ตอนที่ 183 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 183 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (5)

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่โปรดปรานบทกวีที่น้ำเน่าเหล่านี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มพูดด้วยเสียงเบา “ที่นี่มีคนหนึ่งที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก พวกเรารีบไปกันเถอะ”

หันหมิงชั่นก็ไม่ได้มีทัศนคติที่ดีอะไรกับคุณชายที่รู้จักแค่ลุ่มหลงอบายมุข ทว่ากลับไม่ทันโลกเยี่ยงนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มแล้วดึงเหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเดินกลับไป

เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ก็ได้ยินเฟิงเซ่าเชินอุทาน และพร่ำบ่นกับตนเอง “เยี่ยนอวี่ เพื่อเจ้า ข้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ แค่หวังว่าจะจับมือเจ้าไปจนแก่จนเฒ่า…”

เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปทันที จากนั้นก็ยกมือปิดปากไว้ทันที แล้วสาวเท้าเดินจากไปโดยเร็ว หันหมิงชั่นจับต้องกับสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน จึงหันไปมองเฟิงเซ่าเชินเพียงพริบตาเดียว แล้วถอนหายใจพลางรีบไล่ตามไป

ทางฝั่งโน่น เซินเจียงก็ยกชาสร่างเมาหนึ่งถ้วยที่ยังร้อนมา เฟิงเซ่าเชินรับไว้พลางดื่มไปสองคำ ก็อดอุทานอีกไม่ได้

หันหมิงชั่นไล่ตามเหยาเยี่ยนอวี่ไปอย่างเร่งรีบ เหยาเยี่ยนอวี่วิ่งกลับไปตรงใต้ชายคาระเบียง แล้วพิงอยู่ตรงเสา พร้อมกับหัวเราะจนหายใจไม่ออก พร้อมกับจับท้องไว้ว่าพร่ำบ่น ‘โธ่’ พอเห็นว่านางไม่เป็นเช่นไร หันหมิงชั่นจึงวางใจ จึงพูดอย่างขุ่นเคืองใจเล็กน้อย “ยัยหนูคนนี้ วิ่งทำไมกัน ไม่กลัวว่าจะถูกเขาได้ยินเข้าหรือ”

“โธ่…แม่…แม่เจ้า!” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะจนปวดท้อง และพูดอย่างติดขัด “ท่านนี้… ก็ตลกขบขันเกินไปหรือเปล่า”

หันหมิงชั่นคลี่ยิ้ม “เจ้าน่ะ อย่าเกิดมาในที่ๆ มีความสุขกลับไม่รู้จักเห็นคุณค่าเลย ต้องรู้ว่าคนอื่นเป็นตั้งหลานชายเอกของใต้เท้าอัครเสนาบดี มีแม่นางไม่รู้เท่าใดในเมืองหลวงอวิ๋นต่างก็เฝ้าคำนึงถึง เจ้ายังไม่หมายปองอีก?”

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะจนไม่มีแรง แล้วนั่งอยู่ตรงราว พร้อมกับส่ายหัว “ต้องขอโทษจริงๆ ข้าไม่โปรดปรานคนเช่นนี้จริงๆ ใครโปรดปรานก็ให้คนนั้นจูงกลับจวนเถอะ! อย่าได้สร้างเรื่องทำร้ายคนอื่นเด็ดขาด”

“ข้ารู้ข้ารู้! เจ้าไม่โปรดรปรานบุรุษเปราะบางที่รู้ตำรามากมาย!” หันหมิงชั่นคลี่ยิ้มและเน้นย้ำขึ้น

“ผู้ที่เจ้าโปรดปราน…ต้องมีเรือนร่างกำยำและน่าเกรงขาม เป็นวีรบุรุษหล่อเหลาและมีเสน่ห์… โอ๊ย! ใช่แล้ว ที่สำคัญคือต้องสามารถขี่ม้าได้ อย่างน้อยก็อย่าปล่อยให้เจ้าตกลงมาจากม้า อืม…ตกลงมาก็ไม่เป็นเช่นไร ที่สำคัญก็คือต้องเป็นเบาะรองเนื้อมนุษย์ให้เจ้า…พู่ว!” กล่าวถึงด้านหลัง หันหมิงชั่นเองที่อดไม่ได้ จึงหัวเราะพุ่ง

“พวกเจ้าสองคนกำลังพูดอะไรกันอยู่ ครึกครื้นเช่นนี้เชียว!” ซูอวี้เหิงออกมาตามหาพวกนางจากด้านใน พอเห็นทั้งสองยืนอยู่ตรงระเบียงยาวและกำลังหัวเราะใส่กัน จึงอดพร่ำบ่นอย่างไม่พอใจไม่ได้ “กับแก้มก็เย็นหมดแล้ว พวกเจ้าที่เป็นพี่สาวทั้งสองคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกัน แล้วทิ้งข้าไว้ในเรือนคนเดียว นี่ไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยหรือไม่”

ทีแรกหันหมิงชั่นก็นึกว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะโกรธเคืองเพราะคำพูดเหล่านั้นที่เฟิงเซ่าเชินพร่ำบ่นถึงนาง กลับนึกไม่ถึงว่านางจะหัวเราะถึงเช่นนี้ ดังนั้นจึงดึงซูอวี้เหิงไว้ แล้วเลียนแบบท่าทางที่แสดงความรู้สึกที่ลึกซึ้งออกมาของเฟิงเซ่าเชิน พร้อมกับอุทานขึ้น “เยี่ยนอวี่ ข้าต้องกินไม่ลง นอนไม่หลับเพราะเจ้า แค่หวังว่าจะได้จับมือกับเจ้าไปจนแก่จนเฒ่า…”

“อือ! เหอะๆ…” ซูอวี้เหิงจึงสำลักน้ำลายตัวเองทันที “ไม่ใช่หรอกกระมัง เหอะๆ…มันเป็นใครกัน ถึงได้แอบหลงรักพี่เหยาของพวกเรา”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงยืดเอวตรงและจ้องตาหันหมิงชั่น นางกลับแกล้งทำท่าทางที่หวาดผวาแล้วหลบอยู่ด้านหลังซูอวี้เหิง พร้อมกับคลี่ยิ้ม “ข้าไม่กล้าพูดหรอก เจ้าดูท่าทางที่เก่งกาจของนางนั่นสิ! ฮ่าๆ…”

ซูอวี้เหิงถามเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง แล้วเหยาเยี่ยนอวี่จึงทำเสียงในลำคอ แล้วดึงซูอวี้เหิงพร้อมกับแสร้งทำเป็นโมโห “ช่างป่าวประกาศจริงๆ ที่พวกเราสองคนเรียกนางว่าพี่สาว มีพี่สาวที่ไหนหัวเราะเยาะน้องสาวเยี่ยงนี้ เหิงเอ่อร์ไม่ต้องถามแล้ว หากเจ้าก็ยังถามอีก อาจจะทำให้เรื่องราวน่านขบขันกว่าเดิม”

“ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรหนิ หากเจ้าจะระบายความโกรธก็ควรไปหาผู้ที่เป็นต้นสายปลายเหตุ อย่าได้เข้าใจผิดคนดีเด็ดขาด”

หันหมิงชั่นเดินมานั่งลงใกล้ๆ ทั้งสองคน แล้วยกมือโอบไหล่ของซูอวี้เหิงเอาไว้ แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม “นี่ เจ้าก็อย่าพูดเลย ตอนนี้น้องเหยากลายเป็นคนดังไปแล้ว มีเหล่าคุณชายไม่รู้เท่าใดในเมืองหลวงอวิ๋นที่เฝ้าคำนึงถึงนาง ท่านแม่ทัพอะไรนั่นนะ ช่างเป็น ‘หนทางข้างหน้าที่ยาวไกล’ จริงๆ!”

ซูอวี้เหิงเอ่ยถามด้วยความอัดอั้นใจ “อะไรแม่ทัพ พี่เหยา ท่านมีแม่ทัพผู้ใดที่หมายปองหรือ”

“อย่าฟังพี่หันกล่าวเหลวไหล” เหยาเยี่ยนอวี่โต้แย้งกลับไปทันที “ข้าไม่โปรดปรานใครทั้งนั้น ข้าโปรดปรานพวกเจ้าสองคน ข้าแค่หวังว่าพวกเราสามสหายที่รักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยงนี้ไปนานๆ อนาคตไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าใครจะออกเรือนให้ใคร หรือจะอยู่ร่วมกันได้บ่อยๆ หรือไม่ หวังว่าดวงใจของพวกเราจะไม่เปลี่ยนไป”

คำๆ นี้กล่าวออกมา หันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงก็หุบยิ้มอันขี้เล่น

ซูอวี้เหิงยื่นมือไปจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งจับหันหมิงชั่นไว้ แล้วเอามือทั้งสองข้างมาประสานกัน จึงทำให้มือของพวกนางสองคนถูกกดไว้ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้ามีพี่สาวดีๆ อย่างพวกเจ้าสองคน ชาตินี้ก็พอใจแล้ว”

หันหมิงชั่นอุทานขึ้น “ว่ากันว่าการบำเพ็ญร้อยปีถึงได้นั่งเรือลำเดียวกัน บำเพ็ญพันปีถึงได้นอนเคียงหมอนกัน พวกเราต้องบำเพ็ญหมื่นปีถึงจะได้มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่มีหน้าตาที่สะสวยเหมือนกัน”

“ได้ บำเพ็ญหมื่นปีถึงจะได้มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่มีหน้าตาสะสวยเหมือนกัน” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงต่ำ พร้อมพูดขึ้นอีกรอบ

“เช่นนั้น! พวกเราต้องบำเพ็ญหมื่นปีถึงจะได้มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่มีหน้าตาที่สะสวยเหมือนกัน!” ซูอวี้เหิงก็หัวเราะตาม

แสงดวงจันทราอันอ่อนโยน และสายลมยามค่ำคืนพัดโชย เวลาค่ำคืนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่เย็นสบาย สหายคนสนิททั้งสามคนโอบกอดและหัวเราะไปด้วยกัน ขณะเดียวกัน ก็ได้ให้คำสาบานที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้

คืนนั้น ตอนที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับจวนก็เที่ยงคืนแล้ว

หันซังเย่ว์ เซียวหลิน เฟิงเซ่าเชิน ซูอวี้เสียงและคนอื่นๆ ต่างก็มึนเมา เวลาที่กลับจวนก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าแทน

ตอนเวลาเอ้อร์เกิงเหยาเฟิ่งเกอก็ฝืนตนเองไม่ไหว จึงกลับจวนก่อน ซูอวี้เหิงก็เมาหัวราน้ำตั้งนานแล้ว จึงถูกชุ่ยเวยและสาวใช้คนอื่นๆ ปรนนิบัติรับใช้ให้นอนพักที่นี่ รถม้าของหันหมิงชั่นให้หันซังเย่ว์นั่งกลับไป ส่วนนางเองก็นอนพักที่นี่หนึ่งคืน วันที่สองถึงจะกลับจวน

เหยาเหยียนอี้ก็เมาหัวปักหัวปำจนไม่รู้อี้โหน่อี้เหน่ เฝิงโหย่วฉุนและเหยาซื่อสี่เป็นฝ่ายรับหน้าส่งแขกเหรื่อกลับจวน และสั่งให้พวกบ่าวไปเก็บกวาดสถานที่จัดงานเลี้ยง หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นฟ้าก็ใกล้สว่างแล้ว

คืนนั้นหันหมิงชั่นและเหยาเยี่ยนอวี่นอนตั่งไม้เดียวกัน ในระหว่างที่เกิดอาการเมาสุรา สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็อดเล่าเรื่องที่เฉิงอ๋องขอให้ฮ่องเต้ประทานงานสมรสให้กับอวิ๋นเหยาและเซียวหลินให้หันหมิงชั่นฟัง

หันหมิงชั่นได้ยินเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา “น้องสาวไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าคิดออกตั้งนานแล้ว ข้าสามารถปล่อยวางพี่จวินเจ๋อร์ได้แล้ว บนโลกาแห่งนี้ยังมีใครบ้างที่ข้าปล่อยวางไม่ได้ จิ้งไห่โหวผู้นั้นกับข้าเคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว ถึงแม้ข้าชื่นชมในนิสัยใจคอของเขา ทว่าอย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนมกัน อีกทั้ง…”

“อีกทั้ง ต่อให้เป็นความรักที่ต่างก็เต็มไปด้วยความสุขแล้วจะสำคัญอย่างไร หากฮ่องเต้ประทานงานสมรส หรือว่าข้าจะสามารถให้เขาไปขัดขืนในพระราชโองการหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ฟังคำพูดนี้ก็รู้สึกปวดใจ จึงยื่นแขนไปทาบบนไหล่ของหันหมิงชั่น และปลอบโยนด้วยเสียงต่ำ “พี่สาว พี่สาวดีเช่นนี้ ต้องมีคนๆ หนึ่งที่รักใคร่พี่อย่างสุดจิตสุดใจ และอยู่กับท่านพี่ไปจนแก่จนเฒ่า อีกทั้งยังมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง”

“อืม ข้าก็คิดเช่นนี้” หันหมิงชั่นยื่นมือไปจับแก้มของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกับคลี่ยิ้ม “พอเถอะ เวลาก็สายมากแล้ว รีบหลับเถอะ วันพรุ่งขึ้นเจ้ายังต้องยุ่งกับงานอีก”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักงาน และหลับตา ตอนที่เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนแล้ว นางก็ได้ยินหันหมิงชั่นพูดขึ้นลอยๆ “น้องสาววางใจ พวกเราต่างก็ต้องมีความสุขแน่นอน”

หลังจากหลายวันผ่านไป ตำหนักกานหยวนในวังหลวงเมืองหลวงอวิ๋น ก็ได้จัดการสอบคัดเลือกขุนนางในช่วงวสันต์นี้เป็นครั้งที่สอง หลังจากที่ผ่านการสอบคัดเลือกครั้งที่สามในวันที่สาม ก็ยังคงอยู่ในตำหนักกานหยวน และมีฮ่องเต้เป็นผู้ที่ทรงออกโจทย์ เพื่อที่จะดำเนินการสอบคัดเลือกขุนนางในราชสำนัก

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ข้อสอบในการคัดเลือกขุนนางในราชสำนักก็ถูกเก็บไปแล้วส่งมอบให้กับฮ่องเต้ทรงถอดพระเนตรและประมวลผล หลังจากนั้นก็มีฮ่องเต้ทรงคัดเลือกผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในอันดับหนึ่ง สอง สามออกมา