ตอนที่ 182 จนตรอก

ปฏิญญาค่าแค้น

ประโยคดังกล่าวแทบจะเป็นการเอาชีวิตของนางฮานก็ว่าได้ กว่าหนึ่งล้านตำลึงเงินเชียวนะ! พูดออกไปใครเขาจะเชื่อว่าเงินนี้เจ้าได้มาอย่างไร้มลทิน หากว่ากันตามจริง การแพร่งพรายออกไปว่าตระกูลหลี่ไปกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนเหมือง ทว่าผลสุดท้ายกลับขาดทุนยับเยิน เกรงว่านางยังไม่ทันตรอมใจตาย สามีก็จะบีบคอนางตายเสียก่อน นางฮานจึงมีท่าทีอ่อนลง ในเมื่อตอนนี้นายกู่กอบกุมความได้เปรียบอยู่ในมือ การทำให้สูญเสียน้อยที่สุดจึงเป็นประเด็นสำคัญ

“นายกู่ มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า บอกเจ้าตามตรง นายท่านตระกูลข้าเป็นขุนนางสุจริต ซึ่งการลงทุนเหมืองครานี้ก็อาศัยกิจการสองสามแห่งที่ซื้อขายไป แล้วยังมีรายได้ที่เก็บหอมรอมริบไว้ก่อนหน้าล้วนนำมาใช้จนหมดเกลี้ยงแล้ว และส่วนใหญ่ยังเป็นเงินที่ได้มาจากการกู้ยืมอีกด้วย นายกู่ นี่มันยากลำบากสำหรับข้าเสียจริง เจ้าลองดูสิว่าพอคิดหาวิธีทางได้หรือไม่ ข้าจะขาดทุนเช่นนี้มิได้จริงๆ!” นางฮานเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

นายกู่นึกเหยียดหยันภายในใจ นางแม่บุญธรรมผู้นี้เมื่อครู่ยังข่มขู่กันเสียยิ่งกว่าอะไร พอมาทีนี้กลับแสร้งทำตัวน่าสงสารเสียแล้ว รายละเอียดเบื้องลึกของตระกูลหลี่เขารู้ชัดกระจ่างแจ้ง ไม่จำเป็นต้องให้นางมาชี้แจงแถลงไขแต่อย่างใด เดิมทีก็มิใช่เงินของนางด้วยซ้ำ จะร้องโอดครวญแสร้งทำตัวน่าสงสารอะไรนักหนา!

“หลี่ฮูหยิน มิใช่ข้าไม่อยากช่วยเหลือท่าน เพียงแต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายจริงๆ ข้าเดาว่าต่อให้ขุดไปถึงก้นเหมือง สิ่งที่ได้มายังไม่คุ้มค่าแรงคนงานด้วยซ้ำ” นายกู่กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น

นางฮานสีหน้าซีดเซียว กัดฟันแน่นข่มกลั้นความรู้สึกอย่างหนักถึงได้ไม่ล้มพับไป นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี เงินเหล่านั้นจะให้สูญเปล่าไปเช่นนี้น่ะหรือ”

นายกู่ถอนหายใจ สีหน้าเขาเองก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน

นางฮานสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวด้วยท่าทีเด็ดขาด “นายกู่ ข้าได้พูดกับเจ้าตามตรงถึงสถานการณ์ของบ้านข้าไปแล้ว ยามนี้ข้าไม่ร้องขอว่าต้องทำเงินให้ได้มากน้อยเพียงใด ทว่าเงินทุนนี้ข้าจำเป็นต้องนำกลับคืนมาให้ได้ มิเช่นนั้นข้าก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อลากเจ้าเข้าคุกเข้าตารางให้ได้โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ตอนแรกเป็นเจ้าที่พร่ำพรรณนาว่าดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ ข้าถึงได้หลงเชื่อเจ้า”

นายกู่ชะงักไปชั่วครู่ รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงสบถ ฮึ ที่เล็ดรอดออกมาจากจมูก “หลี่ฮูหยิน ท่านคิดจะฟ้องร้องว่าข้าฉ้อโกงท่าน?” นางฮานกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ไว้ถึงตอนนั้นทั้งหมดนี้ก็ให้ทางการตัดสินแล้วกัน”

นายซุนร้อนรนใจ อยากเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมนายหญิง ทว่าถูกสายตาของนายกู่หักห้ามไว้เสียก่อน “หลี่ฮูหยิน การทำกิจการเดิมทีก็มีทั้งทำเงินได้และขาดทุน หากท่านอยากทำกิจการที่ทำเงินได้โดยมิขาดทุนอย่างแน่นอน เห็นทีว่าคงเป็นเรื่องยากยิ่งในใต้หล้าแห่งนี้ ตอนแรกข้าก็กล่าวไว้แล้วว่ากิจการนี้มีความเสี่ยง แล้วใครกันหรือที่เอ่ยว่าอยากร่ำรวยก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งนั้น สัญญาร่วมลงทุนท่านเป็นคนลงนามเองกับมือ ข้าบีบบังคับท่านแล้วหรือ ในมือท่านก็มีเอกสารสำคัญของการเปิดเหมืองอยู่หนึ่งฉบับเช่นกัน ท่านนำไปพิสูจน์ ณ ที่ทำการขุนนางได้เลยว่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ข้าตัวคนเดียวไม่มีครอบครัวต้องห่วง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว! ฮูหยินจะฟ้องร้องต่อทางการหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ข้ารับประกันว่าข้าจะไปตามนัดหมายทุกเมื่อ นายซุนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าข้าพักอยู่ที่ใด” นายกู่กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

แม่เจียงเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มตึงเครียดมากขึ้นจึงรีบคลายสถานการณ์ “นายกู่ ฮูหยินของตระกูลข้าก็แค่ร้อนรนใจขึ้นมาชั่วขณะ ฟ้องร้องกันไปจะช่วยอะไรได้ เปลี่ยนเหมืองเป็นเหมืองทองคำขึ้นมาได้หรือ มิสู้ทุกคนมานั่งลงคุยกันดีๆ แล้วลองดูสิว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ความเสียหายน้อยที่สุดได้บ้างถึงจะถูก”

นายซุนส่งเสียงหัวเราะทันที “นั่นสิๆ ถึงอย่างไรก็คงต้องมีสักวิธีละขอรับ…”

นางฮานตวัดสายตาคมกริบมอง มีวิธีใดอย่างนั้นหรือ เจ้าเอาไปปลอบเด็กสามขวบเถอะ! เสียหายถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีวิธีใดอีกหรือแม่เจียงเห็นสีหน้านายกู่อ่อนลงจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นายกู่ เงินสักนิดก็มิหลงเหลือเลยหรือ”

นายกู่กล่าว “เหมาสัมปทานเหมืองก็ใช้จ่ายไปเกินครึ่งแล้ว ไหนจะต้องเชื่อมเส้นเชื่อมสายอีก ค่าแรงขุดเหมือง ค่าขนส่งถ่านหิน รวมๆ ก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว” นายกู่เอ่ยพลางล้วงสมุดบัญชีออกมาส่งให้แม่เจียง “รายจ่ายทั้งหมดมีบันทึกอยู่ในสมุดเล่มนี้ หลี่ฮูหยินดูเองก็รู้แล้ว”

แม่เจียงรับสมุดบัญชีดังกล่าวมาแล้วยื่นให้นายหญิง ก่อนจะหันมาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างยิ่ง “นายกู่ สถานการณ์ของตระกูลหลี่เราแตกต่างจากตระกูลอื่น ตระกูลอื่นขาดทุนจากเงินก่อนนี้ไปก็คงมิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด ทว่าตระกูลหลี่เราจะขาดทุนไปเปล่าๆ เช่นนี้มิได้น่ะสิ! นายกู่ ท่านเห็นว่าพอจะนำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดโยกย้ายมาให้ตระกูลหลี่พวกเราได้หรือไม่”

นางฮานพยายามปรับอารมณ์เลวร้ายอยู่เช่นกัน นางมองนายกู่ด้วยสายตาแห่งความหวัง ยามนี้นางยินยอมอ่อนข้อทุกอย่าง ขอเพียงนายกู่พูดอันใดออกมาบ้าง ในเมื่อเขาเป็นผู้ตระเวนไปทั่วยุทธจักร บุกน้ำลุยไฟ มีประสบการณ์โชกโชนต่อโลกภายนอก หากจะเปรียบเทียบกันจริงจังว่าผู้ใดสามารถทุ่มสุดตัวได้ยิ่งกว่า นางคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน การที่แม่เจียงพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมาก็เพื่อจุดประกายนางให้นางมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้เป็นเงินเพียงสองแสนตำลึงเงินก็ตาม ไม่สิ ต่อให้มีแค่หนึ่งแสนตำลึงเงินก็ยังดี!

นายกู่ขมวดคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรื่องนี้มันทำกันมิได้ง่ายๆ จริงๆ รายการบัญชีทั้งหมดล้วนแสดงอย่างชัดเจน อีกสองตระกูลแค่คิดคำนวณก็รู้ได้ทันทีว่าเหลือเท่าใด แล้วข้าจะโยกย้ายมาให้พวกท่านได้อย่างไรกันหรือ”

นางฮานและแม่เจียงต่างรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่เกาะกุมหัวใจซึ่งเต็มไปด้วยความผิดหวัง

แต่แล้วนายกู่ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไว้ข้าจะลองคิดหาวิธีดูอีกทีแล้วกัน!”

หลังนายซุนออกไปส่งนายกู่ นางฮานถึงกับทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงจนต้องเอนกายพิงเก้าอี้ สายตาเลื่อนลอย “จบกัน ครานี้จบกันของจริง ทุกอย่างหมดสิ้นแล้ว…”

แม่เจียงไม่รู้ว่าควรปลอบประโลมนางอย่างไรดี มาพูดอะไรตอนนี้ล้วนสายไปเสียแล้ว เป็นที่แน่นอนแล้วว่าการขาดทุนคือบทสรุปของเรื่องนี้ เงินทุนของตนเองขาดทุนไปก็ช่าง ทว่าทำไปทำมาจำนวนเงินกู้ที่มากถึงเจ็ดแสนตำลึงเงินจะไปหาที่ไหนมาคืนหรือ ลำพังดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกเดือนก็สี่หมื่นตำลึงเงิน ไหนจะเงินต้นสองแสนตำลึงที่กู้มา ซ้ำกำหนดชำระยังใกล้จะถึงในสิ้นเดือนนี้อีก…สิ่งของภายในห้องคลังทรัพย์สินที่พอขายได้ก็ขายออกไปจนไม่เหลือเท่าใดแล้ว ห้องแถวร้านค้าที่ตงจื๋อเหมินก็ขายไม่ได้ หากไม่มีคุณชายรองออกหน้าด้วยตนเอง แล้วเช่นนั้นควรทำเช่นไรดี

“แม่เจียง ข้าควรทำเช่นไรดี ต่อให้ข้าฝันก็คาดไม่ถึงว่าบทสรุปจะเป็นเช่นนี้ ความหวังทั้งหมดของข้า แรงกายแรงใจของข้าหมดสิ้นเสียแล้ว…หากท่านพี่รับรู้เข้า เขาต้องฆ่าข้าอย่างแน่นอน…ยามนี้จนตรอกของจริงแล้วสินะ!” นางฮานเอ่ยทั้งน้ำตาอย่างไร้เรี่ยวแรง

แม่เจียงตบบ่าของนางอย่างเบามือแล้วกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “ฮูหยิน อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเลยเจ้าค่ะ นายกู่เอ่ยไว้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่าจะคิดหาวิธีให้”

นางฮานสะอึกสะอื้น “ต่อให้เขานำส่วนที่เหลือมาให้ข้าทั้งหมดมันก็ยังไม่เข้าใกล้คำว่าพอสักนิด!”

“ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องนี้นำไปปรึกษาเหล่าเหยียเถอะนะเจ้าคะ! การปิดบังต่อไปมิใช่วิธีที่เหมาะสมหรอกเจ้าค่ะ! ต่อให้เหล่าเหยียโกรธเกรี้ยว ทว่าท่านก็เป็นภรรยาของเขา เหล่าเหยียไม่มีทางไม่ไยดีหรอกเจ้าค่ะ” แม่เจียงเกลี้ยกล่อม แนวโน้มสถานการณ์ของเรื่องนี้มิใช่สิ่งที่นายหญิงจะควบคุมได้อีกแล้ว ผู้ที่ปล่อยเงินกู้จำนวนมากขนาดนั้นล้วนต้องมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังด้วยแน่นอน อีกทั้งยังเป็นพวกโหดเหี้ยมอำมหิตไม่น้อย ขนาดทางการขุนนางก็ยังยำเกรงพวกเขา หากเรื่องนี้บานปลายขึ้นมา คิดไม่ออกเลยว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร

นางฮานเงยหน้าขึ้นมองไปยังแม่เจียงด้วยสายตาหวาดเกรง “แต่…ข้ากลัวนี่! ข้ามิกล้า ท่านพี่เหลืออดกับข้ามาตั้งนานแล้ว จงเกลียดจงชังข้าเสียจนแทบอดใจรอวันที่ข้าจะตายๆ ไปไม่ไหว จะได้ไม่เกะกะสายตาของเขา หากข้านำเรื่องนี้บอกให้ท่านพี่รู้ เขาจะไม่ถือโอกาสนี้เลิกรากับข้าเลยหรือ…”

แม่เจียงช่วยปาดน้ำตาให้นายหญิงขณะที่อยากพูดออกไปจริงๆ ว่า…คาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าผลสุดท้ายจะต้องเป็นเช่นวันนี้ ทว่าฮูหยินเองก็ทุกข์ระทมปานนี้แล้วจะซ้ำเติมนายหญิงอีกก็คงมิใช่เรื่อง

“ฮูหยิน แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้คงปิดไว้มิอยู่หรอกนะเจ้าคะ! เมื่อเทียบกับรอให้ผู้อื่นมาบอกกล่าวเองถึงหน้าประตู มิสู้ท่านพูดกับเหล่าเหยียให้ชัดเจนเองจะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ แม้ยามนี้เหล่าเหยียจะเย็นชาต่อท่านขึ้นมาก ทว่าอย่างน้อยๆ ฮูหยินก็ยังมีคุณชายใหญ่ ยังมีเสี่ยวเจี่ยะ ถึงเหล่าเหยียจะไม่เห็นแก่สัมพันธ์ฉันสามีภรรยา แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าคุณชายใหญ่นะเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวเกลี้ยกล่อม

นางฮานเริ่มคล้อยตามเล็กน้อย แต่แล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้งและกล่าวด้วยความกังวล “หมิงจูไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ ลำพังตนเองยังยากจะปกป้องได้ หมิงเจ๋อก็ดันใจเสาะอ่อนแอเช่นนี้อีก ข้าจะไปคาดหวังอันใดกับพวกเขาได้หรือ”

แม่เจียงมีความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นมาในหัว “หรือไม่ลองปรึกษาต้าเส้าหน่ายนายสิเจ้าคะ สินสอดแต่งงานเหล่านั้นของนางรวมๆ กันอย่างน้อยก็คงมีมูลค่าแสนสองแสนตำลึงเงิน เพียงพอสำหรับจ่ายเงินต้นที่จะถึงกำหนดชำระสิ้นเดือนนี้สองแสนตำลึงเงินนะเจ้าคะ”

นางฮานชะงักไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “นางจะยินยอมหรือ”

“นางไม่ยินยอมก็ต้องยินยอมเจ้าค่ะ! การเป็นสตรีเมื่อออกเรือนแล้วไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นหรือลำบากสักเพียงใดก็ต้องรู้จักปรับตัวเมื่ออยู่กับสามีและครอบครัวสามี หากฮูหยินย่ำแย่ขึ้นมาจริงๆ มิเท่ากับคุณชายใหญ่ก็จะมิได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ความสำคัญไปด้วยหรือ นางเองก็คงต้องตกที่นั่งลำบากไปด้วยเช่นกัน มีเพียงต้องช่วยฮูหยินให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปให้ได้ ภายภาคหน้าจึงจะไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีวันมีอำนาจเป็นใหญ่ขึ้นมาได้” แม่เจียงกล่าว

นางฮานครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อย่างไรก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี หากแตะต้องสินสอดของหลั้วเหยียนแล้วติงฮูหยินรับรู้เข้า ด้วยนิสัยมุทะลุของนางนั้น มีหวังเรื่องราวนี้คงได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน เช่นนั้นจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ”

ระหว่างพูดคุย นายซุนกลับเข้ามา เขาหยุดยืนก้มหน้าอยู่บริเวณใจกลางห้อง

นางฮานปาดน้ำตาแล้วจ้องมองเขาอย่างดุดัน ดวงตาแห่งความโกรธเกรี้ยวแทบจะปะทุเปลวไฟออกมาก็ว่าได้ นางคว้าถ้วยน้ำชาบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงใส่เขาอย่างแรง

เสียงกระเบื้องแตกละเอียดดังขึ้นจนทำให้นายซุนตกใจเข่าอ่อนคุกเข่าลงกับพื้น

“นี่คือคนที่ไว้ใจได้และปลอดภัยหายห่วงที่เจ้าหามาให้ข้า นี่คือกิจการดีๆ ที่ทำเงินได้มหาศาลซึ่งเจ้าแนะนำให้ข้า เช่นนั้นตอนนี้ เจ้าก็ไปคิดหาวิธีนำเงินกลับมาเสีย ไปสิ!” นางฮานชี้หน้านายซุนขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

นายซุนก้มลงโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างแรงสองครั้ง“ฮูหยินสงบสติอารมณ์ก่อนนะขอรับ ข้าน้อยก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ เรียนฮูหยินตามตรง นายกู่ท่านนั้นก็นำทั้งหมดที่ตนเองมีทุ่มทุนลงไปเช่นกัน เงินทองที่ตนเองลำบากตรากตรำมาครึ่งค่อนชีวิตก็มลายหายไปจนหมดแล้วเช่นกันขอรับ”

“ถุย! เขาจะขาดทุนเท่าไหร่มันเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยหรือ ต่อให้ตายก็ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าต้องการเงินของข้าคืนมาเท่านั้น หากวันนี้เจ้าไม่ช่วยข้าคิดหาวิธีให้ได้ เงินที่ต้องเอากลับคืนมานี้ข้าก็จะป่าวประกาศต่อคนภายนอกว่าเจ้าฉ้อโกงผู้เป็นนาย” นางฮานกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวนายซุนถึงกับเหงื่อตก เป็นดั่งที่นายกู่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าจริงๆ

“ฮูหยินขอรับ ข้าน้อยจะกล้าฉ้อโกงผู้เป็นนายได้อย่างไรกัน ฮูหยินตรวจสอบกันเลยก็ได้ขอรับ!” นายซุนโขกศีรษะกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

แม่เจียงตะคอก “หากมิใช่เจ้าพูดหลอกล่อต่อหน้าฮูหยินเสียดีงามเช่นนั้น แล้วเงินนี่จะสูญเสียไปเปล่าๆ ได้หรือ ทางที่ดีเจ้ารีบช่วยฮูหยินคิดหาวิธีเสีย หากเรื่องนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีไม่ได้ พวกเราก็หนีไปไหนไม่รอดเช่นกัน ต้องเผชิญหายนะกันหมดนี่ละ”

นายซุนเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดหวั่น เขาใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผากก่อนกล่าวอ้ำอึ้ง“วิธีการก็มิใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียวขอรับ…”

แม่เจียงกล่าวเร่งเร้า “เจ้าอย่ามัวอ้ำอึ้ง มีอันใดก็รีบๆ พูดมาเสีย”

“หากฮูหยินนำเหมืองภูเขาสองลูกนี้เปลี่ยนมือไปได้…” นายซุนเอ่ยหลังสงบจิตสงบใจ “ถึงอย่างไรคนภายนอกก็มิรู้ว่านี่เป็นเหมืองร้าง ขอเพียงพวกเราวางแผนให้รอบคอบแนบเนียนเท่านั้นขอรับ”

นางฮานนัยน์ตาลุกวาว นางเหยียดตัวนั่งหลังตรงแล้วกล่าว “เจ้าลุกขึ้นยืนแล้วบอกกล่าวมาสิ”

นายซุนจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินก้าวไปเบื้องหน้าสองก้าว เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยก็ได้ยินมาจากนายกู่เช่นกันขอรับ เขาอยากหาพ่อค้าสักคนมาซื้อส่วนของเขาออกไป หลังจากนั้นค่อยหนีไปอยู่บ้านเกิดห่างไกลออก ถึงตอนนั้นผู้ใดจะหาตัวเขาพบได้อีกล่ะขอรับ”

นางฮานกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “เขามันตัวคนเดียว จะไปไหนต้องกังวลเสียที่ไหน ทว่าพวกเรามิใช่เช่นนั้นน่ะสิ!”

นัยน์ตาของนายซุนฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้มแกมโกง “ฮูหยิน ท่านนำส่วนของท่านโอนกรรมสิทธิ์ไปให้นายกู่ก็มิเป็นอันสิ้นเรื่องแล้วหรือขอรับ ถึงตอนนั้น ผู้ใดหน้าไหนจะรู้ว่าท่านก็มีส่วนร่วมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น คนเขาก็จะสนใจเพียงนายกู่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนพวกเรา…ล้วนไม่เกี่ยวข้อง”

คิ้วที่ขมวดกันของนางฮานค่อยๆ คลี่ออกจากกัน นางมองไปยังแม่เจียง แม่เจียงพยักหน้าให้แสดงความเห็นว่านางเองก็คิดว่าวิธีการนี้ไม่เลวเลยทีเดียว

“ทว่า เกรงก็แต่การถ่ายโอนอาจมิได้ราคาที่ดีอะไรนัก แต่ข้าน้อยคิดว่านำกลับคืนมาได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดีนะขอรับ” นายซุนกล่าว

นางฮานค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมาอยู่บริเวณใจกลางโถง ขณะที่นางซุนและแม่เจียงต่างมองตามนางไม่วางตา

เนิ่นนานผ่านไป นางฮานชะงักฝีก้าวแล้วเอ่ย “เจ้าไปบอกนายกู่ว่าให้เขาช่วยนำส่วนของข้าถ่ายโอนไปด้วยเช่นกัน ได้เงินมาเท่าใดก็เอามาให้เท่านั้น”