บทที่ 192 ใช้ปัญญาขจัดคนพาล

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 192 ใช้ปัญญาขจัดคนพาล

ถ้าเฉียวกังนั้นต้องจ่ายแก่นคริสตัลเท่ากับที่เฉินเฉียงเอ่ยขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้เขาขายตัวยังไม่ได้มันมาเลยสักอัน

แต่คำพูดของผู้คนบางคนที่สงสัยที่เองทำให้เขานั้นนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

“เฉินเฉียง นี่เจ้าคิดจะมาก่อกวนข้ารึไง”

เฉียวกังได้ผุดลุกขึ้นยืนในทันทีและมองไปที่เฉินเฉียงอย่างเขม็ง

“โฮ่ นี่มัน อันดับสี่ แห่งการประลองสี่สำนักที่ชื่อเฉียวกังไม่ใช่เหรอ” เฉินเฉียงแกล้งทำเป็นประหลาดใจก่อนที่จะชี้ไปที่เฉียวกังและหันไปถามเจิ้งยี่โดยเน้นไปที่อันดับสี่อย่างชัดถนัดถนี่

“ศิษย์พี่เจิ้ง ถึงแม้ว่าพวกเรานั้นจะเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองของการประลองแต่ก็ไม่เท่ากับเฉียวกังที่โชคดีมหาศาลเลยจริง”

เพียงแค่วันเดียวเขาก็สามารถมาซื้อของเหมาไปทั้งร้านหอสมบัติแห่งนี้ได้ ช่างร่ำรวยนัก

เฉียงกังได้เม้มปากไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ตัวข้าคงไม่อาจเรียกว่าคนร่ำรวยได้หรอก ข้าแค่มีปัญญาซื้อกำไลสื่อสารทั้งหมดที่ทำพังไปนี่เพียงเท่านั้น”

“ก็ไม่เหมือนกับใครบางคนที่มีอันดับที่สูงกว่าแล้วยังมีปัญญามาซื้อของล้ำค่าได้โดยไม่สนเรื่องเป็นตายแม้แต่น้อย”

“หากดูจากเรื่องเงินแล้ว เข้าเชื่อว่าเป็นเจ้าต่างหากที่ซื้อของทั้งร้านหอสมบัติแห่งกันหนันแห่งนี้ได้”

“ตัวข้าต่างหากที่ทำตัวน่าขบขัน”

“เจ้าของร้าน ขอแสดงความยินดีด้วย ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่เขานั้นกล้าทำลายของที่มูลค่ากว่าสิบล้านแก่นคริสตัลนายพลขั้นกลางไปได้อย่างไม่แยแส เขาช่างร่ำรวยจริงๆ”

ด้วยการที่เจ้าของร้านนั้นคือพ่อค้าอย่างแท้จริง เพียงได้ยินคำพูดนี้เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเจ้าของร้านได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รีบเอ่ยปากกับพนักงานของตนในทันที “ยืนทำซากอะไรล่ะ รีบไปรายงานท่านผู้การเร็วเข้าว่ามีใครบางคนมาทำลายของในร้านของพวกเราโดยใช้เรื่องการจะเข้าร่วมเขตแดนจักรพรรดิมาอ้าง”

“ได้ครับ หัวหน้า ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้” พนักงานคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในลูกจ้างขั้นเทพที่รู้ใจนายจ้างของเขาเป็นอย่างดี เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้วเขาก็รีบผสมโรงไปในบัดดล

“หยุดก่อน”

เฉียวกังรีบหยุดพนักงานคนนั้นด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

“ไอ้อ้วนเจ้าของร้าน นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ข้าเป็นถึงองครักษ์ของตึกจอมพลภาคกลางเลยนะเว้ย หากแกกล้าทำแบบนั้นล่ะก็ ธุรกิจของแกต้องจบลงไม่สวยแน่”

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้รีบโบกมือไปมาข้างนอกในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “พี่น้องทั้งหลาย พวกเท่านได้ยินรึเปล่า องครักษ์เฉียวนั้นกล้าที่จะทำเรื่องหน้าไม่อายอย่างการทำลายข้าวของในร้านค้าแล้วยังข่มเหงไม่ยอมให้ไปรายงานอีก”

“พวกเราต่างก็ขึ้นชื่อว่าเป็นวีรบุรุษและพร้อมพลีชีพเพื่ออนาคตของมนุษยชาติ แต่ในหมู่พวกเราจะให้คนแบบนี้มาทำลายชื่อเสียงได้ยังไงกัน”

“หากว่ามีคนมาที่เขตกันหนันและรับรู้เรื่องนี้ในภายภาคหน้าล่ะก็ พวกท่านลองนึกดูสิว่าเจ้าของร้านคนนี้จะต้องประสบความยากลำบากขนาดไหน”

“พวกเราต่างก็ต้องสู้ในศึกนองเลือดอยู่แนวหน้า แต่มีใครบางคนกลับใช้กำลังกดขี่ข่มเหงผู้บริสุทธิ์อยู่ด้านหลังแบบนี้ นี่มันเป็นการทำลายคุณงามความดีของพวกเราชัดๆ นี่เฉียวกังเป็นคนแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย”

คำพูดของเฉินเฉียงนั้นได้ไปกระตุ้นโสตประสาทของทุกคนที่อยู่นอกร้านที่ไม่พอใจกับการกระทำกร่างไปทั่วของเฉียวกังอยู่แล้ว นั่นก็เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้รับกำไลสื่อสารเลยสักอันทั้งที่เวลาล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ แถมตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางของเฉียวกังแล้วยิ่งอยากจะทำให้ทุกคนส่งเฉียวกังเข้าคุกไปให้มันพ้นๆหน้า

“เจ้าพูดถูกต้องแล้ว ทำไมพวกเราไม่กำจัดขยะของมนุษยชาติกันล่ะ”

“เขาไม่เพียงจะไม่ซื้อหาห่าเหวอะไรเลยสักชิ้น แล้วยังไม่ทำเป็นอวดร่ำอวดรวยอีก”

“ข้าว่าพวกเราส่งตัวพวกมันไปให้ผู้การแห่งกันหนันและใช้ศาลทหารตัดสินพวกมันถึงจะดีที่สุด”

เหล่าผู้คนด้านนอกต่างก็เริ่มไม่พอใจหลังจากถูกหลางซานเอ๋อกระตุ้นจากด้านนอก

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นด้านนอกนี้เองทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างเฉียวกังรีบแนะนำออกมา “กัปตันเฉียว หากเรายังไม่หยุดล่ะก็ ทุกคนจะโกรธกันยิ่งกว่านี้นะ”

“แล้วถ้าเรื่องนี้ไปเข้าหูผู้การของพวกเราท่านจ้าวล่ะก็ ข้าว่าเรื่องนี้จบไม่สวยแน่”

เมื่อเฉียวกังได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี เขามองไปที่ชายเจ้าของร้านร่างอ้วนที่ยังคงทำจมูกฟืดฟาดราวกับฉุนเฉียว

“ไอ้อ้วน อย่าได้มาขู่ข้าโดยเอาเรื่องผู้การแห่งตึกจอมพลภาคกลางมาขมขู่จะดีกว่า”

“ถามหน่อยเถอะว่าเจ้านั้นจะบอกท่านผู้การไปเรื่องอะไรกัน”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึไงว่ากำไลสื่อสารของเจ้านั้นห่วยแตกแค่ไหน”

“เหอะ กำไลแบบนั้นเนี่ยนะสิบล้านแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลาง”

“แค่ข้าให้แกหมื่นเดียวก็บุญหัวแล้ว”

หลังจากพูดจบ เฉียวกังก็ได้นำแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางออกมาหมื่นนึงแล้วโยนให้เจ้าของร้าน

เมื่อเจ้าของร้านได้รับมาก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองอีกต่อไป เขาได้รีบหันไปขอโทษเฉินเฉียงในทันที “ท่านแขกผู้มีเกียรติ กับเรื่องนี้ข้าคิดว่าได้เท่านี้ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรแล้ว กลับร้านเล็กๆของข้านั้นคงไม่อาจจะต้านทานคนใหญ่คนโตของตึกจอมพลภาคกลางผู้นี้ได้”

“เพียงได้มาเท่านี้สำหรับข้าก็ดีพอแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ”

หลังจากพูดจบเขาก็ได้เก็บกำไลสื่อสารเหล่านี้ไป

ความจริงแล้วกำไลพวกนี้ หากเขาขายจริงๆต่อให้รวมกันก็ยังได้เพียงสองพันเท่านั้นเพราะต้องลดราคาครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยการพูดของเฉินเฉียงนั้นทำให้เขาได้รับมากว่าห้าเท่า นี่ทำให้เขาพึงพอใจแล้ว

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็รู้ในทันทีว่าเจ้าของร้านไม่ต้องการเล่นด้วยแล้ว ยังไงซะ คนทำธุรกิจเองก็ไม่ต้องการให้ตนเองต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่แล้ว

แต่เรื่องที่ว่าเฉียวกังคิดจะหาเรื่องกองกำลังเทียนเว่ยนั้น มีหรือที่เขาจะยอม

“เจ้าของร้าน ในเมื่อเจ้ายอมความในเรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีก”

“อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วที่ข้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการซื้อกำไลสื่อสารให้เหล่าพี่ชายของข้า”

“นั่นไม่เป็นปัญหา”

เจ้าของร้านยินดีในทันที

ด้วยการกระทำของเฉินเฉียงทำให้เขาได้เงินมาก้อนโต เขานั้นย่อมไม่มีปัญหาที่จะมอบกำไลสื่อสารให้เฉินเฉียงไปฟรีๆเป็นการตอบแทน

“พนักงาน ไปนำกำไลสื่อสารทั้งหมดในร้านออกมา ข้าจะให้แขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้เลือกดู”

“ได้ครับ”

พนักงานรีบตอบรับอย่างเร็วรี่

“ช้าก่อน”

เฉียวกังที่มีท่าทีที่มืดครึ้มได้พูดออกมา “ไอ้อ้วนเจ้าของร้าน นับจากนี้ข้าจะซื้อกำไลสื่อสารทั้งหมดของร้านเจ้า”

เมื่อเจ้าของร้านได้ยินก็รีบหันไปหาเฉินเฉียงด้วยท่าทีอิดออด

นั่นก็เพราะไม่ว่ายังไงซะ เฉินเฉียงเองนั้นคือคนของผู้การแห่งกันหนัน หากท่านผู้การรู้เข้าล่ะก็ เขานั้นอาจจะเข้าหน้าเฉินเฉียงไม่ติดอีกต่อไป

แต่ในตอนนี้ เฉียวกังได้ยินดีที่จะจ่ายเงินก้อนโตเพื่อเหมากำไลสื่อสารทั้งหมด เขานั้นในฐานะนักธุรกิจย่อมต้องเห็นเงินมาก่อนส่งอื่นใด

และยิ่งไปกว่านั้นคือ เขามองๆดูแล้ว เฉียวกังผู้นี้มีเงินพอที่จะจ่าย

เมื่อเห็นท่าทางของเจ้าของร้านแล้ว เฉินเฉียงก็รีบยกมือไล่เจ้าของร้านในทันที “เจ้าของร้าน เจ้าเองเป็นคนค้าขายนา ข้านั้นย่อมไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจหรอก”

“ในเมื่อตอนนี้มีผู้ซื้อสองคน คนที่ให้เงินสูงกว่าย่อมได้มันไป”

“ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเจ้าก็เอาออกมาให้หมดนั่นแหละ ใครให้แก่นคริสตัลมากกว่าก็ได้มันไป เฉียวกังและข้าเองจะเป็นคนเสนอราคา แล้วให้เจ้าเลือกคนใดคนหนึ่งไปก็พอ เจ้าคิดว่ายังไง”

เฉียวกังได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน

เฉินเฉียงเองก็ได้หันคอไปมาพลางดมกลิ่นไปทั่วแล้วถามออกมา “เจิ้งยี่ จางหยวน พวกเจ้าได้กลิ่นนั่นรึเปล่า”

“ครับ?” เจิ้งยี่และจางหยวนขานออกมาในเวลาเดียวกันอย่างสับสน

“ทำไมฉันรู้สึกว่ามีใครบางคนอั้นตดไม่ไหวนะ แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะ มันไม่เหม็นเลย อืมสงสัยว่าจะไม่ได้ปล่อยออกมาจากทางก้นซะล่ะมั้ง ”

หลางซานเอ๋อและเหรินหมิงผู้ซึ่งมีภูมิคุ้มกันด้านนี้ต่ำอยู่แล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ได้หัวเราะออกมาอย่างท้องคับท้องแข็ง

เฉียวกังที่ได้ยินก็โกรธถึงขีดสุดและพูดออกมา “เฉินเฉียง กองกำลังของแกมันเล็กเพียงเท่านี้แล้วแกจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเรากัน”

หลังจากพูดจบ เฉียวกังก็ได้นำแหวนที่มีแก่นคริสตัลห้าล้านออกมาวางไว้ต่อหน้าชายเจ้าของร้านร่างอ้วน

พวกมันคือแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางห้าล้านก้อน

ด้วยแก่นคริสตัลจำนวนเท่านี้ เพียงพอที่จะเหมาของในร้านนี้ได้ไปกว่าครึ่ง

คนรวยนี่ช่างทำตัวสมกับเป็นคนรวยจริงๆ