ตอนที่ 164 ห้ายักษ์ใหญ่ การเปิดเผยของคุณยาย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ตอนที่รับสายจากเฉินซูหลาน หนิงฉิงยังอยู่ที่เมืองหลวง

 

 

ฉินอวี่เพิ่งจะไหว้ครูเสร็จได้ไม่นาน หลังจากพักช่วงจากการเรียน เธอก็จะตามไต้หรานไปเรียนไวโอลินในวงของไต้หราน หนิงฉิงจึงต้องเตรียมอาหารการกิน ที่พัก ตลอดไปจนถึงเรื่องการเดินทาง

 

 

ถึงอย่างไรฉินอวี่ก็ไม่ใช่คนตระกูลเสิ่น แม้ตระกูลเสิ่นจะไม่ว่าอะไร แต่หากพักอยู่ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี

 

 

หลินฉีส่งเงินจำนวนหนึ่งให้หนิงฉิงโดยตรงเพื่อซื้ออพาร์ตเมนต์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของไต้หราน

 

 

และถือว่ามอบเป็นของขวัญให้ฉินอวี่

 

 

การซื้ออพาร์ตเมนต์ในเมืองหลวงไม่ใช่ราคาถูกๆ หลินฉีเองก็ใช้เงินไปจำนวนไม่น้อยกับฉินอวี่

 

 

ไม่กี่วันมานี้หนิงฉิงจึงยุ่งอยู่กับเรื่องนี้

 

 

ทันใดนั้นก็รับสายเฉินซูหลาน เธอแปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติเฉินซูหลานไม่ค่อยโทรหาใคร ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะโทรบ่อยไปหน่อย

 

 

เฉินซูหลานพูดในโทรศัพท์ว่า “แกจะกลับมาเมื่อไหร่?”

 

 

“แม่มีอะไรหรือเปล่า? หนิงเวยล่ะ? ฉันยังไม่กลับ ต้องอยู่ที่นี่อีกสักระยะ” หนิงฉิงนิ่งไปสักพัก เธอชำเลืองมองไปทางห้องหลินหว่านและฉินอวี่ เบาเสียงลง “อาจารย์ไต้เพิ่งจะรับอวี่เอ๋อร์เป็นลูกศิษย์ เธอต้องอยู่เมืองหลวง ฉันเป็นห่วงเธอ”

 

 

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก” เฉินซูหลานไอ แววตาลึกขึ้น ทว่าน้ำเสียงกลับเป็นไปอย่างเรียบๆ “แกหาเวลากลับมาให้เร็วที่สุด” 

 

 

จากนั้นก็วางสาย

 

 

หนิงฉิงขมวดคิ้วยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางถือโทรศัพท์ พอคิดได้สักพักก็โทรหาหนิงเวย แต่ดังได้ไม่กี่ทีก็ถูกตัดสาย

 

 

“มีอะไรคะ?” ฉินอวี่ดูห้องเสร็จก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหนิงฉิง จึงเดินเข้าไปถาม

 

 

หนิงฉิงขมวดคิ้ว “ยายลูกให้แม่กลับไปน่ะ”

 

 

“ให้แม่กลับไปทำไม?”

 

 

“ไม่รู้สิ พรุ่งนี้แม่จะกลับไปดูยายลูกเสียหน่อยแล้วค่อยกลับมา” หนิงฉิงเก็บโทรศัพท์อย่างไม่สบายใจ

 

 

**

 

 

ตอนค่ำ

 

 

สนามบินอวิ๋นเฉิง

 

 

“คุณชายเจียง ทำไมมาอวิ๋นเฉิงกะทันหันแบบนี้ล่ะ?” มู่เฉิงอยู่ห้องพยาบาลประจำโรงเรียนทั้งวัน ขากลับก็ขับรถเฉิงเจวี้ยนไปรับเจียงตงเยี่ย

 

 

ช่วงหลายเดือนมานี้เจียงตงเยี่ยโดนประธานเจียงกดดันให้เข้าไปควบคุมกิจการค้าร่วมของตระกูลเจียงซึ่งไม่ใช่ความลับใดๆ

 

 

เจียงตงเยี่ยเปิดดูอีเมลบนโทรศัพท์มือถือพลางยิ้มตอบ “หาคนน่ะ”

 

 

“กู้ซีฉือ?” เฉิงมู่ผงะ

 

 

“อื้อ” เจียงตงเยี่ยตอบเรียบๆ

 

 

เฉิงมู่เกือบจะเหยียบคันเร่งผิด “เขาก็อยู่ที่อวิ๋นเฉิงเหรอฮะ?”

 

 

ทำไมแต่ละคนถึงมาที่อวิ๋นเฉิงกันหมด?

 

 

อวิ๋นเฉิงเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยแบบไหนกันแน่?

 

 

เฉิงมู่ขับรถกลับคฤหาสน์

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกำลังเอนตัวอยู่บนโซฟา ถือหมอนไว้ในมือ วางขาข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะกาแฟ เมื่อเห็นเจียงตงเยี่ย เขาก็ขมวดคิ้ว “เคลื่อนไหวเร็วจริงๆ”

 

 

เฉิงมู่เดินตามหลังเจียงตงเยี่ยเข้ามาด้วยหน้าทึ่มๆ

 

 

เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกู้ซีฉือ เขาจะไม่เร็วได้อย่างไร

 

 

“คุณชายเจวี้ยนล่ะ?” เจียงตงเยี่ยนั่งอยู่อีกด้าน เขามองไปรอบๆก็ไม่พบเฉิงเจวี้ยน

 

 

พ่อบ้านยกน้ำชามาเสิร์ฟให้เจียงตงเยี่ย “คุณชายเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล กำลังอาบน้ำอยู่ครับ”

 

 

เจียงตงเยี่ยพยักหน้าแต่ก็รู้สึกประหลาดใจ “การผ่าตัดประจำเดือนนี้เสร็จหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”

 

 

หรือเดือนนี้มีเคสพิเศษ?

 

 

พ่อบ้านส่ายหน้า เขาจะรู้เรื่องของเจ้านายได้อย่างไร?

 

 

“น้าของฉินเสี่ยวหร่านน่ะ” จ้าวลู่อิ่งวางขาแล้วหยิบชิ้นเค้ก “เธอทำงานอยู่ในโรงงานพลาสติก ขาของเธอได้รับบาดเจ็บจากเครื่องจักร พูดก็พูดเถอะผู้บัญชาการห่าว คุณว่ามันแปลกๆไหม?”

 

 

“น้าเธอทำงานโรงงานพลาสติก ผู้จัดการโรงงานมีเจตนาต้องการสูตรอะไรจากเธอ?”

 

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผู้บัญชาการห่าวก็ส่ายหน้าเพราะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

เฉิงมู่ประหลาดใจจนเคยชินไปเสียแล้ว

 

 

เพราะเพื่อนของฉินหร่านมีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวสงคราม เจ้าขุนมูลนายในอวิ๋นเฉิง หรือบุคคลสำคัญในกองสืบสวนอาชญากรรม…

 

 

ดังนั้นการที่น้าของเธอมีสูตรแปลกพิสดารก็ไม่ถือว่าน่าประหลาดใจเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้ 

 

 

**

 

 

ชั้นบน เฉิงเจวี้ยนอาบน้ำเสร็จก็เดินลงมาพร้อมกับม้วนแขนเสื้อเชิ้ต

 

 

“คุณชายเจวี้ยน นายช่วยหารายชื่อคนที่เดินทางในอวิ๋นเฉิงของวันนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เจียงตงเยี่ยพูดขณะที่ถือตะเกียบบนโต๊ะอาหาร

 

 

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ปัจจัยสี่ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดและทำกำไรได้มากที่สุด

 

 

ทวีปเอเชียถูกครอบครองโดยห้ายักษ์ใหญ่

 

 

ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือไอที

 

 

ห้ายักษ์ใหญ่นี้ได้บุกไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั่วทุกพื้นที่ภายในประเทศยิ่งไม่เป็นสองรองใคร

 

 

บางคนคาดเดากันว่ากิจการค้าร่วมอวิ๋นกวงครอบครองทางด้านไอทีและด้านอสังหาริมทรัพย์ ทว่าคนทั่วไปกลับไม่รู้และไม่เข้าใจเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้

 

 

เจียงตงเยี่ยและคนเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนมีช่องทางอะไรที่สามารถพูดคุยกับหนึ่งในยักษ์ใหญ่ได้ มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถพาเหอเฉินกลับมาจากชายแดนได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

หากต้องการรายชื่อแล้วมาหาเฉิงเจวี้ยน จะต้องเร็วกว่าไปหาคนอื่นอย่างแน่นอน

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเขาพลางหรี่ตาลงโดยไม่ตอบในทันที

 

 

เจียงตงเยี่ยกินข้าวไปหนึ่งคำจากนั้นก็ถอนหายใจ “คุณชายเจวี้ยน นายสงสารฉันเถอะ ถ้าฉันยังหากู้ซีฉือไม่เจอก็ไม่รู้ว่านายท่านบ้านพวกนายจะลงโทษฉันยังไง นายคิดดูสิว่ากู้ซีฉือมีหัวหน้าใหญ่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ส่วนฉันหัวเดียวกระเทียมลีบ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลากเก้าออกอย่างเกียจคร้านพลางเลิกคิ้ว “เดี๋ยวจะมีคนส่งให้นาย”

 

 

เจียงตงเยี่ยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด

 

 

ขณะที่เฉิงเจวี้ยนใช้มือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งก็ส่งข้อความ

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที

 

 

เจียงตงเยี่ยก็ได้รับฐานข้อมูลขนาดใหญ่บนโทรศัพท์ของเขา

 

 

เขารีบร้อนทานข้าวแล้วให้พ่อบ้านไปหยิบคอมพิวเตอร์มาให้

 

 

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เจียงตงเยี่ยจะตรวจสอบข้อมูลมากมายขนาดนี้ทีละคน เขาจึงส่งให้กลุ่มลูกน้องของเขาตรวจสอบ

 

 

ถึงอย่างไรอวิ๋นเฉิงก็เป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนนับหมื่นที่หลั่งไหลเข้ามาภายในหนึ่งวัน การจะตรวจสอบและคัดกรองคนเหล่านี้ย่อมเสียเวลาเกินไป

 

 

ตีสาม

 

 

เจียงตงเยี่ยก็ได้รับผลการตรวจสอบจากลูกน้อง

 

 

“ที่ไหน?” เจียงตงเยี่ยรู้สึกตื่นตัว เขาเดินไปที่โซฟา รินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

 

 

ลูกน้องที่อยู่ปลายสายสั่นงกๆ พร้อมกับบอกชื่อให้เขาหนึ่งชื่อ——

 

 

หลี่ต้าจ้วง

 

 

หลังจากมาหาเฉิงเจวี้ยนเพื่อเอาฐานข้อมูล เขาก็ใช้เวลาทั้งคืนในการตามหาคนที่เหมือนที่สุด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหลี่ต้าจ้วง?

 

 

แม่งเอ๊ย หลี่ต้าจ้วง

 

 

ไม่ว่าเจียงตงเยี่ยจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีแค่ไหนก็อดไม่ได้ที่อยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง

 

 

ช่วงดึกๆดื่นๆ เขาเคาะประตูห้องลู่จ้าวอิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งเปิดประตูก็กระทุ้งเก้าอี้ออกมา เขาหลบไปข้างหลัง เสียงยังสงบเหมือนเดิม “นายมีเว็บไซต์ของสมาคมแฮกเกอร์ไหม?”

 

 

แม้จะต้องขุดไปทั่วทั้งอวิ๋นเฉิง เขาก็ต้องหากู้ซีฉือให้เจอ

 

 

**

 

 

วันรุ่งขึ้น

 

 

วันเสาร์

 

 

เป็นเวลาที่ไปเยี่ยมเฉินซูหลานตามเคย

 

 

ฉินหร่านตื่นแต่เช้า เธอเดินไปเยี่ยมหนิงเวยที่ชั้นล่างก่อน หนิงเวยสีหน้าดีกว่าเมื่อวานมาก

 

 

ตอนเย็นมู่หนานไม่ได้กลับไป เขาย้ายโต๊ะย้ายเก้าอี้ที่อยู่ในห้องผู้ป่วยหนิงเวยโดยมีแล็ปท็อปสีดำวางอยู่บนคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นของขวัญที่ฉินหร่านมอบให้เขาตอนที่สอบเข้าโรงเรียนมัธยม

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเดินไป เขากำลังเอื้อมมือเคาะแป้นพิมพ์โดยมีหนังสือคำศัพท์อยู่ข้างๆ

 

 

“กำลังแปลอะไรอยู่?” เมื่อฉินหร่านเดินไปข้างหลังก็พบว่าเขากำลังแปลบทความทางการแพทย์ของต่างประเทศที่มีศัพท์เฉพาะทางและยังซับซ้อนมาก

 

 

พอได้ยินเสียง มู่หนานก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยืนขึ้น ผมหน้าปกคลุมดวงตาสีเข้มของเขา “อื้อ พี่ใหญ่ซ่งส่งมาให้ผม”

 

 

เขาแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน เนื่องจากเป็นศัพท์เฉพาะทาง ราคาจึงสูงกว่าบทความทั่วไปโดยคิดเป็นร้อยเจ็ดสิบหยวนต่อหนึ่งพันคำ

 

 

ซ่งลี่ว์ถิงส่งบทความทางวิชาการนี้ให้เขาเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคำ 

 

 

มู่หนานทำงานเป็นนักแปล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแปลงานเฉพาะทางซึ่งยากกว่าบทความปกติมาก

 

 

“แม่ผมยังไม่ตื่น” มู่หนานพูดเบามาก เขาเก็บของทั้งหมด “ผมจะขึ้นไปเยี่ยมยายกับพี่ก่อน”

 

 

เรื่องของหนิงเวยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้อาการเฉินซูหลานก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ทั้งสองจะไม่บอกให้เฉินซูหลานรู้

 

 

ห้องผู้ป่วยวีไอพี

 

 

พยาบาลรับจ้างกำลังช่วยเฉินซูหลานเก็บกวาดห้อง

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา เธอก็ยิ้ม “ป้าเฉินอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก ดูเหมือนว่าวันนี้เธอยังลงมาเดินเองตั้งสองรอบแน่ะ”

 

 

เฉินซูหลานอาการดีขึ้นกว่าเดิม หน้าแดงเผยให้เห็นสุขภาพดี

 

 

เธอประคองโต๊ะและกำลังเดินอย่างช้าๆ

 

 

ดูหน้าตาสดชื่น

 

 

ยิ่งเหมือนแสงสายัณห์ตะวันรอน 

 

 

เมื่อเห็นทั้งสอง เธอก็เอียงหน้ายิ้ม “มากันแล้ว”

 

 

เธอจับโต๊ะเพื่อนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็มองไปทางมู่หนาน “แม่แกล่ะ? ไปทำงานอีกแล้วเหรอ?”

 

 

“ครับ” มู่หนานยังคงแสดงออกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาเดินไปข้างหน้า หยิบแอปเปิลและมีดให้ฉินหร่านเพื่อให้เธอปอก

 

 

ฉินหร่านก็ถือโอกาสนั่งบนโต๊ะก้มหน้าปอกแอปเปิลอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

ไม่นานประตูห้องผู้ป่วยก็มีคนเคาะเบาๆ

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นและส่งแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้วให้มู่หนาน “เข้ามา”

 

 

มีร่างผอมเพรียวเดินเข้ามา

 

 

เขาถอดแว่นกันแดด วางกล่องยาไว้บนโต๊ะ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามแล้วยิ้ม “ยายครับ ผมมาเยี่ยมแล้ว”

 

 

กู้ซีฉือเคยอาศัยอยู่ในเมืองหนิงไห่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาเรียกเฉินซูหลานว่ายายตามฉินหร่าน

 

 

เฉินซูหลานจำเขาได้ ชายหนุ่มคนนี้ค่อนข้างหน้าตาดี

 

 

“เสี่ยวกู้กลับมาแล้วเหรอ?” เฉินซูหลานกลับมานั่งบนเตียง เมื่อเห็นกู้ซีฉือก็ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

มู่หนานไม่เคยเจอกู้ซีฉือมาก่อน แต่พอเห็นปฏิกิริยาของเฉินซูหลานก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนฉินหร่าน เขามองกู้ซีฉือแวบเดียวก็ก้มหน้าหั่นแอปเปิลต่อ

 

 

ฉินหร่านได้นำรายงานสภาพร่างกายของเฉินซูหลานให้กู้ซีฉือดูนานแล้ว

 

 

ที่เขามาครั้งนี้ก็เพื่อจะใช้เครื่องมือของตัวเองสแกนร่างกายเฉินซูหลานอีกรอบ

 

 

และเขายังต้องกลับไปวิจัยผลลัพธ์ให้เป็นรูปธรรม

 

 

หลังจากที่มู่หนานหั่นแอปเปิลเสร็จ เขาก็รินชาให้กู้ซีฉือ

 

 

กู้ซีฉือรับชามาและลากเก้าอี้มานั่งอย่างลวกๆ “ขอบใจ”

 

 

วันนี้เฉินซูหลานดูมีสภาพร่างกายและสภาพจิตใจดีขึ้นมาก

 

 

ทั้งสามอยู่ในห้องผู้ป่วยตลอดช่วงเช้า เฉินซูหลานรบเร้าให้พวกเขารีบไปทานข้าวเพราะอยู่ในห้องป่วยนานๆจะไม่ดี

 

 

“ยายครับ งั้นวันหลังผมค่อยมาเยี่ยมยายใหม่นะครับ” กู้ซีฉือสวมแว่นกันแดดและหมวกแก๊ป เขากอดเฉินซูหลานด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะไป

 

 

ฉินหร่านกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจของกู้ซีฉือ เธอบอกเฉินซูหลานว่าจะออกไปพร้อมกับกู้ซีฉือ

 

 

**

 

 

มู่หนานเป็นคนสุดท้ายที่ออกไป

 

 

รอจนเขาปิดประตูออกไป

 

 

เฉินซูหลานที่หลับตาลงเล็กน้อยก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

 

 

เธอสวมรองเท้า มือประคองกำแพงเดินออกมา

 

 

ชั้นวีไอพีมีคนน้อย

 

 

เมื่อเธอเห็นว่าลิฟต์มู่หนานไม่ได้หยุดที่ชั้นหนึ่ง แต่หยุดที่ชั้นหก

 

 

เฉินซูหลานเม้มริมฝีปาก เธอกลับไปที่ห้องผู้ป่วยเพื่อหยิบเสื้อคลุมและตรงไปที่ชั้นหก

 

 

ชั้นหกส่วนใหญ่เป็นห้องผู้ป่วยเดี่ยว

 

 

เฉินซูหลานหาทีละห้อง ในที่สุดก็เจอหนิงเวยอยู่ในห้องผู้ป่วยที่อยู่ท้ายสุด เธอนอนบนเตียงโดยที่ขาซ้ายของเธอถูกพันด้วยผ้าก๊อซและสอดท่อหลายอัน

 

 

ไม่รู้ว่าไม่ได้สติหรือหลับไป

 

 

มู่หนานนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และหันไปมองหนิงเวยเป็นครั้งคราว

 

 

ดวงตาเฉินซูหลานดำมืด เธอรีบหันกลับไปและเดินโซซัดโซเซไปยังทางขึ้นลิฟต์

 

 

เธอไปได้ไม่ไกลก็พิงกับกำแพง มือหนึ่งกุมหน้าอกและทรุดนั่งตรงกำแพง

 

 

“คุณยาย คุณเป็นอะไรคะ?” คนที่เดินมาช่วยพยุงเธอขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร ขอบใจมากหนู” หลังจากนั้นไม่นานเฉินซูหลานก็ผ่อนลมหายใจและกลับไปที่ห้องผู้ป่วยของตัวเอง

 

 

บ่ายสามโมง

 

 

หนิงฉิงกลับมาจากเมืองหลวงโดยที่ยังไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลหลิน

 

 

โทรหาหนิงเวยก็ไม่ติด เธอกลัวว่าเฉินซูหลานจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงรีบตรงไปที่โรงพยาบาล

 

 

“แม่ ทำไมไม่มีคนอยู่ที่นี่เลย? หนิงเวยล่ะ? หร่านหร่านล่ะ?” เมื่อเห็นห้องผู้ป่วยเฉินซูหลานโล่งไม่มีคน หนิงฉิงก็ขมวดคิ้ว “ฉันไปเมืองหลวงแค่ไม่กี่วัน ทำไมไม่มีใครรู้ความบ้างเลย?!”

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ก้มหน้าโทรหาฉินหร่าน

 

 

เธอโทรหาฉินหร่านด้วยความโมโห อยากจะถามเธอว่าทำไมไม่มาดูแลเฉินซูหลาน

 

 

“ไม่ต้องโทรหาหร่านหร่าน ตอนนี้เธอยุ่งอยู่” เฉินซูหลานลืมตาขึ้น สภาพจิตใจไม่ได้แปรปรวนอะไร

 

 

“แม่ก็ได้แต่ตามใจเธอ เธอไม่ยอมไปไหว้ครูกับฉัน แต่กลับไปเมืองหลวงกับไอ้บ้าคนหนึ่ง!” หนิงฉิงอดพูดไม่ได้ “ช่างเถอะ ฉันทำอะไรเธอไม่ได้อยู่แล้ว หลังจบม.ปลายเธอจะทำอะไร ฉันก็ไม่สนใจแล้ว”

 

 

เธอพูดแบบนี้เพื่อแสดงให้เฉินซูหลานเห็นว่าต่อไปนี้เธอจะให้ความสนใจกับฉินอวี่

 

 

เฉินซูหลานไม่ได้พูดอะไร

 

 

เธอมองไปทางหน้าต่างสักพักก็พูดว่า “แกยังจำครั้งสุดท้ายที่ฉันเคยพูดกับแกได้ไหม ที่บอกว่าหร่านหร่านฝึกเล่นไวโอลินมาตลอด?”

 

 

“อืม ทำไมเหรอ?” หนิงฉิงรินน้ำให้เฉินซูหลาน

 

 

แม้เฉินซูหลานจะเคยบอกว่าฉินหร่านเล่นไวโอลินมาตลอด แต่ก็ไม่เคยพูดถึงว่าฉินหร่านเล่นได้ระดับไหน

 

 

หนิงฉิงเคยถาม แต่ว่ากันว่ายังไม่ได้สอบระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจ 

 

 

ในใจแอบคิดว่าคงไม่ใช่เพราะเฉินซูหลานรู้ว่าฉินอวี่ไหว้ครูสำเร็จ ตอนนี้จึงอยากให้เธอพาฉินหร่านไปไหว้ครูที่เมืองหลวงด้วยหรอกนะ?

 

 

“นอกจากหร่านหร่านเล่นไวโอลินแล้ว เธอยังชอบเขียนโน้ตเพลง” เฉินซูหลานหันกลับมา “เธอเขียนเองเสร็จก็ทิ้ง แต่ฉันเป็นคนเก็บมันไว้ทั้งหมด ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลแล้วให้แกไปหากระเป๋าเดินทางที่บ้านตระกูลหลิน ในกระเป๋านั้นมีโน้ตเพลงของเธออยู่”

 

 

มือหนิงฉิงที่กำลังถือแก้วถึงกับผงะ สายตาตกตะลึงอย่างชัดเจน “หร่านหร่าน…เธอก็ทำได้?”

 

 

เฉินซูหลานพูดไปด้วยไอไปด้วยอยู่หลายครั้ง ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นเผยความออกมาทั้งหมด เสียงเธอทั้งนุ่มนวลทั้งแผ่วเบา “ฉันดูวิดีโอที่แกส่งมาแล้ว สามปีก่อนหร่านหร่านก็เคยเล่นเพลงนั้นที่ฉินอวี่ใช้แสดงในวันไหว้ครูในงานวันเกิดของตัวเอง แกบอกมาซิว่ามันน่าแปลกไหม?”