากัน และมองไปทางเว่ยเยวียนอย่างพร้อมเพรียง

เมื่อขันทีชุดเขียวผู้มีผมขาวแซมข้าง ดื่มชาอึกสุดท้ายเสร็จ เขาก็มองไปที่เจ้าพนักงาน และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เชิญอวี้อ๋องไปที่ห้องชันสูตรศพ”

หลังจากพูดจบ เขาก็วางแก้วลง และถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปที่ห้องชันสูตรศพ ตามด้วยทุกคนภายในห้องโถง

เมื่อมาถึงด้านนอกห้องชันสูตรศพ เหล่าฆ้องทองคำไม่ได้เข้าไป แต่แบ่งออกเป็นสองแถวที่ประตู มีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไป

อวี้อ๋องมาถึงแล้ว ชายสภาพไร้เรี่ยวแรงเดินมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ แต่กลับดูเหมือนว่าเขาเก็บงำทุกสีหน้าเอาไว้ทั้งหมด

ฝีเท้าของเขาไม่เร็วไม่ช้า แต่ดูเหมือนข้างหลังมีวิญญาณร้ายไล่ตาม…

เมื่อเดินมาถึงประตูห้องชันสูตรศพ เขาก็หยุดไปสองสามวินาที และยกขาก้าวข้ามธรณีประตูไป

ห้องชันสูตรศพมีแสงส่องทั่วถึง แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตาราง ทิ้งจุดแสงสว่างสม่ำเสมอไว้บนพื้น

เมื่ออวี้อ๋องเห็นศพโครงกระดูกที่วางอยู่บนเตียงไม้ วินาทีนี้ เขารู้สึกตึงเครียดจนอยากหนีออกไปจากที่นี่

แต่ด้วยความยึดมั่นในฐานะพ่อทำให้เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

ภายในห้องชันสูตรศพมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้น เขานำปิ่นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ และเอ่ยเสียงเบา “นี่คือสิ่งที่พบบนร่างของนาง ซึ่งนางใช้เพื่อฆ่าตัวตาย ดูสิ ท่านรู้จักหรือไม่”

สายตาของอวี้อ๋องแข็งค้าง และสีหน้าของเขาก็นิ่งงันอยู่เช่นกัน ราวกับรูปปั้นที่ค่อยๆ ผุกร่อน

“เป็นของนาง” อวี้อ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น

ภายในห้องอันว่างเปล่าตกอยู่ในความเงียบ ชายวัยกลางคนสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก

ผ่านไปนานมาก อวี้อ๋องที่ก้มหน้ามองปิ่นสีทองก็ถามด้วยเสียงแหบแห้ง “ใครเป็นคนทำ”

“ตรวจสอบพบเพียงแค่สามคน ผิงหย่วนป๋อ จางฟ่งเจ้ากรมกรมทหารกับขุนนางใกล้ชิดจากกรมการคลัง” เว่ยเยวียนจ้องมองเขา นัยน์ตาอันล้ำลึกแฝงความผันผวนที่ถูกชะล้างไปตามกาลเวลา “แผนเดิมของพวกเขาสามคนน่าจะหลอกล่อนางออกจากเมืองหลวง แต่บุตรชายของพวกเขาเกิดความคิดกระทำการหยาบช้าจากความใคร่ จนไม่คิดจะปล่อยให้ท่านหญิงที่หลุดรอดสายตาของจวนอวี้อ๋องรอดชีวิตไปได้”

“นางถูกหมิ่นเกียรติหรือ” เสียงของอวี้อ๋องเรียบนิ่งจนน่ากลัว

“นางกลืนปิ่นฆ่าตัวตาย” เว่ยเยวียนส่ายหน้า เมื่อพูดจบ เขาก็มองอวี้อ๋อง “แต่พวกเรายังไม่อาจยืนยันได้ว่านางเป็นท่านหญิง ปิ่นสีทองเพียงอันเดียวไม่อาจยืนยันได้”

“ข้าคิดว่า ท่านรู้ว่าควรทำอย่างไร”

อวี้อ๋องจากไป นอกจากการชำเลืองมองตอนก้าวเข้าไปในห้องชันสูตรศพ เขาก็ไม่มองซากกระดูกศพอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่านั่นเป็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว

ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ เมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าอวี้อ๋องดูแก่ขึ้นมากโข แผ่นหลังเผยความเศร้าสร้อยตามสภาพวัยโรยรา

ในวันนั้นเอง อวี้อ๋องถือจดหมายเลือดเข้าไปในวัง

หลังจากที่อวี้อ๋องจากไป เดิมทีเขาตั้งใจจะรอคดีท่านหญิงผิงหยางสิ้นสุดลงอย่างเงียบๆ ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันผู้ได้รับเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีซังผอจึงได้รับคำเชิญจากองค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่ง

ผู้ส่งสารเป็นบ่าวรับใช้รูปหล่อ และเป็นขันทีน้อย

“องค์หญิงใหญ่เรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” สวี่ชีอันถาม

“ข้าไม่รู้” ขันทีน้อยเงียบขรึม เขาเชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในวัง ปากปิดสนิทยิ่งกว่าดอกเบญจมาศ

…แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องของท่านหญิงผิงหยาง สวี่ชีอันคาดเดา

เขารีบควบม้าเร่งไปที่เขตพระราชฐาน เข้าไปในวัง และถูกขันทีน้อยพาตัวไปยังตำหนักหรูขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง

ในศาลาภายกลางสวนดอกไม้ สวี่ชีอันเห็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง กับองค์หญิงรองตัวร้าย องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ผู้เป็นพี่ชายขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง

“ข้าน้อยกราบถวายบังคมทั้งสี่พระองค์” สวี่ชีอันยืนอยู่ด้านนอกศาลา และโค้งคำนับ

องค์หญิงหลินอันกวักมือเรียก และตะโกนอย่างมีความสุข “สุนัขรับใช้ เข้ามานั่งสิ”

สุนัขรับใช้กลายเป็นชื่อเล่นของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ สวี่ชีอันงุนงงเล็กน้อย และมององค์รัชทายาทกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม “ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง ยกที่นั่งมาให้ใต้เท้าสวี่”

นางข้าหลวงยกเก้าอี้มาวางตรงข้ามกับทั้งสี่พระองค์

องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งมองเขา และพูดว่า “วันนี้อวี้อ๋องถือหนังสือเลือดเข้ามาในวัง หลังจากที่เสด็จพ่อทรงเรียกพบ เขาก็ยังไม่ได้ออกมา ข้าจำได้ว่าเจ้ากำลังสืบสวนคดีของท่านหญิงผิงหยางมีความคืบหน้าหรือไม่”

องค์รัชทายาท องค์ชายสี่กับองค์หญิงหลินอันต่างจ้องมอง และรอคำตอบจากเขา

ท่านหญิงผิงหยางเป็นทั้งญาติผู้พี่และญาติผู้น้องของพวกเขา เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้น

“ท่านหญิงผิงหยาง…” สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มเล่าออกมาตามตรง

นี่เป็นเรื่องราวความรักที่ธรรมดาและเรียบง่าย แต่มันถูกลิขิตมาให้ไม่ธรรมดา เพราะตัวเอกหญิงในเรื่องคือท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ นางไม่ควร ไม่ควรรักภิกษุรูปนั้น

แต่รสชาติของความรักนั้นแสนวิเศษ จนทำให้นางละทิ้งทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ ละทิ้งสถานะทางราชวงศ์ ออกจากเมืองหลวงไปกับเขา และร่วมทางกันไปจนบั้นปลายชีวิต

แต่ไม่ใช่ทุกความรักจะมีตอนจบ ชายหนุ่มหญิงงามในนิทานมักได้ครองคู่กันเสมอ เพราะนั่นคือนิทาน ความเป็นจริงเต็มไปด้วยการพลิกผันที่สุดจะคาดเดา

สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเหยื่อสังเวยในศึกการเมือง บางทีก่อนที่โชคร้ายจะคืบคลานเข้ามา คู่รักคู่นี้คงวาดฝันถึงอนาคตที่ได้ครองรักกันโดยไม่มีวันพลัดพรากจากกันไป

สวี่ชีอันเล่าเรื่องอย่างสงบ และนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่เคยฟังเมื่อหลายปีก่อน

“นกน้ำอยู่เคลียคลอผีเสื้อโผบินเคียง สรรพสิ่งในสวนงามหมดจดจนข้ามัวเมา”

“เอื้อนเอ่ยถามนักบวช ข้างามหรือไม่ ข้างามหรือไม่”

“จะถามถึงอำนาจลาภยศไปไย ไฉนต้องเกรงกลัวต่อพระธรรมวินัย”

“ขอเพียงได้อิงแอบท่านผู้เป็นที่รัก ตราบชั่วฟ้าดินสลาย”[1]

เขาไม่เคยพบท่านหญิงผิงหยาง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมองเห็นหญิงสาวผู้สดใส ดวงตาที่ยิ้มแย้ม ยืนเคียงข้างภิกษุรูปงามอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้า

นางปักดอกไม้ป่าไว้ที่ผม และถามเขาว่า ดอกไม้หรือข้าสวยกว่ากัน

สวี่ชีอันถอนหายใจออกมา และลุกขึ้นโค้งคำนับ “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ข้าน้อยยังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเงียบๆ

สวี่ชีอันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว และได้ยินเสียงร้องไห้ขององค์หญิงหลินอันดังไล่หลังมาแว่วๆ

จนกระทั่งออกจากเขตพระราชฐาน เขาถึงสลัดความรู้สึกหดหู่ออกไปได้

รถม้าคันหนึ่งควบออกมา และหยุดที่ด้านล่างหอดูดาว ขันทีหลิวที่ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา แต่มีตีนกาเล็กน้อยกระโดดลงจากรถม้าอย่างตื่นตระหนก โดยไม่รอให้คนรับใช้นำบันไดเล็กออกมา

ขันทีหลิวพุ่งเข้าไปในหอดูดาว และยกราชโองการในมือขึ้นสูง “ฝ่าบาททรงมีราชโองการ รับสั่งให้ท่านโหราจารย์เข้าเฝ้าทันที”

เขาตะโกนสามครั้งติดต่อกัน

เพื่อป้องกันไม่ให้จอมเวทสำนักโหราจารย์ร่วมมือกับขุนนาง ราชวงศ์จึงมีคำสั่งระบุว่า วิชามองปราณจะไม่มีผลกับขุนนางระดับสี่ขึ้นไป

แต่ยกเว้นเพียงคนเดียว ท่านโหราจารย์!

“ไม่ต้องตะโกน ท่านอาจารย์ไปที่พระราชวังแล้ว”

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง ขันทีหลิวหันไปมอง และเห็นหยางเชียนฮ่วนที่สวมชุดขาวยืนมือไพล่หลัง และหันหลังให้เขาอยู่

“หยางเชียนฮ่วน เจ้าก็กลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่” ขันทีหลิวตกใจ

“ในเมื่อเมืองหลวงต้องการข้า ข้าจึงต้องกลับมา” หยางเฉียนหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ทำตัวพิลึกพิลั่นได้ทั้งวี่ทั้งวัน พูดให้มันรู้เรื่องไม่เป็นหรือไง” ขันทีหลิวพ่นคำด่าใส่อีกฝ่ายไปทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ และหมุนตัวเดินจากไป

“…” หยางเชียนฮ่วน

ณ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

ภายในห้องที่เงียบสงบ สวี่ชีอันซึ่งนั่งสมาธิเพื่อตระหนักรู้จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น เหมือนกับอาการใจสั่นที่ได้ยินเสียงติ๊งติ๊งของคิวคิวดังขึ้นหลังจากอดหลับอดนอนมาทั้งคืน

นี่คือ ‘การแจ้งเตือนข้อความ’ อันเป็นเอกลักษณ์ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขายุติการตระหนักรู้ และหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมา

‘เก้า: เจอหมายเลขหกแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทุกท่านสบายใจได้’

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้ว และคิดในใจว่า ท่านนักบวช คำพูดของท่านกำลังเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีนกสองหัวของพรรคฟ้าดินอยู่ไม่ใช่หรือ

‘ห้า: เจอหมายเลขหกแล้วหรือ แต่หมายเลขหกอยู่ที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยิ่งอันตราย ข้าได้ยินมาว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลของต้าฟ่งล้วนเป็นคนชั่วร้ายและไร้ความปรานี’

‘หนึ่ง: ข่าวลือเชื่อไม่ได้ ท่านนักบวช ท่านเจอหมายเลขหกแล้วหรือ’

‘เก้า: อย่างที่คาดไว้ หมายเลขหกถูกผนึกไว้จริงๆ คนที่ผนึกเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สวมชุดคลุมสีดำ เขาแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาทั่วทั้งร่าง ทำให้ภิกษุผู้น่าสงสารไม่กล้าบุ่มบ่าม จึงเปิดเผยเรื่องนี้ให้ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้’

ข้ออ้างของท่านนักบวชนั้นใช้ได้เลย เช่นนี้ก็สามารถอธิบายแหล่งข่าวของข้าได้แล้ว หากหมายเลขหนึ่งดำรงตำแหน่งสูงในราชสำนัก เขาต้องรู้เรื่องคดีของท่านหญิงผิงหยางแน่นอน หากให้เหตุผลแบบย้อนกลับ ฆ้องทองแดงที่ค้นพบร่องรอยของเหิงฮุ่ยเช่นข้าก็จะน่าสงสัยอย่างมาก…แต่คำพูดของท่านนักบวชเท่ากับการชี้แจ้งให้ข้า หากมีคนถามขึ้นมา ข้าก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเพียงมวลชนที่กระตือรือร้นรายงานสถานการณ์ เพื่อแก้ต่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหมายเลขสามได้

‘หนึ่ง: ข้าได้ข่าวมาว่า คดีซังผอเกี่ยวข้องกับคดีท่านหญิงผิงหยางหายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ในไม่ช้า เมืองหลวงจะเผชิญกับพายุลูกใหญ่แน่’

‘สี่: สถานการณ์เป็นอย่างไร’

หมายเลขสี่กระโจนเข้ามาผสมโรง

หมายเลขหนึ่งบอกเล่าคดีท่านหญิงผิงหยางแก่สมาชิกของพรรคฟ้าดินแบบกระชับได้ใจความ และเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ทุกคนก็ร่วมใจแสดงท่าทีราวกับเป็นพรรคที่ไม่เคยเห็นการฆาตกรรมเลือดสาดมาก่อน

เปิดพื้นที่ให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่

‘ห้า: นี่ นี่มัน…จิตใจคนต้าฟ่งอย่างพวกเจ้าเป็นสีดำหรือไง เลวทรามต่ำช้าจริงๆ’

‘สี่: คดีนี้ใครเป็นคนสืบสวน’

เมื่อเห็นคำถามนี้ สวี่ชีอันก็เลิกคิ้ว และส่งข้อความว่า ‘ข้าได้ยินว่าเป็นฆ้องทองแดงนายหนึ่งในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ชื่อสวี่ชีอัน’

‘สี่: สวี่ชีอันหรือ ทำไมถึงฟังดูคุ้นๆ’

‘สาม: ตอนหมายเลขหนึ่งตรวจสอบนิมิตปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าของสำนักอวิ๋นลู่เคยเอ่ยถึงคนคนนี้ ข้าสังเกตเขา และได้ข้อสรุปที่น่ากลัว’

‘ข้อสรุปที่น่ากลัวหรือ’ สมาชิกพรรคฟ้าดินสองสามคนถามคำถามที่คล้ายคลึงกันออกมาทีละคน

‘สาม: เด็กคนนี้ฉลาดมาก พรสวรรค์ก็ไร้ที่เปรียบ ไม่ธรรมดาเลย’

ได้รับคำชมจากหมายเลขสามเช่นนี้ ฆ้องทองแดงที่ชื่อสวี่ชีอันคนนี้คงเป็นบุคคลที่เก่งมาก… ทุกคนต่างจดจำชื่อนี้อย่างเงียบๆ

นักบวชเต๋าจินเหลียนกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร

เวลานี้หมายเลขสองก็ส่งข้อความมาว่า ‘หมายเลขสาม ข้าพบเบาะแสของโจวชื่อสวงแแล้ว’

หมายเลขหนึ่งที่ไม่ได้ตอบอะไรตอนสวี่ชีอันคุยโวเรื่องตัวเอง ตอนนี้ก็เข้ามาร่วมวงสนทนาทันที ‘เขาอยู่ที่ไหน’

‘สอง: พี่น้องใต้บัญชาของข้าคนหนึ่งเห็นเขาในค่ายแห่งหนึ่ง และค่ายนั้นก็เป็นค่ายที่ข้ากำลังจะปราบปรามเร็วๆ นี้พอดี เจ้ารอก่อน รอข้ากำจัดค่ายแล้วจะส่งตัวกลับไปให้ที่เมืองหลวง’

หมายเลขสองหาโจวชื่อสวงเจอแล้วจริงๆ หรือ อวิ๋นโจวกว้างใหญ่ขนาดนั้น และการโจรกรรมก็ชุกชุม แม้ว่านางจะค่อนข้างมีอำนาจในอวิ๋นโจว แต่ก็ไม่น่าจะหาโจวชื่อสวงเจอเร็วขนาดนี้…อาจจะเป็นความบังเอิญหรือเป็นเพราะข้าประเมินความสามารถของหมายเลขสองต่ำไป… สวี่ชีอันตบมือด้วยความตื่นเต้น

หากจับโจวชื่อสวงได้ ก็จะรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นใครกันแน่

‘สาม: ขอบคุณมาก’

‘สอง: เรื่องเล็กน้อย เพื่อนจากทั่วทุกหนแห่งต่างมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อข้า สำหรับข้าการหาคนก็ไม่เท่าไหร่’

น้ำหน้าอย่างเจ้าช่างไม่ธรรมดา… ทุกคนคิดในใจ

หลังจากการพูดคุยภายในพรรคฟ้าดินสิ้นสุดลง สวี่ชีอันก็สบายใจขึ้นมาก โจวชื่อสวงเป็นอีกหนึ่งหลักประกันของเขา หากจับชายผู้นี้ได้ แม้ว่าคดีท่านหญิงผิงหยางจะไม่อาจทำให้เขาหลีกเลี่ยงความผิดได้ เขาก็ยังคงไม่ตื่นตระหนก

ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าผลลัพธ์ของคดีจะออกมาเป็นอย่างไร

…………………………………………………………

[1] เพลง 《女儿情》(ความรักของหญิงสาว) ขับร้องโดย 吴静