ตอนที่ 629 ใจกลางพิภพมืดมิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

นักบุญคนตัดไม้เคยพูดไว้ว่าบางสถานที่ในแผนที่ทั้งหลายของศิษย์พี่ใหญ่นั้นอันตรายอย่างสุดขีด แม้แต่เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป หรือเมืองเทพยดาแห่งนี้ก็จะเป็นหนึ่งในสถานที่อันตรายเหล่านั้นด้วย

ฉินมู่สายตาวูบวาบ เขาคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปในเมืองเทพยดา และเพียงแค่เดินอยู่จากข้างๆ

ระหว่างที่เดินเลียบข้างเมืองเทพยดา เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งจากหางตา เขาพลันหยุดชะงักเท้าทันที

“พุทธเจ้าท้าวสักกะ!”

ฉินมู่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก เขาเห็นพุทธเจ้าท้าวสักกะอีกคน หรือพูดให้ชัดก็คือ เขาเห็นพุทธเจ้าท้าวสักกะจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!

พุทธเจ้าท้าวสักกะในเวลานี้ยังไม่บรรลุเป็นพุทธเจ้า เขาเป็นเทพเจ้าที่มีรูปลักษณ์เยาว์วัยและใบหน้าประณีตหล่อเหลา ไม่มีวงรัศมีแสงพุทธธรรมข้างหลังศีรษะและเขาก็ไม่ได้สวมจีวร ทั้งไม่ได้เดินเท้าเปล่าอีกด้วย

เขาสวมรองเท้าติดปีกคู่หนึ่งและร่างของเขาก็สวมใส่ชุดเกราะทองคำ ในเวลานี้ พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่ใช่พุทธเจ้า เขาเป็นเทพเจ้าที่มีตำแหน่งสูงยิ่ง!

ฉินมู่ตกตะลึง

พุทธเจ้าท้าวสักกะมิได้อยู่ตามลำพัง เขาติดตามผู้ทรงอิทธิพลอำนาจหลายคนเดินตรงไปยังใจกลางเมือง

ฉินมู่หัวใจเต้นโครมคราม และลอบติดตามไปอย่างลับๆ ล่อๆ ผู้คนเหล่านั้นไม่ใส่ใจเขา แม้แต่เทพเจ้าที่ระวังภัยอยู่บนป้อมปราการเมืองก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขาด้วยเช่นกัน

ฉินมู่พิศวง ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากรอบแกรบ และเมื่อหันกลับไปดูก็เห็นโครงกระดูกจำนวนหนึ่งติดตามเขาไปด้วยท่าทีย่องเบา ดูลับๆ ล่อๆ อย่างสุดๆ

ฉินมู่ระเบิดหัวเราะออกมา พรายวิญญาณพวกนี้น่าตลกจริงๆ…เอ๊ะ นั่นไม่ใช่ล่ะ พรายวิญญาณพวกนี้กำลังเลียนแบบข้า งั้นคนที่ลับๆ ล่อๆ จริงๆ แล้วก็คือ…

สีหน้าเขาแดงฉาน และเขาก็ย่องต่อไปข้างหน้า เขามายังข้างกายของพุทธเจ้าท้าวสักกะและพยายามที่จะคว้าจับเสื้อผ้าของอีกฝ่าย ทว่าเขาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า

ฝ่ามือของเขาเพียงแต่ผ่านเสื้อผ้าของพุทธเจ้าท้าวสักกะไป ไม่แตะต้องโดนสสารอะไรเลย

ฉินมู่ตื่นตระหนกอีกครั้ง เขาเหวี่ยงมือเป็นวงกว้าง คราวนี้ฝ่ามือของเขาผ่านทะลุร่างกายของพุทธเจ้าท้าวสักกะ แต่ก็ไม่แตะต้องโดนอะไรสักอย่าง!

เมืองเทพยดาและเทพเจ้าเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง! ฉินมู่ตะลึงงัน หรือว่านี่จะเป็นเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์

เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์คือรูปเงาและเสียงของยอดยุทธฝีมือแกร่งที่ประทับรอยอยู่ในอวกาศ มันจะปรากฏก็ต่อเมื่อถูกแตะต้อง เงาร่างของผู้อ่อนแอจะไม่ถูกประทับรอยเอาไว้

แต่ทว่า มีเมืองทั้งเมืองอยู่ที่นี่ และมีสามัญชนอยู่จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์

และในเมื่อเขาไม่อาจแตะต้องโดนมนุษย์และเทพในเมืองแห่งนี้ นี่ก็หมายความว่า เขาไม่ได้ย้อนกลับสู่อดีต!

ถ้าอย่างนั้น เมืองเทพยดานี้มันคืออะไรกันแน่

พุทธเจ้าท้าวสักกะและผู้คนเหล่านั้นเดินไปสนทนาไป เมื่อมองดูท่วงทีการวางตนของพุทธเจ้าท้าวสักกะ ผู้คนเหล่านี้น่าจะเป็นตัวตนอันโดดเด่นเหนือธรรมดา และศักดิ์ฐานะของพวกเขายังอาจจะเหนือล้ำกว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะเสียอีก

ฉินมู่เดินเข้าไปข้างหน้าพวกเขาเหล่านั้น และมองดูผู้คนให้ถนัดชัดเจน แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้า เขาก็ตกตะลึง

ใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นว่างเปล่า แต่ละใบหน้าไม่มีดวงตาจมูกปาก มันเหมือนกับแผ่นกระดาษขาวที่แปะบนใบหน้าของพวกเขา

โครงกระดูกพวกนั้นตามเขา และเดินอ้อมมาข้างหน้าเช่นกัน ขากรรไกรของพวกมันตกลงถึงพื้น และเห็นได้ชัดว่าพวกมันก็ตกตะลึงด้วย

วืด

พุทธเจ้าท้าวสักกะและคณะเดินผ่านร่างของฉินมู่ เขานั้นกำลังตะลึงลาน ไม่อาจรู้สึกได้ว่ามีอะไรผ่านร่างของตนไป

เขายื่นมือออกและคว้าจับไปที่ผู้คนเหล่านั้น แต่ก็ไม่อาจจับต้องอะไรได้

โครงกระดูกพวกนี้คลำไปตามพื้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ เพื่อหาขากรรไกรที่พวกมันทำหล่น เมื่อเทพเจ้าเหล่านี้เดินผ่านพวกมันไป พวกมันก็จะตัวสั่นเทิ้มและหมอบลงกับพื้นไม่กล้ากระดุกกระดิก

พรายวิญญาณหนึ่งตนในบรรดาพวกโครงกระดูก ซึ่งน่าจะเป็นตนที่สมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากมันร้องออกมา “ผี…”

ฉินมู่เดินอ้อมรอบๆ โครงกระดูก และเดินตามทันรูปเงาเหล่านั้นพลางคิดในใจ เมื่อครู่นี้พวกโครงกระดูกไม่ได้เลียนแบบข้า ข้าไม่ได้ตกใจกลัวและทรุดลงไปหมอบ

พุทธเจ้าท้าวสักกะกำลังสนทนากับผู้คนเหล่านั้น เสียงของเขารางเลือนและแทบจะฟังไม่ได้ยิน

แต่ทว่า ในไม่ช้า เสียงของเขาก็ชัดเจนขึ้น ฉินมู่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาได้ยินแต่เสียงของรูปเงาไร้หน้าที่ดูเป็นที่นับถือที่สุดในกลุ่ม “…ก่อนยุคสมัยของพวกเรา ยังคงมีอีกหลายยุคสมัย ครั้งหนึ่งข้าเคยออกไปเสาะหาซากโบราณของยุคสมัยเหล่านั้น พยายามที่จะแสวงหาแหล่งที่มาของศัตรู อยากจะเห็นว่าใครกันแน่คือศัตรูของพวกเรา ข้าไปที่แดนใต้พิภพและถามภูติบดี ข้ายังไปพบเทพสรรพชีวิตที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์การโคจรของดวงดาวนับล้านล้าน และยังไปพบเทพก่อนฟ้าดินแห่งดวงดาวทั้งหลาย เมื่อจะว่าไปแล้ว มันก็ค่อนข้างน่าสนใจ ข้าค้นพบบางอย่างที่อาจจะมีประโยชน์ แต่ศัตรูของพวกเราไม่เหมือนกับที่พวกเราได้จินตนาการเอาไว้ สภาสวรรค์…”

ฉินมู่เคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อรับฟัง และเสียงนั้นก็กลายเป็นเบาลงอีกครั้ง

“ก่อนที่จะคิดถึงชัยชนะ พวกเราต้องนึกถึงความพ่ายแพ้เสียก่อน สักกะ ข้าต้องการให้เจ้าทำบางอย่างให้ข้า ไปรวบรวมช่างฝีมือชั้นเยี่ยมทั้งหลายในโลกหล้ามาและหลอมสร้างสถานที่ที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้หลังจากความพ่ายแพ้ รักษากำลังส่วนหนึ่งของพวกเราเอาไว้เพื่อย้อนกลับมา เมื่อข้ากำลังเสาะหาความลับของสภาสวรรค์ ข้าได้พบกับสถานที่มหัศจรรย์…”

เสียงนั้นค่อยลงทุกทีๆ จนกระทั่งมันไม่อาจได้ยินถนัดอีกต่อไป

ฉินมู่ยังติดตามพวกเขาไปต่อ และเสียงก็ยิ่งเบาหวิวลงเรื่อยๆ จนเขาไม่อาจได้ยินอะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาเดินไปข้างหน้า รูปเงาของพุทธเจ้าท้าวสักกะและคนอื่นๆ ก็ยิ่งเลือนราง เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเคหาสน์แห่งหนึ่ง เทพเจ้าที่อยู่สองข้างประตูก็ปิดมันลงไป และรูปเงาของพุทธเจ้าท้าวสักกะกับคนอื่นๆ ก็พลันหายวับ!

ฉินมู่ตกตะลึง เขาเดินเข้าไปในเคหาสน์นั้นพร้อมกับเทพเจ้าทั้งหลาย และเมื่อประตูปิดลงไป พุทธเจ้าท้าวสักกะและคนอื่นๆ ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา!

สถานการณ์แบบนี้ มันน่าจะเป็น…สายตา!

ฉินมู่ก้มหน้าลงและครุ่นคิด เขาเงยหน้าขึ้นและดวงตาก็ลุกวาวแจ่มใส เขาทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ “มันคือสายตา! จะต้องมีใครบางคนเห็นภาพนี้เมื่อสองหมื่นปีก่อนระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และเขาได้แปรเปลี่ยนทุกอย่างที่เขามองเห็นเป็นส่วนหนึ่งความทรงจำของเขา! บัดนี้ข้าอยู่ในความทรงจำ! ศิษย์พี่ใหญ่และข้าได้เข้ามาในความทรงจำของคนผู้นี้! ความทรงจำนั้นเป็นสิ่งที่ฉายส่องอยู่ในจิตคิดจากสิ่งที่เจ้าตัวมองเห็น และบุคคลที่มองเห็นภาพนี้ก็ไม่ได้เข้าไปในเคหาสน์ ดังนั้นรูปเงาของพุทธเจ้าท้าวสักกะและคนอื่นๆ จึงหายวับไปหลังจากที่เดินเข้าไปในเคหาสน์…”

เขาเดินทะลุประตูและออกมาข้างนอกเพื่อค้นหาที่มาของสายตา เขามองไม่เห็นใบหน้าของตัวตนเหล่านั้น งั้นนี่ก็แปลว่ากำลังฝีมือของตัวตนเหล่านั้นแข็งแกร่งเกินไป ใบหน้าของพวกเขาคงถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงเทวะ ดังนั้นบุคคลผู้นี้จึงไม่อาจมองเห็นได้ชัด บุคคลพวกนี้ในความทรงจำของพวกเขาจึงไม่มีใบหน้า! ถ้าอย่างนั้น ที่ไหนกันที่เขาเห็นภาพแบบนี้…

ฉินมู่เดินย้อนเส้นทางที่เขาเดินมาและคิดในใจ บุคคลผู้นี้น่าจะมีรูปลักษณ์แปลกประหลาด เขาน่าจะเป็นคนหลายหัวอันสามารถมองไปในทุกทิศทางได้…

มีเทพเจ้าและผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมาในเมือง ยากที่จะระบุว่าภาพนี้เป็นความทรงจำของเทพตนใด

เมืองเทพยดาน่าจะเป็นสถานที่อันสำคัญยิ่งยวดในสวรรค์ไท่หมิง จำนวนของเทพเจ้าที่อยู่ที่นี่นั้นมากมายจนเหลือเชื่อ และหลายต่อหลายคนก็ได้บ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมอันแปลกประหลาดและหลากหลายต่างกันไป

จิตวิญญาณดั้งเดิมของสี่มหากายาวิญญาณในแดนโบราณวินาศ สามารถพบเห็นได้อย่างดาษดื่นที่นี่ เทพเจ้าที่มีศีรษะมนุษย์และร่างงูก็ยังมีให้เห็น และยังมีเทพเจ้าที่ร่างคนหัวนก หรือหัวคนร่างนก มีรูปลักษณ์ต่างๆ นานามากมาย และเทพเจ้าที่มีหลายหัวก็ไม่ใช่ของหายาก

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเทพเจ้าก็จะผ่านร่างเขาไปเป็นระยะๆ กระนั้นเขาก็ไม่อาจหาตัวคนที่จะมองเห็นภาพทั้งหมดนี่ได้

ทั้งเมืองเทพยดาถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากความทรงจำ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้นี้จะต้องยืนอยู่บนที่สูง มีก็แต่อยู่บนที่สูงเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองและประทับรอยไว้ในหัวของเขาได้…

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองไปยังหอคอยสังเกตการณ์ มีเทพเจ้าอยู่นั่นซึ่งไม่มีหน้าด้วยเช่นกัน!

ฉินมู่เหาะขึ้นไปบนอากาศ และเขาไปยังหอสังเกตการณ์สูงอย่างรวดเร็ว เขาเหาะไปรอบๆ เทพตนนี้และเห็นว่าเทพนี้มีใบหน้าสี่หน้าบนหัวเดียว เขามีดวงตาเก้าดวงตรงหว่างคิ้วของเขา ปิ่นปักผมบนศีรษะของเขาเหมือนกับฉัตรเจดีย์ บนยอดของฉัตรนั้นก็ยังมีดวงตาอีกหนึ่งดวงที่สามารถมองไปได้ทุกทิศทาง

เป็นเจ้านี่เอง! ข้าได้ตกลงไปในความทรงจำของเจ้า!

ฉินมู่ปีติยินดีและสืบเท้าก้าวเข้าไปในร่างของเทพตนนี้

ทันใดนั้นทิวทัศน์โดยรอบของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเมืองเทพยดาก็พังทลาย ผู้คนและเทพเจ้าทั้งหมดในเมืองหายวับ

โครงกระดูกในเมืองเทพยดานั้นกำลังตัวสั่นเทาอยู่กับพื้น เมื่อเมืองเทพยดาปลาสนาการไป ก็เหลือแต่กำแพงหักพังและกองกระดูกขาวโพลนไปทั่วทุกแห่ง โครงกระดูกเหล่านี้ตื่นตกใจและวิ่งพล่านไปทั่วทุกที่เหมือนกับไก่หัวขาด

ตรงที่หอคอยสังเกตการณ์ควรจะตั้งอยู่นั้น ตอนนี้มันเป็นหลุมลึก โครงกระดูกหนึ่งยืนไม่มั่นและร่วงตกลงไป ส่งเสียงร้องโหยหวนยาว

ฉินมู่พยายามจะเหยียบไปบนอากาศ แต่ก็ต้องตื่นตระหนก เพียงแค่เขากำลังจะขับเคลื่อนทักษะเทวะเหินหาว เขาก็พลันรู้สึกว่ามีเขตพลังประหลาดที่ลบล้างทักษะเทวะทั้งหมดของเขา

ร่างของเขาร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของโครงกระดูกที่ข้างหูของเขา เขารีบยกมือขึ้นและปราณชีวิตของเขาก็ยิงออกไปทุกทิศทาง ในที่สุดปราณชีวิตก็คว้าจับบางอย่างได้ และเขาก็ตั้งตัวสำเร็จ

ถัดไปนั้น ฉินมู่ยิงเส้นสายปราณชีวิตออกไปเพื่อคว้าตัวโครงกระดูกอันกำลังร่วงหล่นเอาไว้ ด้วยการดีดเบาๆ โครงกระดูกนี้ก็ลอยออกไปและร่วงลงนอกหลุมลึก มันตกตะลึงและไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น

โครงกระดูกตนอื่นๆ ก้าวออกมาข้างหน้า พวกมันอ้าขากรรไกรไปมาเพื่อปลอบโยนเขาอย่างเงียบงัน

โครงกระดูกอีกพวกหนึ่งไปที่ปากหลุมเพื่อมองลงไป พวกมันถึงกับมองเห็นโลกอันกว้างใหญ่และกลวงโล่งข้างใต้ซากโบราณของเมืองเทพยดา ข้างในเป็นความมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้ว และพวกมันก็ไม่รู้ว่าหลุมนี้ลึกและกว้างสักแค่ไหน

ฉินมู่ห้อยตนเองไว้บนเส้นด้ายปราณชีวิตเหมือนกับแมลงตัวเล็กๆ ที่ห้อยอยู่บนใยตนเองท่ามกลางความมืดอันไร้ขอบเขต เขาดูเล็กจิ๋วอย่างยิ่งยวด

พวกโครงกระดูกหันไปมองหน้ากันไปมา ก่อนจะตัดสินใจจับขากันและกันห้อยต่อกันเป็นเส้น พวกมันพยายามสร้างเส้นเชือกกระดูกขาวเพื่อช่วยเหลือฉินมู่

ในตอนนั้นเอง บางอย่างก็ฉายส่องในความมืด ลำแสงสาดส่องมา แต่เพราะว่ามันไกลเกินไป ฉินมู่จึงมองอะไรไม่ถนัด

เขาขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า แต่เพียงแค่เขาขับเคลื่อนมัน ทักษะเทวะของเขาก็กระจัดกระจายและดวงตาของเขาก็แทบระเบิด เขารีบล้มเลิกความพยายามทันที

“ขอบใจพวกเจ้ามาก!”

ฉินมู่ขึ้นมาถึงปากหลุมมืดและเขาก็เก็บเส้นด้ายปราณชีวิตของตนกลับไป ด้วยหัวเขาห้อยลงและขาชี้ฟ้า ขาเขาก็เกาะอย่างแน่นหนากับผนังหิน เขาตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “ข้าจะลงไปดูข้างล่างก่อน พวกเจ้าค่อยมาช่วยข้าทีหลัง!”

ที่ปลายสุดเส้นเชือกกระดูกขาว โครงกระดูกนั้นสายหัวง่อกแง่ก ฉินมู่พลันถีบตัวออกไปด้วยกำลังแรง เขาพุ่งตัวไปราวกับลูกธนูไปยังที่มาของแสงนั้น

ในความมืดอันไร้ขอบเขต เด็กหนุ่มเหมือนกับจมลงไปในทะเลมืด และข้างๆ เขาก็มีเพียงแค่เสียงลมหวีดหวิว