บทที่ 168 ดูดซับ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 168 ดูดซับ (2)
ฟุ่บ

เปิดแผนที่ยาล้ำค่าออกมา จุดเล็กๆ มากมายด้านบนพลันโผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง

เขาจดจ้องที่อยู่ของยาชนิดหนึ่งอย่างรวดเร็ว

‘คุมตัวสตรีกางร่มไว้ได้ชั่วคราว นางช่วยปิดบังได้ แต่จะช้าจะเร็วต้องมีวันที่ความแตก…’ ลู่เซิ่งใช้นิ้วไล้แผนที่เบาๆ

‘เย่หลิงม่อ…ผู้คุมจัตุรัสแดง…ตึงมือจริงๆ…’ เขาขมวดคิ้ว พลังของผู้คุมจัตุรัสแดงเหนือกว่าความคาดหมายของเขา ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ไม่พูดถึงที่ต้องสู้คนเดียว ต่อให้มีสามคน ก็ไม่คณนามือผู้คุมจัตุรัสแดง

จากคำบรรยายของสตรีกางร่มต่อผู้คุมจัตุรัสแดง เย่หลิงม่อยังไม่ใช่คู่มือของนาง ผู้คุมจัตุรัสแดงมีพลังแข็งแกร่งเกินไปแล้ว

“ใช่รู้สึกตึงมือมากหรือไม่” ทันใดนั้นเสียงบุรุษแหลมคมพลันดังในห้องหนังสือ

“ผู้ใด!”

ลู่เซิ่งสายตาเคร่งเครียด ตาข่ายโลหิตทั่วร่างพลันระเบิด ควันสีเลือดหลายสายพุ่งออกไปรอบๆ คิดจะคลุมมุมทั้งหมดที่ซ่อนตัวได้ในห้องหนังสือเอาไว้

“พวกเราไม่มีเจตนาร้าย” เสียงแหลมคมนั้นพูดต่อ ไม่ได้รับผลจากตาข่ายโลหิตแม้แต่น้อย “พวกเรากับผู้คุมจัตุรัสแดงเป็นศัตรูกัน”

ลู่เซิ่งตรวจสอบรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดคุยกับเขาอย่างไร จิตใจเต้นระทึก กล่าวอย่างช้าๆ

“อย่างนั้นพวกท่านคือใคร”

“พวกเรา…พวกเรามีชื่อว่าสมาคมหทัยร่อนเร่ ท่านอาจไม่เคยได้ยินชื่อนี้ ท่านแค่ต้องรู้ว่าพวกเรามาเพื่อฆ่าผู้คุมจัตุรัสแดงก็พอ” เสียงนั้นแหลมคมกว่าเดิม

“ฆ่าผู้คุมจัตุรัสหรือ?” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เชื่อคำกล่าวอ้างของคนผู้นี้ง่ายๆ

“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ขอแค่ต้องรู้ว่าพวกเรากับนางมีความแค้นเป็นตายกันก็พอ” เสียงนั้นอธิบายอย่างรวบรัด “สาเหตุที่ข้ามาหาท่าน เป็นเพราะหวังว่าท่านจะร่วมมือกับพวกเราในการสังหารผู้คุมจัตุรัสแดง”

ลู่เซิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขากำลังควบคุมสตรีกางร่ม ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาเอง

ความสามารถของอีกฝ่ายลี้ลับยากหยั่งคาด เขาถึงขั้นหาที่ซ่อนตัวของอีกฝ่ายไม่เจอ

ตาข่ายโลหิตหุบกลับไปในตัวเขาทั้งหมด

“เหตุใดข้าต้องเชื่อพวกท่าน” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ พวกเราก็จะลงมืออยู่ดี” เสียงนั้นเว้นเล็กน้อย “ข้าเล่าให้ท่านฟังได้คร่าวๆ สตรีนางนั้นฆ่าธรรมราชาของพวกเราไปสองคน อัปสรสิบกว่าคน สุดท้ายรองประมุขสมาคมลงมือขัดขวางเอง นางยังคงหนีไปได้”

“นางไม่ใช่ไปชิงภัยพิบัติมังกรสีชาดหรือ” ลู่เซิ่งพลันเอ่ยแทรก

“ภัยพิบัติมังกรสีชาด! ใช่! เป็นนางเอง! เดิมทีพวกเราได้มาแล้ว!” เสียงแหลมนั้นเริ่มตะโกน คล้ายค่อยๆ มีโทสะ “แต่ในเวลาสำคัญ สตรีนางนั้นกลับแย่งชิ้นหลักของอาวุธเทพไป!”

คนผู้นี้คล้ายเสียสติ ดูเหมือนขุมกำลังที่อยู่ในการแย่งชิงภัยพิบัติมังกรสีชาดและผูกแค้นกับผู้คุมจัตุรัสแดงจะมาถึงแล้ว

ลู่เซิ่งใจเต้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ในเมื่อพวกท่านบอกว่าจะร่วมมือกับข้า ก็ต้องแสดงความจริงใจที่จะร่วมมือออกมา”

“อา… ท่านควบคุมคนสนิทข้างกายนั่งชั่วนั่น นี่ยังไม่พอ ยังไม่เพียงพอ!” เสียงแหลมนั้นกล่าว

“ท่านไม่รู้ว่านางแข็งแกร่งขนาดไหน หลังได้เศษภัยพิบัติมังกรสีชาดไป นางยังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดนังชั่วผู้นี้ให้จงได้ พวกเราจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวส่วนหนึ่ง การเตรียมตัวเล็กๆ!”

“การเตรียมตัวอะไร ท่านยังไม่พูดถึงความจริงใจของท่าน ตระกูลซั่งหยางของพวกเรากับผู้คุมจัตุรัสแดงไม่มีแค้นตาย สามารถชดเชยแก้ไขได้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ

“ความจริงใจ…ท่านไม่ใช่ชอบฝึกวรยุทธ์หรือ เอานี่ไป” เสียงหยุดลง

ฟิ้ว!

กล่องสีเทาประณีตใบหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาจากหน้าต่าง

กล่องทะลุกระดาษหน้าต่างดังสวบ แล้วหล่นลงตรงหน้าลู่เซิ่งอย่างมั่นคง หมุนบนโต๊ะหนังสือสองสามรอบ จึงค่อยๆ หยุดลง

“โอสถหัวใจอสรพิษเมฆา ยาเสริมระดับสุดยอดในสายตาจอมยุทธ์มนุษย์ นับว่าเป็นของขวัญพบหน้า” เสียงนั้นหัวเราะเหอะๆ “ของขวัญใหญ่เอาเป็นโลหิตอสรพิษเมฆาทั้งตัวเป็นอย่างไร พิษร้ายด้านในทำให้ท่านชุบหลอมเยื่อดำของตัวเองได้ อีกไม่นานก็จะก้าวสู่ระดับจตุลักษณ์! ”

ลู่เซิ่งหยิบกล่องขึ้นมาเปิดเบาๆ ยาที่แวววาวขาวราวกับหยกเหมือนกับไข่มุกเม็ดหนึ่งวางอยู่ด้านใน

อีกฝ่ายให้ยาแบบนี้ ต่อให้ยาเม็ดนี้ส่งเสริม แต่ยาที่ขุมกำลังแปลกหน้าแบบนี้ให้หรือเขาจะกล้ารับประทานจริงๆ

“ท่านยังกังวลว่ายาจะมีปัญหาหรือ” เสียงนั้นหัวเราะเหอะๆ “หาคนมาลองดูก่อนก็ได้ วันนี้พอก่อนเท่านี้ หวังว่าครั้งหน้าตอนมาหาท่าน ท่านจะพิจารณาดีแล้ว”

เสียงนั้นสุดท้ายค่อยๆ ออกห่างไป

ลู่เซิ่งถึงท้ายที่สุดก็ยังสัมผัสไม่ได้ว่าอีกฝ่ายสนทนากับเขาได้อย่างไร

เขามองยาบนโต๊ะอย่างเงียบๆ การปรากฏขึ้นของสมาคมหทัยร่อนเร่นี้ปั่นป่วนแผนการของเขา

เขานั่งเงียบๆ อยู่ในห้องหนังสือพักหนึ่ง พลันส่งเสียง

“องครักษ์!”

“อยู่!”

องครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งรีบเข้าประตูมาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“เตรียมรถม้า ข้าจะไปคุกใต้ดิน”

“ขอรับ!”

คุกใต้ดินของพรรควาฬแดงความจริงเป็นคุกใต้น้ำ

นักโทษทั้งหมดถูกแบ่งเป็นสี่ชั้น ชั้นบนสุดคือชั้นที่หนึ่ง เป็นนักโทษธรรมดา พวกคดีฆ่าคนจะถูกขังไว้ชั้นนี้

ชั้นที่สองเอาไว้คุมขังนักรบในยุทธภพที่พลังยุทธ์ค่อนข้างแข็งแกร่งกับคนก่อคดีฆ่าคน พวกโจรสลัดก็อยู่ชั้นนี้ด้วย

ชั้นที่สามคือคนที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์ มีวรยุทธ์กล้าแข็ง หรือไม่ก็มีอิทธิพลกว้างขวาง

ชั้นที่สี่ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายคือชั้นที่มืดมิดที่สุดและโหดร้ายที่สุดของพรรควาฬแดง ผู้ที่ถูกคุมขังในนี้คือยอดฝีมือที่ชั่วร้ายเลวทราม มีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ตึง

ประตูเหล็กของคุกใต้น้ำถูกลากออก ด้านในเป็นประตูเหล็กที่หนักอึ้งอีกบาน

ลู่เซิ่งเอามือไพล่หลังก้าวเดินเข้าไป สองฟากข้างคือพัศดีที่เฝ้ายาม พัศดีคนหนึ่งพาเขาลงไปถึงชั้นสี่ของคุกใต้น้ำแห่งนี้

พื้นที่มืดมัวและกดดัน กลิ่นเหม็นเน่าบูดกระจายอยู่ในอากาศ

พัศดีที่เฝ้าคุกอยู่ต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว แสดงว่าจิตใจได้รับผลกระทบบางส่วนเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มานาน

“ประมุขพรรค ชั้นสี่นี้ด้านในนี้ คุมขังยอดฝีมือระดับสุดยอดส่วนหนึ่งที่ประมุขพรรคเฒ่าก็สู้ไม่ได้ ตอนนั้นเป็นคนเบื้องบนลงมือจึงค่อยจับมาขังได้ ส่วนที่ลึกไปกว่านี้ ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าแล้ว…” ชายชราทำหน้าขื่นขมขณะยืนอยู่หน้าประตู นี่เป็นประตูเหล็กบานสุดท้าย พวกเขาผ่านประตูเหล็กมาแล้วสิบสามบาน นี่เป็นบานที่สิบสี่ เมื่อผ่านที่นี่ไป ด้านในจะเป็นคุกใต้น้ำขนาดใหญ่อันน่ากลัว ซึ่งอันตรายที่สุดและมืดมิดที่สุด มีแสงสว่างเพียงน้อยนิด

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าไปเองได้” ลู่เซิ่งสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างราบเรียบ

“ถ้าประมุขพรรคอยากออกมา แค่ตะโกนหน้าประตูก็พอ” ชายชรากลืนน้ำลาย เอ่ยเบาๆ

“อือ เปิดประตูเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ชายชรามีสีหน้าหนักใจ มือสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเปิดสลักประตูเหล็กขนาดใหญ่บานสุดท้ายออก

แอ๊ด

ตอนที่ประตูเหล็กสี่เหลี่ยมจุตรัสที่หนักอึ้งค่อยๆ ถูกเปิดออกจากกำแพงหิน ก็ส่งเสียงแหลมระคายหู

พัศดีที่อยู่สองฟากเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู ต่างกำดาบแน่นขณะจับจ้องด้านใน

ลู่เซิ่งมองด้านใน เห็นเพียงความมืดมิด ก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล

หลังชินกับแสงแล้ว ด้านในก็เป็นระเบียงแคบสีดำสนิทเส้นหนึ่ง พื้นระเบียงก็คือคุกใต้น้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเสียงน้ำกระเพื่อมตลอด

ชั้นที่สี่เย็นเยียบเงียบสงัด ไม่ทราบว่านักโทษด้านในตายหมดแล้วหรือยัง

ลู่เซิ่งหรี่ตา เดินเอื่อยๆ บนทางระเบียง ด้านหลังแว่วเสียงปิดประตูเหล็กแล้วลงสลักดังมา

เขาไม่เหลือบมองด้านหลัง ลัดเลาะไปตามทางระเบียงพร้อมกับมองด้านล่าง

เขาค่อยๆ เดินผ่านคุกใต้น้ำทีละห้อง สิ่งที่น่าเสียดายคือด้านในว่างเปล่าไม่มีใคร น้ำครำสกปรกสีดำกินพื้นที่หนึ่งในสามส่วนของคุกใต้น้ำ ต่อให้คนด้านในยังอยู่ เวลาผ่านไปนาน เกรงว่าจะแช่น้ำจนเน่าเปื่อยแล้ว

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่นี่เหม็นเกินไปจริงๆ ทั้งยังอับลม ยากจะจินตนาการว่าที่นี่ยังมีคนรอดอยู่

ดีที่ชั้นที่สี่กว้างใหญ่มาก มีห้องขังหลายสิบห้อง

เขาเดินสำรวจคุกใต้น้ำอย่างละเอียด

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่ทราบนานเท่าไหร่ ในที่สุดลู่เซิ่งก็เห็นเงาคนด้านในห้องขังห้องหนึ่ง

เขาชะงักฝีเท้า พิจารณาดู จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที ก่อนผละจากกรงนี้ไป

เงาคนในกรงบวมอืด เหมือนกับลูกโป่งลอยอยู่บนน้ำ ร่างกายข้างใต้เขาเป็นสีขาวม่วง กลิ่นเน่าของศพต่อให้กั้นด้วยความสูงหลายหมี่ ลู่เซิ่งก็ยังได้กลิ่นชัด

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาที่นี่คิดหาสิ่งใด”

ทันใดนั้นเสียงชราทำให้เขาหยุดฝีเท้าลง

ลู่เซิ่งมองไปตามเสียง ข้ามไปสองกรง เห็นคนผู้หนึ่ง เป็นชายชราที่อยู่ติดประตูกรง ถอยห่างจากน้ำครำ ลอยอยู่กลางอากาศ

“เจ้าเป็นใคร” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม

“ข้า…เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่” ชายชรายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ถามกลับ

“ข้ามาหาคนลองยา” ลู่เซิ่งไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

“คนลองยาหรือ” ชายชรางงงัน “เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไร”

“เจ้าหรือ” ลู่เซิ่งสัมผัสชายชราอย่างละเอียด ปราณภายในบนร่างแข็งแกร่งมาก

ต่อให้เป็นจางอู่หยาก็ไม่แน่ว่าจะสู้ปริมาณปราณภายในของชายชราผู้นี้ได้ ความรู้สึกอันตรายที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเวลาเหมือนกับโลหะขดเกลียวซึ่งถูกกดไว้ ลู่เซิ่งไม่เคยเจอจากผู้ใดมาก่อน

เขามองประตูเหล็กของคุกใต้น้ำ หยิบกุญแจออกมา ก่อนจะนั่งยองๆ ลงแล้วไขสลักใหญ่

แอ๊ด

ประตูเหล็กค่อยๆ จมลง สองตาของชายชราเป็นประกาย ลืมตาโตเหมือนกับนกเค้าแมวในราตรีที่มืดมิด

ฟุ่บ!

เขาพลันมุดออกมาจากร่องแยกที่เปิดออกของประตูเหมือนแมวป่า แล้วคว้ามือใส่ลู่เซิ่ง

มือนี้ไม่เร็วมาก แต่ว่าปราณภายในที่ชักนำออกมาสะกดอากาศรอบๆ ปิดตายตำแหน่งทั้งหมดที่ลู่เซิ่งจะหลบได้

“พลังฝึกปรือไม่เลว” ลู่เซิ่งหนังตากระตุก แขนขวาดีดออกราวสายฟ้าแลบ

เปรี้ยง!

มือของเขายืดตรงมีพลัง จับคอของชายชราไว้ แล้วยกอีกฝ่ายไว้กลางอากาศ

“เจ้านี่แหละ” ลู่เซิ่งยกเขาพร้อมกับหมุนตัวเดินไปยังเส้นทางขามาช้าๆ ชายชราที่ถูกยกในมือดิ้นรนสุดชีวิต แต่ไม่ว่าจะกระตุ้นพลังยุทธ์ใส่ตัวลู่เซิ่งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

สายตาอันตื่นตระหนกมากมายมองมาจากในความมืด เดิมจดจ้องลู่เซิ่งที่เดินเข้ามาอย่างละโมบ พริบตาที่เห็นชายชราโดนจับ ก็หายไปในชั่วอึดใจเดียวเหมือนกระต่ายตื่นตูม

……………………………………….