บทที่ 165.3 หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ โดย ProjectZyphon
ฮ่องเต้ต้าหลีหันหน้ามาส่งยิ้มให้ “เจ้าน่ะ ไม่ว่าอะไรก็ดี เพียงแต่ระมัดระวังตัวเกินไป วันหน้าอย่าทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของตัวเองอีกเลย บุตรชายบุตรสาวทั้งหลายของเจ้ามีนิสัยอย่างไร กว่าเหรินจะไม่รู้ได้หรือ? พวกเขาหรือจะกล้าทำเรื่องชั่วช้ารุกรานที่นาชาวบ้าน โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กของเจ้า ช่างเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อาจไม่ถึงขั้นสอบติดสามอันดับแรกภายในครั้งแรก แต่ถ้าเป็นตำแหน่งจิ้นซื่อจี๋ตี้ (จิ้นชื่อผู้โดดเด่น คือบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้คะแนนระดับสูงสุดในการสอบราชสำนัก) ย่อมไม่พลาดแน่นอน ทำไมเจ้าต้องกดเขาเอาไว้ด้วย?”
ริมฝีปากของผู้เฒ่าสั่นระริก สุดท้ายจึงกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงไปอีกครั้ง พูดเสียงสะอื้น “กระหม่อมได้แต่ใช้วิธีการที่ต่ำช้าเช่นนี้มาช่วยแบ่งเบาภาระให้กับฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้ต้าสุยประคองให้ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “หลายคนในราชสำนักต่างก็พูดว่าเจ้าเป็นเพียงบุรุษที่ดีที่ทำแต่เรื่องเลอะเลือน แต่กว่าเหรินรู้สึกว่าขุนนางแบบเจ้าต่างหากถึงจะเป็นคานหลักที่ต้าสุยไม่อาจขาดได้อย่างแท้จริง!”
ผู้เฒ่าพลันน้ำตาอาบหน้า รู้สึกเพียงว่าความน้อยเนื้อต่ำใจตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหายวับไม่มีเหลือ รีบคุกเข่ากลับลงไปอีกครั้ง “กระหม่อมไร้ความสามารถไร้คุณธรรม ช่างผิดต่อความไว้วางใจที่ฝ่าบาททรงมอบให้ยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้ต้าสุยเตะผู้เฒ่าเบาๆ หนึ่งที กล่าวถอนฉิว “เป็นถึงเจ้ากรมพิธีการผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักเล่นแง่กับเขาด้วยหรือ? รีบลุกขึ้น ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วปาดมือเช็ดสะเปะสะปะไปทั่วใบหน้า “ให้ฝ่าบาทเห็นเรื่องตลกแล้ว”
ฮ่องเต้นั่งกลับลงไปที่เดิมแล้วโบกมือ “กลับไปเถอะ”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยค้อมตัวบอกลา
ฮ่องเต้หยิบคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาจากหนังสือกองเล็ก ไล่พลิกเปิดไปทีละหน้า ปากก็เอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “ได้ยินว่าบนโลกมีลมประหลาดอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าลมเปิดหน้าหนังสือ?”
เสียงของฮ่องเต้เบามาก แต่ขันทีร่างสูงใหญ่ที่อยู่นอกประตูห่างออกไปกลับยังคงได้ยินและตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนี้จริง ลมเย็นขุมนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน ไม่อาจหาหลักฐานมายืนยันได้ รู้เพียงว่ามันชอบพลิกเปิดหน้าหนังสือ ไม่แน่นอนว่าต้องเป็นหนังสือเล่มเก่าหรือใหม่ ลมนี้แผ่วเบาอย่างถึงที่สุด นักพรตธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึง หากถูกคนชักนำและดึงดูดเข้ามาในร่างกายแล้ว ลมขุมนี้จะไหลรินผ่านอวัยวะภายในร่างกายอย่างเชื่องช้า หากมักจะเปิดหน้าหนังสือ อ่านหนังสือบ่อยๆ ก็จะสามารถยืดอายุขัยให้ยืนยาวได้”
ฮ่องเต้เงยหน้า กล่าวอย่างประหลาดใจ “ดีขนาดนี้เชียว? แล้วในต้าสุยของพวกเรามีหรือไม่?”
ขันทีเฒ่าที่ทั้งเส้นผมและขนคิ้วต่างก็เป็นสีขาวโพลนส่ายหน้า “แต่ไหนแต่ไรมามักมีแต่สำนักศึกษาหรือโรงเรียนของลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่จะได้ครอบครองลมเปิดหน้าหนังสือนี้ สถานที่อื่นๆ ล้วนไม่มี ต่อให้เป็นสำนักของลัทธิเต๋าหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ ฯลฯ ก็ยังหาไม่พบแม้แต่เสี้ยวเดียว”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “โชควาสนาท่ามกลางฟ้าดินมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายก็แต่กว่าเหรินคือฮ่องเต้”
ขันทีเฒ่ายิ้มน้อยๆ “นี่คือความโชคร้ายของฝ่าบาทคนเดียว แต่กลับเป็นความโชคดีของประชาชนนับหมื่นในต้าสุย”
ชายที่สวมชุดคลุมมังกรหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ทรงโสมนัสเป็นล้นพ้น
ฮ่องเต้วางหนังสือลง พลันถามขันทีที่ยืนอยู่นอกประตู “ควรจะให้เกาเซวียนไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”
ขันทีเฒ่าส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “แม้ว่าการเดินทางไปถ้ำสวรรค์หลีจูครั้งก่อนจะมีอันตราย แต่กลับได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล แทบจะเรียกได้ว่าองค์ชายคือคนเดียวที่ครอบครองโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าสองอย่าง เรื่องไปขอศึกษาคงไม่จำเป็นอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อองค์ชายกล้ารับปากว่าจะตามบ่าวเฒ่าเดินทางไปยังถิ่นของต้าหลีแคว้นศัตรู เดิมทีนี่ก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่บนมหามรรคาแล้ว”
ฮ่องเต้พยักหน้า กล่าวปลงอนิจจัง “หากว่ากันตามนี้ เซวียนเอ๋อร์ก็โชคดีกว่ากว่าเหรินมากนัก”
แต่แล้วฮ่องเต้ก็นวดคลึงจุดไท่หยาง เอ่ยอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “แต่เจิ่นเอ๋อร์กลับต้องเจ็บตัวอย่างอยุติธรรมไปเปล่าๆ กว่าเสด็จแม่ของเขาจะเกลี้ยกล่อมให้เขาไปยังพื้นที่ศักดินาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดีอย่างมา แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าเกาเซวียนผู้นี้กลับเรียกแทนตัวเองว่าเกาเจิ่นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ทำเอาเด็กสาวคู่แค้นที่พบเจอกันโดยบังเอิญคนนั้นพาเซียนกระบี่จากทวีปอื่นหลายคนเยื้องกรายลงมาจากฟ้าเพื่อเล่นงานเจิ่นเอ๋อร์ แม้จะบอกว่าหลังจบเรื่องนางรู้ว่าตัวเองจำคนผิด จึงมาขอโทษแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเจิ่นเอ๋อร์นิสัยอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กจึงตกใจไม่น้อย”
“นี่คือความผิดของบ่าวเฒ่า หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ควรวู่วามขนาดนั้น”
ขันทีร่างสูงใหญ่โค้งตัวเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
ฮ่องเต้ต้าสุยโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่ต้องคิดมาก ใช่แล้ว ตรวจสอบเจอตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาวคนนั้นหรือยัง?”
ขันทีส่ายหน้า “ยาก รู้แค่ว่าเป็นบุคคลของทางฝ่ายภูเขาห้อยหัว ไม่แน่ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยุ่งยากมากจริงๆ”
ฮ่องเต้ต้าสุยถอนหายใจกล่าวว่า “ตรวจสอบไม่เจอความจริงก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะอย่างไรซะผู้ฝึกกระบี่ของทางแถบเหนือก็ไม่ได้อยู่ในทวีปที่กว้างใหญ่ แต่หากเกี่ยวพันกับภูเขาห้อยหัวหรือกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มักจะยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง สถานที่สองแห่งนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของใต้หล้าพวกเรามาโดยตลอด”
สุดท้ายฮ่องเต้ต้าสุยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ประเด็นสำคัญคือไม่ได้มีอยู่แค่แห่งเดียว”
……
ตอนนี้หลินโส่วอีพักอยู่ในหอพักเพียงลำพัง เพื่อนร่วมหอพักคนอื่นๆ ที่มาจากต้าสุยต่างก็ย้ายออกไปพักที่อื่นกันหมดแล้ว
วันนี้หอพักที่เดิมทีเงียบสงบกลับเปลี่ยนมาเป็นครึกครื้น
หลินโส่วอีนั่งพิงหมอน หลับตาทำสมาธิ
หลี่เป่าผิงกอดดาบยันต์มงคล นั่งหน้าดำอยู่บนหัวเตียง
หลี่ไหวยืนห่างออกไปไกล ทำหน้าน่าสงสารเหมือนอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้อง
เด็กชายปลุกความกล้าให้ตัวเองด้วยการเดินออกไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปขอโทษสามคนนั้นดีไหม? ทางสำนักศึกษาก็บอกแล้วว่าหลี่ฉางอิงคือนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว ขนาดฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังให้ความสำคัญ อีกอย่างยังพูดกันด้วยว่าเขาคือเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
หลี่เป่าผิงคล้ายแมวป่าตัวน้อยที่ขนตั้งชันเพราะถูกเหยียบหาง นางหันขวับมาจ้องหลี่ไหวเขม็ง กระชากเสียงขุ่นเคือง “ขอโทษอะไรกัน? หลี่ไหวเจ้าเรียนหนังสือมายังไง! หากท่านอาจารย์และอาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่จะต้องถูกเจ้าทำให้โมโหตายแน่!”
หลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้หลบไปร้องไห้คนเดียว เขาแข็งใจพูดเสียงสะอื้น “เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นเพราะข้า หลินโส่วอีถึงได้บาดเจ็บ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ ข้าไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นตีตาย…แต่หลี่เป่าผิงเจ้าจะทำอย่างไร หากเฉินผิงอันรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บเพราะข้า เขาต้องเกลียดข้าจนตาย เขาต้องไม่สนใจข้าอีกไปชั่วชีวิตแน่ๆ …”
ในที่สุดหลี่ไหวก็แผดเสียงร้องไห้จ้า ไม่ว่าจะยื่นมือมาเช็ดอย่างไร น้ำตาก็ไม่หยุดไหลเสียที
พอหลี่เป่าผิงเห็นท่าทางเสียอกเสียใจของหลี่ไหว คำพูดจากโทสะที่มารออยู่ตรงริมฝีปากจึงถูกนางกลืนกลับลงท้อง ก่อนกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “หลี่ไหว เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด เจ้าก็ไม่ต้องขอโทษ เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อาจารย์อาน้อยก็ไม่โทษเจ้าหรอก…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เป่าผิงก็มองหลี่ไหวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “เพราะหากอาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่ก็ต้องพูดกับเจ้าเหมือนกันว่า หลี่ไหว เจ้าทำถูกแล้ว!”
พอพูดถึงและนึกถึงเฉินผิงอัน หลี่ไหวก็ยิ่งเสียใจ นั่งยองอยู่บนพื้นแล้วร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “ในสำนักศึกษามีแต่คนเลว ถ้าเฉินผิงอันอยู่ต้องไม่ปล่อยให้หลินโส่วอีได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ไม่ปล่อยให้เจ้าหลี่เป่าผิงถูกคนด่า…”
หลินโส่วอีที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นยาถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงแค่คลี่ยิ้มขมขื่น
หลินโส่วอีรู้ดีว่าเบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ต้องมีคนช่วยผลักดันคลื่นมรสุมอยู่แน่นอน เขาไม่เข้าใจแผนการชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลังราชสำนักหรือเบื้องหลังตระกูลบางแห่ง แต่หากเฉินผิงอันอยู่ต่อในสำนักศึกษา เรื่องครั้งนี้อาจจะลุกลามใหญ่โตกว่าเดิม…แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยคนทั้งสามในห้องตอนนี้ก็ไม่มีทางเคว้งคว้าง คล้ายสูญเสียที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมดขนาดนี้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีความมั่นใจ
พวกเขาคุ้นชินกับวันเวลาที่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกายไปเสียแล้ว
หลายวันนี้ที่หลินโส่วอีนอนป่วยอยู่บนเตียง เขาคิดเรื่องอะไรได้มากมาย
จนกระทั่งป่านนี้ หลินโส่วอีถึงได้เข้าใจว่าการเลือกที่น่าหวาดหวั่นพรั่งพรึงมากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นบนภูเขาฉีตุน เรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน หรือเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการลอบสังหารจากจูลู่ บนบ่าของเฉินผิงอันต้องแบกรับภาระหนักหนาขนาดไหน แล้วก็เข้าใจว่าการตัดสินใจที่มองดูเหมือนไม่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ใครเป็นคนก่อไฟทำกับข้าว ใครเป็นคนเฝ้ายามตอนกลางคืน ควรจะเลือกเส้นทางอย่างไร ทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงแห่งไหนที่พวกเราจำเป็นต้องไปดู ฯลฯ นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน
น้ำเสียงหยอกเย้าดังขึ้นมาตรงหน้าประตู “โอ้ หลี่ไหว แม่ทัพใหญ่หลี่ของพวกเราร้องไห้เสียใจขนาดนี้เชียวหรือนี่”
หลินโส่วอีลืมตามามอง เอ่ยยิ้มๆ “เจ้ามาแล้วหรือ”
พอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ใบหน้าของหลี่เป่าผิงก็เต็มไปด้วยความสับสน
หลี่ไหวหันหน้าไปมอง สายตาอึ้งค้างอยู่บนร่างของเด็กสาวผิวดำแต่หุ่นอรชรอ้อนแอ้น ครั้นจึงสูดจมูกแล้วก้มหน้าหลั่งน้ำตาต่อไป
เซี่ยเซี่ยเอนหลังพิงประตู “สู้ไม่ได้ก็ต้องอดทนสิ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”
หลี่เป่าผิงขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เซี่ยเซี่ยถอนหายใจ “ช่วยไม่ได้ ต่อให้เจ้าให้ข้ายืมดาบยันต์มงคล ข้าก็เอาชนะวิญญูชนจอมปลอมอย่างเจ้าคนที่ชื่อหลี่ฉางอิงผู้นั้นไม่ได้”
กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะตะปูขังมังกรอันเหี้ยมโหดที่พันธนาการตบะส่วนใหญ่ของนาง นางเซี่ยหลิงเยว่ก็ไม่มีทางเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าขนาดนี้
เซี่ยเซี่ยพลันหันหน้ากลับไปมองด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นเดินมาอย่างเชื่องช้า มือสองข้างของเขาสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มตาหยีอยู่ตรงหน้าประตู ไล่กวาดตามองไปตั้งแต่เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ยืนอยู่ หลี่ไหวที่กำลังนั่งยอง หลี่เป่าผิงที่กำลังนั่ง และหลินโส่วอีที่กำลังนอนจนครบรอบหนึ่ง แล้วถึงได้ยิ้มถามน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าโทษว่าข้ามาช้าเลย ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้ายังรับมือกันได้”
หลินโส่วอีหลับตาลงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยต้อนรับคนสกุลหลูที่หลงเหลืออยู่ซึ่งมีความคิดลึกล้ำคนนี้มากนัก
อวี๋ลู่ไม่ได้โกรธเคืองเพราะเรื่องนี้ แต่เขากลับหุบยิ้ม “ข้ามาคราวนี้ก็เพราะอยากถามคำถามข้อหนึ่ง หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ เขาจะทำอย่างไร?”
หลี่ไหวนึกถึงมรสุมเมื่อครั้งอยู่บนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวาอย่างไม่มีเหตุผล จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เฉินผิงอันจะอธิบายเหตุผลดีๆ ก่อน”
หลี่เป่าผิงสีหน้าสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา “อธิบายเหตุผลจบ หากฝ่ายตรงข้ามมองดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับไร้เหตุผล อาจารย์อาน้อยก็จะใช้หมัดอธิบายเหตุผล!”
มุมปากของหลินโส่วอีตวัดโค้งขึ้นอย่างเงียบเชียบ
อวี๋ลู่ร้องอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”
แล้วเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็หมุนกายจากไปอย่างผ่อนคลายเช่นนี้
เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้วถาม “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
อวี๋ลู่หันหลังให้เด็กสาว โบกมือแล้วจากไปอย่างสง่างาม “ระหว่างที่เดินทางมาล้วนเป็นเฉินผิงอันที่เฝ้ายามในครึ่งคืนแรก ส่วนข้ารับผิดชอบครึ่งคืนหลัง เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
หลี่ไหวอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
หลี่เป่าผิงเบิกต้ากว้างมองไปทางหลินโส่วอี “อวี๋ลู่คงไม่ได้จะไปหาเรื่องวิญญูชนจอมปลอมผู้นั้นหรอกกระมัง?”
หลินโส่วอีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “คงไม่ใช่หรอก”
เซี่ยเซี่ยกลัดกลุ้ม “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเขาเหมือนจะไปหาเรื่องคนจริงๆ”
……
หลี่ฉางอิงชอบอ่านหนังสือ แล้วก็เชี่ยวชาญการอ่านหนังสือ ไม่เพียงแต่ผ่านตาแล้วไม่ลืม อีกทั้งยังสามารถสรุปจากเรื่องหนึ่งแล้วอนุมานไปได้อีกหลายเรื่อง เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างแท้จริง
ดังนั้นหอเก็บหนังสือใหม่เอี่ยมของสำนักศึกษาซานหยาจึงเป็นสถานที่ที่เขาชอบไปอยู่มากที่สุด
หอหนังสือไม่มีการห้ามเข้ายามวิกาล กลางดึกคืนนี้ หลี่ฉางอิงอาศัยแสงเทียนอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพัง เขาพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าคืออวี๋ลู่ใช่ไหม? มาหาข้ามีธุระรึ?”
อวี๋ลู่สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ค้อมตัวลงน้อยๆ ด้วยความเคยชิน พยักหน้ายิ้มตาหยี “มีสิ”
หลี่ฉางอิงที่สวมชุดขงจื๊อผู้มีเรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “โปรดพูด”
อวี๋ลู่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนถุงใบหนึ่งไปให้หลี่ฉางอิง ในถุงบรรจุเงินเต็มแน่น
หลี่ฉางอิงไม่เข้าใจ “นี่คือ?”
ร่างของหลี่ฉางอิงพลันขึงเกร็งคล้ายกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีภาพลักษณ์สุภาพมีมารยาท ไร้พิษสงมาโดยตลอดผู้นั้นเดินหน้ามาอย่างเชื่องช้า คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า “เงินซื้อยาของเจ้า หากไม่พอ ข้าก็ขอติดไว้ก่อนแล้วกัน”
—–