ภาคที่ 3 บทที่ 92 เบาะแส

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 92 เบาะแส

สังหารจินจงอี้ได้แล้ว กังเหยียนก็โยนศพเขาทิ้ง “เอาตัวคนที่ยังรอดไปด้วย !”

ในตรอกนั้นมีคนไม่เท่าไหร่ที่ยังไหวอยู่ ด้วยพวกที่วิ่งไหวก็หนีไปนานแล้ว ส่วนพวกที่วิ่งไม่ไหวก็คลานร้องเสียงครวญครางอยู่กับพื้น

โจวหงเดินเข้ามาตีหัวคนจนสลบไปทีละคน จากนั้นโยนร่างไปกองรวมไว้บนเกวียนด้านหลัง เพราะคนพวกนี้กำลังจะได้กลายไปเป็นตัวทดลอง

หากไม่ใช่เพราะซูเฉินต้องการขู่พวกกลุ่มอันธพาลละก็ จินจงอี้ในตอนนี้ก็อาจนอนแบอยู่บนแท่นทดลองของซูเฉิน และหากโชคดีทดลองสำเร็จ ทำให้ได้ความสามารถบางอย่างมา ก็อาจรอดชีวิตกลายเป็นลูกน้องของชายหนุ่มด้วยซ้ำไป

โชคไม่ดีที่โลกนี้ไร้คำว่าหาก ในเมื่อซูเฉินวางแผนว่าต้องสังหาร เช่นนั้นก็ไม่อาจกลายเป็นตัวทดลองไปได้

โจวหงเดินเข้าไปหาผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นคนหนึ่ง กำลังจะหิ้วคอคนขึ้น กังเหยียนก็พลันตะโกนทันที “ถอยออกไป !”

อะไรนะ ?

โจวหงชะงักไป ไม่อาจระวังตนได้ทันเวลา

กังเหยียนพุ่งเข้ากระแทกไหล่โจวหงจนกระเด็นไป ก่อนเป็นตอนนั้นเองที่คนบนพื้นกระโจนขึ้น ส่งเส้นแสงสีดำพุ่งออกจากคมดาบ ปะทะเข้าอกกังเหยียน

ตู้ม !

ร่างใหญ่ของกังเหยียนกระเด็นไป แผลบนออกมีโลหิตกระฉูดออกมา

คนลอบโจมตีผู้นั้นฉวยโอกาสพุ่งเข้ามาอีก กริชในมือส่องล้อแสงจันทร์ยามค่ำคืน

กังเหยียนส่งหมัดออกไป หมอกสีเลือดรวมร่างเป็นรูปหมัด สะเทือนบรรยากาศโดยรอบ พร้อมกับเกิดเสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า

คนลอบโจมตีไม่กล้ารับการโจมตีโดยตรง กำลังคิดจะหลบ สุดท้ายก็พลาดโอกาสสังหารกังเหยียน พริบตาต่อมา หมอกแดงก็แผ่ออกมาคลุมร่างกังเหยียนจนมิด

อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจ หัวเราะออกมาเสียงทะมึน “มีฝีมืออยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องตาย”

พูดจบแล้วร่างเขาก็หายไปในความมืด

โจวหงรีบรุดเข้ามา “กังเหยียน เป็นอะไรหรือไม่ ?”

กังเหยียนไม่เอ่ยคำ เพียงแต่จ้องมองไปยังความมืดเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ

จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง โจวหงเห็นว่าในกองเลือดนั้นมีบางอย่างดิ้นอยู่ ขนลุกซู่ในทันที

กังเหยียนรู้สึกร่างกายตนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ “ในแผลมียาพิษ พาข้าไปหานายท่านที”

————–

ภายในคฤหาสน์ซู

โจวหงยืนรอสีหน้าเป็นกังวลอยู่ด้านนอก

ไฟภายในห้องส่องกะพริบ แสดงให้เห็นสภาพจิตใจเขาในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

ทว่าในที่สุด….

ประตูก็เปิดออก

ซูเฉินเดินออกมาจากด้านใน ในมือถือขวดแก้วหนึ่งไว้ ภายในมีเลือดสีแดงอยู่

“นายน้อย กังเหยียนล่ะขอรับ ?” โจวหงเดินเข้าไปถาม

“ไม่เป็นไรแล้ว พักเสียหน่อยก็ดี” ซูเฉินเช็ดเลือดที่เปรอะมือก่อนตอบ

“เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถจังทำให้กังเหยียนเป็นเช่นนี้ !” โจวหงร้องเสียงเศร้า

“ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก เจ้าเพียงแต่แข็งแกร่งไม่มากพอ หากจะโทษใครต้องโทษข้า เจ้ากับหมิงชูติดตามข้ามาหลายปี แต่ข้ากลับไม่เคยสร้างความแกร่งให้พวกเจ้าจริง ๆ จัง ๆ” ซูเฉินกล่าว

โจวหงรีบคุกเข่าเอ่ย “นายน้อยดูแลข้าดีมาก ข้าน้อยจะกล้าคิดเช่นนั้นได้หรือ !”

“เอาล่ะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลย” ซูเฉินโบกมือ “แต่ก่อนข้าไม่คิดทำให้พวกเจ้าแกร่งขึ้นเป็นเพราะการทดลองของข้ายังไม่เป็นที่น่าพอใจ สองคือเพราะข้าเห็นเจ้าเป็นคนในครอบครัว ไม่อยากให้พวกเจ้าต้องพบเจออันตรายใด แต่จริง ๆ แล้วใต้หล้านี้ทุกที่กลับมีภัย ปกป้องพวกเจ้าไว้ข้างหลังตลอดคงไม่ได้อีก ครั้งนี้ข้าทำการทดลองเรื่องสายเลือดได้ผลดีมาก คงถึงเวลาทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว”

โจวหงได้ยินแล้วก็ทั้งตื่นเต้นทั้งประหลาดใจ

“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากให้เจ้าทำงานบางอย่างให้ข้า”

“นายน้อยสั่งมาได้เลยขอรับ !”

“ไปแจ้งจีหานเยี่ยน บอกนางว่า…… ข้าเจอคนที่นางตามหาแล้ว ให้นางรีบมาโดยเร็ว” ซูเฉินพูดพลางมองขวดในมือ

——————————————————

ภายในห้องโถงใหญ่คฤหาสน์ซู

“เจ้าว่าอะไรนะ ? พบคนเผ่าวิญญาณแล้วหรือ ?”

จีหานเยี่ยนจ้องซูเฉินเขม็ง

ซูเฉินยังคงดื่มชาอย่างสบายใจ “จริง ๆ แล้วคือพบเบาะแสเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณ”

“เบาะแสอะไร ?”

ซูเฉินหยิบขวดเลือดขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าจีหานเยี่ยน

“นี่มัน ?” จีหานเยี่ยนไม่เข้าใจ

“คือเลือดกังเหยียน มีพวกอันธพาลกลุ่มหนึ่งมาก่อเรื่องหน้าร้านค้าข้า เป็นกังเหยียนออกไปรับมือ แต่หลังจากจัดการพวกมันแล้วกลับถูกคนหนึ่งลอบโจมตี ซึ่งตอนรักษาให้เขา ข้าก็พบว่าในเลือดเขามีสสารเฉพาะอยู่ตัวหนึ่ง สสารประเภทนี้มีขนาดเล็กนัก มองด้วยตาไม่เห็น แต่มีความสามารถโดดเด่น…… อืม เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟังง่ายหน่อย สสารประเภทนี้ เมื่อผสานเข้ากับวิชาบางวิชาแล้วก็จะกลายเป็นคำสาปได้”

“คำสาป ?” จีหานเยี่ยนชะงักไป

“ใช่แล้ว คำสาป บังเอิญว่าข้าเคยเห็นคำสาปนี้มาก่อน เจ้าเดาสิว่าใครเคยใช้ ?” ซูเฉินยิ้มบาง

จีหานเยี่ยนรู้ในพลัน “เว่ยเหลียนเฉิง !”

ซูเฉินพยักหน้า “หรือก็คือหลงเฉ่าโหยว เว่ยเหลียนเฉิงร่ายคำสาปในร่างเขา สสารที่เว่ยเหลียนเฉิงใช้นั้นใกล้เคียงกับสสารในเลือดขวดนี้ ดังนั้นก็มั่นใจได้ว่าคนกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเองก็เป็นหุ่นเชิดของเผ่าวิญญาณเช่นกัน”

จีหานเยี่ยนผุดลุกขึ้นทันที “เขาอยู่ในเมืองธารน้ำใส !”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ซูเฉินตอบ

“แล้วคนกลุ่มพยัคฆ์ร้ายคนนั้นเล่า ?”

“ข้าส่งข้ารับใช้เงาไปตามหาเขาแล้ว คำถามสำคัญคือเจ้านั่นมันรู้ตัวหรือยัง แต่ข้าว่ามีโอกาสน้อยนัก สสารประเภทนี้พบเห็นได้ยาก สุดท้ายหุ่นเชิดก็เป็นเพียงหุ่นเชิด เผ่าวิญญาณคงไม่ได้บอกเรื่องเว่ยเหลียนเฉิงให้เขารู้ ดังนั้น……”

ซูเฉินคิดยังไม่ทันจบ คิ้วก็กระตุกคราหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม “กลับมาแล้ว”

คนผู้หนึ่งเผยกายขึ้นมาโดยพลัน เป็นข้ารับใช้เงาฉางเอ้อร์

เขาแบมือปะทะกำปั้น โค้งคำนับให้ซูเฉิน “ข้าน้อยคำนับนายท่าน พบเป้าหมายแล้วขอรับ”

“ว่ามา”

ฉางเอ้อร์จึงรายงาน “คนผู้นี้มีนามว่าอวี๋เวย เป็นหัวโจกคนหนึ่งในกลุ่มพยัคฆ์ร้าย โจมตีกังเหยียนแล้วเขาก็กลับไปยังกลุ่มพยัคฆ์ร้าย ตอนนี้ศิษย์พี่กุยและคนอื่น ๆ กำลังจับตามองเขาอยู่ขอรับ”

“ไม่หนีหรือ ?” จีหานเยี่ยนเลิกคิ้วสูง

ซูเฉินจึงเอ่ย “คงยังไม่รู้ว่าตัวตนถูกเปิดเผยเป็นแน่ อีกทั้ง เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ? เมืองธารน้ำใสมีคนตั้งมาก เหตุใดเผ่าวิญญาณจึงเลือกควบคุมกลุ่มอันธพาลชั้นต่ำเช่นนี้ ?”

จีหานเยี่ยนตอบ “การเชิดหุ่นของเผ่าวิญญาณมีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าจะควบคุมได้ทุกคน”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในเมืองมีเขาเหมาะอยู่คนเดียว” ซูเฉินว่า

หากเผ่าวิญญาณมีข้อจำกัดในการเชิดคนมากเกินไป เว่ยเหลียนเฉิงก็คงไม่ถูกควบคุมโดยง่าย

“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า……”

“เผ่าวิญญาณคงมีแผนการกับกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเป็นแน่”

“เจ้าคิดว่าเป็นแผนอะไร ?”

ซูเฉินไม่ตอบ กลับหันไปถามฉางเอ้อร์ “หัวโจกตัวกระจ้อยนั่นทำหน้าที่อะไร ?”

“มีหน้าที่เฝ้าห้องเก็บของขอรับ”

“เฝ้าห้องเก็บของ ?” ซูเฉินตาเป็นประกาย “แสดงว่าในกลุ่มพยัคฆ์ร้ายมีของต้องตาเผ่าวิญญาณ”

“มีเหตุผล” จีหานเยี่ยนพยักหน้า

เผ่าวิญญาณไม่ทำอะไรไร้เหตุผล ในเมื่อเลือกคนเฝ้าห้องเก็บของของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเพื่อเป็นหุ่นเชิด เช่นนั้นก็คงมีแรงจูงใจเบื้องหลังเป็นแน่

“ยังเชิดหุ่นอยู่เช่นนี้แสดงว่ายังไม่ได้ของที่ต้องการ…… แย่แล้ว !” ซูเฉินพลันสีหน้าเปลี่ยน “กังเหยียนสังหารหัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์ร้ายไปแล้ว ตอนนี้ในกลุ่มคงจะตกอยู่ในความปั่นป่วน เป็นโอกาสเหมาะจะลงมือชิงของทีเดียว !”

จีหานเยี่ยนลุกขึ้นทันที “รีบไปที่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายเถอะ !”