ตอนที่ 170 องค์หญิงอวิ๋นเล่อ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

รุ่งอรุณ อันหลินตื่นขึ้นมา แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างส่องกระทบใบหน้า แลดูอบอุ่น

กระถางริมหน้าต่างมีดอกไม้สีแดงปักอยู่ มันคือเสี่ยวหงนั่นเอง

แม้ตลอดหลายวันนี้อันหลินจะไม่ลืมเอามันไปตากแดดเพื่อสังเคราะห์แสง แต่จนบัดนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

เขาเก็บเสี่ยวหงใส่กระเป๋า เรียกต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์รวมตัว จากนั้นก็อำลาเซวียนหยวนเฉิง

ก่อนจากลา ทังซือหยวนมอบพู่ห้อยหยกสีขาวให้อันหลินหนึ่งชิ้น เพื่อใช้ป้องกันตัว บอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตที่ยอดเขาแสงสวรรค์

อันหลินรับไว้โดยที่ไม่คิดอะไรมาก

ทังซือหยวนสวมชุดสีขาว ดุจหญิงสาวราวภาพฝัน ยืนสง่างามบนยอดเขา มองอันหลินขี่สุนัขจากไปเงียบๆ ลมพัดโชยผมดำขลับของนาง มือเล็กขาวหยวกกำพู่ห้อยหยกอีกชิ้นหนึ่งไว้แน่น

แคว้นจื่อซิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นสือหลง เป็นแคว้นใหญ่หนึ่งเดียวในแดนจิ่วโจวที่ไม่ยับยั้งการเติบโตของเทคโนโลยี

ราชวงศ์ชิงมู่ในสี่สำนักเก้าราชวงศ์แห่งสวรรค์ กลายเป็นต้นแบบลำหน้าของการผสานการพัฒนาระหว่างเทคโนโลยีและการบำเพ็ญเพียร

ราชวงศ์ชิงมู่กับสรวงสวรรค์มีข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน สรวงสวรรค์จึงไม่แทรกแซงการวิจัยของพวกเขา กลับกันให้ความช่วยเหลือเสียด้วยซ้ำ

แคว้นจื่อซิงกับแคว้นสือหลงเชื่อมต่อกัน อันหลินจึงไม่ได้ใช้ค่ายกลขนส่ง แต่ขี่สุนัขเหาะเหินไป

เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นจื่อซิง เขาก็สัมผัสถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนได้

อาคารบ้านเรือนของที่นี่ไม่ใช่โครงสร้างง่ายๆ อย่างการก่ออิฐอีก สิ่งปลูกสร้างที่ทำจากปูนซีเมนต์เริ่มปรากฏให้เห็น ถึงขั้นว่าเห็นรถไฟ แม้จะเป็นเพียงรถจักรไอน้ำ แต่ก็น่าตกใจมากเช่นกัน

ถนนหนทางจัดระเบียบเป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ประหลาดนานาชนิดเดินเหิน มีทั้งยานพาหนะสี่ล้อที่รูปร่างคล้ายรถยนต์ และมียานบินเพรียวลมลอยอยู่กลางอากาศ

เขายังเห็นเรือลำใหญ่ที่เหาะเหินบนเวหาอีกด้วย ความเร็วไม่สูง แต่จำนวนคนที่บรรทุกมีไม่ต่ำกว่าพันชีวิต

อารยธรรมเทคโนโลยีของแคว้นจื่อซิงน่าจะเป็นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก แต่กลับมีวัตถุที่ไม่เคยปรากฏบนโลกมนุษย์มากมาย ภาพที่ผสมผสานระหว่างอนาคตกับโบราณ ทำเอาอันหลินอุทานไม่ขาดปาก

ตลอดทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังวังชิงมู่ เรื่องแปลกใหม่ที่พบเห็นมีนับไม่ถ้วน กระทั่งสุดท้ายอันหลินก็เริ่มกังวลว่าราชวังที่ไปจะเป็นตึกสูงระฟ้า

สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทาง

เขาโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะภาพของราชวังชิงมู่ ถือว่าไม่ต่างจากภาพที่เขาจินตนาการไว้ในใจมากนัก

ตำหนักเหลืองอร่ามแวววาว วิจิตรงดงามหลังแล้วหลังเล่า รวมกันเป็นกลุ่มตำหนักใหญ่โตโอฬารและเกรียงไกร หลังคาแก้วสีทอง ฉายรัศมีอันสูงส่งและน่ายำเกรงภายใต้แสงแดดส่องกระทบ

ประตูของวังหลวงมีทหารสวมชุดเกราะ กลิ่นอายยิ่งใหญ่หลายสิบนายยืนเฝ้าอยู่

หลังอันหลินแจ้งเจตนาของตนแล้ว นายพลเฝ้ายามนายหนึ่งจึงรีบติดต่อผู้ดูแลข้าหลวงในวังทันที

“ขอรับ ข้าจะพาแขกเข้าไปเดี๋ยวนี้ อะไรนะ…องค์หญิงจะมาด้วยตัวเองหรือ ขอรับๆ…”

นายพลตัดสัญญาณของยันต์สื่อจิต พูดกับอันหลินอย่างนอบน้อมว่า “องค์หญิงอวิ๋นเล่อกำลังเดินทางมา กรุณาอดทนรอสักครู่นะขอรับ”

อันหลินพยักหน้าเล็กน้อย บิดขี้เกียจบนหลังต้าไป๋

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังครึกโครม

“สหายอันหลิน” เสียงหวานแว่วมาแต่ไกล

อันหลินเงยหน้าขึ้น มองเห็นซูเฉี่ยนอวิ๋นนั่งอยู่บนหลังหมาป่าสีฟ้าสูงราวสองจั้งตัวหนึ่ง กำลังวิ่งห้อมา

นางสวมชุดหงส์สีชาด ใบหน้างามสะคราญเปื้อนรอยยิ้ม โบกมือหยอยๆ ให้อันหลิน

“ฮาย ซูเฉี่ยนอวิ๋น” อันหลินยิ้มและกล่าวคำทักทายไปเช่นกัน

“ไม่คิดเลยว่าอันหลินจะมาหาข้า ข้าประหลาดใจจริงๆ”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เผยรอยยิ้มงดงามหวานเยิ้ม ทำให้อันหลินมองจนละสายตาไม่ได้

“จริงสิ หมาป่าเทียนหูตัวนี้ชื่อเสี่ยวหมาน เป็นสัตว์เลี้ยงของข้า” ซูเฉี่ยนอวิ๋นขี่หมาป่าสีฟ้า พาอันหลินเข้าวังพลางเอ่ยคำแนะนำ

ขนาดของหมาป่าเทียนหูใหญ่กว่าต้าไป๋หลายเท่า แลดูองอาจผึ่งผาย กลิ่นอายยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น เกรงว่าจะบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว

อันหลินได้ฟังก็ทักทายหมาป่าเทียนหูอย่างเป็นมิตรด้วย

จากนั้นเขาก็มองหมาป่าเทียนหูแวบหนึ่ง สลับกับมองต้าไป๋ของตัวเอง จากนั้นตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ทั้งคู่ขี่สัตว์เลี้ยงเดินเหินไป แต่เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างน่าประหลาด

หากจะให้เปรียบเปรยจริงๆ ละก็ เขาคิดว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นขับเฟอร์รารี่ ส่วนเขานั้นขับแค่รถเชอร์รี่คิวคิวคันหนึ่งเท่านั้น ระดับความเท่แตกต่างราวฟ้ากับเหว

เพราะความสูงที่ต่างกันระหว่างสัตว์เลี้ยงทั้งสอง จึงต้องแหงนหน้ายามเขาสนทนากับซูเฉี่ยนอวิ๋น

ซูเฉี่ยนอวิ๋นไม่ได้ใส่กระโปรงสั้น เขาคิดว่าการเงยหน้าคุยกันแบบนี้ไม่มีความสุขเลยสักนิด กลับกันรู้สึกเมื่อยคอเสียด้วยซ้ำ

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ลูบหัวของต้าไป๋อย่างคาดหวัง ถามเสียงนุ่มว่า “ต้าไป๋ เจ้าตัวใหญ่อย่างเสี่ยวหมานได้หรือไม่”

ต้าไป๋กลอกตา ถามสั้นกระชับว่า “ไม่ได้ อย่างไรเสียข้าก็ตัวใหญ่เท่านี้แหละ เจ้าอยากขี่หรือไม่ก็ตามใจ”

อันหลินได้ฟังก็ทอดถอนหายใจอย่างผิดหวัง

พอซูเฉี่ยนอวิ๋นเห็นท่าทางของอันหลิน ก็รู้ตัวทันที ลอบต่อว่าตัวเองที่ไม่สนใจความรู้สึกของสหายอันหลิน จึงตบหัวของเสี่ยวหมานปุๆ

หมาป่าเทียนหูรู้ใจ เมื่อแสงสีฟ้าสว่างวาบ ขนาดตัวของมันก็เริ่มหดเล็กลงจนมีขนาดเทียบเท่าต้าไป๋

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับอันหลินจึงเริ่มเดินเคียงข้างกันไปด้วยประการละฉะนี้

เมื่ออันหลินเห็นฉากนี้ ก็อดชะงักไม่ได้ ลูบหัวต้าไป๋แล้วพูดด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “เจ้าดูเสี่ยวหมานสิ ทั้งหดเล็กขยายใหญ่ได้ ยืดหยุ่นยิ่งนัก”

ต้าไป๋ขนลุกชูชัน แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็หดเล็กลงได้เหมือนกันโฮ่ง! จะทำให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้แหละ!”

“จริงหรือ!” อันหลินตาลุกวาว ในใจเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา

แสงสีขาวสว่างวาบ จากนั้นอันหลินก็ตกลงกระทบพื้นดังตุบ

ต้าไป๋เวอร์ชันมินิปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าเขา มันเป็นขนาดก่อนต้าไป๋จะมีขุมพลังสัตว์

“เจ้าดูสิ ข้าก็หดเล็กลงได้เหมือนกัน ชอบหรือไม่ โฮ่ง!” ต้าไป๋แสยะยิ้ม

อันหลินตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น เมื่อได้ฟังก็อัดอั้นในใจ วิงวอนทันใดว่า “ต้าไป๋เลิกเล่นได้แล้ว ข้าไม่ขอให้เจ้าตัวใหญ่แล้ว กลับไปองอาจผึ่งผายเช่นเดิมเถอะ”

“เพิ่งมาประจบข้าเอาป่านนี้หรือ สายไปแล้ว โฮ่ง!” ขณะที่พูด ต้าไปก็เชิดหน้าเยื้องย่างไปในสภาพเวอร์ชันมินิ

อันหลิน “…”

มนุษย์หนอ มักจะเห็นคุณค่าในยามที่เสียไปแล้ว

คราวนี้เสร็จกัน ไม่มีแม้แต่เชอร์รีคิวคิว จำใจต้องเดินเท้าเสียแล้ว

ซูเฉี่ยนอวิ๋นพบว่าอันหลินผู้น่าสงสารต้องเดินเท้า คิดๆ ดูแล้ว จึงลูบหัวเสี่ยวหมานเล็กน้อย

เสี่ยวหมานกลายร่างเป็นหมาป่าน้อยขนาดเท่าต้าไป๋อย่างรู้ใจ

อืม…เมื่อมองดูแล้ว ก็เหมือนสุนัขสองตัวกำลังเดินเคียงคู่กัน

ส่วนซูเฉี่ยนอวิ๋นกลับเดินข้างอันหลินอย่างงามสง่า พร้อมกับยิ้มบางๆ

อันหลินซาบซึ้งใจ สหายซูอบอุ่นและใส่ใจชะมัดเลย…

ท่าทางภาษาจีนกลางกับภาษาอังกฤษที่เขาสอนไปนั้นไม่เสียเปล่า!

อันหลินที่ตื้นตันใจพูดภาษาจีนกลางกับซูเฉี่ยนอวิ๋นว่า “สหายซู เธอยิ้มแล้วสวยจังเลย”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบปริบๆ ราวกับอยู่ในห้วงความฝัน

จากนั้นนางก็มองอันหลินอึ้งๆ เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”

อันหลิน “…”

เยี่ยมเลย…ท่าทางภาษาจีนกลางกับภาษาอังกฤษที่เขาสอนไปจะสูญเปล่าเสียแล้ว