หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ด
บรรลุข้อตกลง
เสวี่ยเจียเยว่สวมสร้อยประคำไว้บนข้อมือตนเอง ก่อนจะเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ไม่นานนักก็มีคนสวมชุดพระผู้หนึ่งมาเชิญพวกเขาสองคนให้เดินตามไป
เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ บนเส้นทางลับ ไม่นานนักสถานที่อันเงียบสงบซึ่งพวกเขาเคยมาครั้งก่อนก็ปรากฏต่อสายตา
คงเพราะมีคนเข้ามาแจ้งแล้ว ป้าโจวจึงนั่งรอพวกเขาอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในกุฏิ
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาในกุฏิ นางก็มองหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาแล้วหรือ”
ดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่ร้อนผ่าว…
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เสมอ ตอนอยู่คนเดียว ต่อให้ปัญหายากลำบากขนาดไหนก็สามารถแบกรับได้ แต่ถ้าเห็นคนที่ตนไว้ใจ ความคับข้องใจก็จะขยายใหญ่ขึ้น
เมื่อป้าโจวเห็นท่าทางของเสวี่ยเจียเยว่ก็รีบถามอย่างห่วงใย “เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป”
เสวี่ยเจียเยว่อยากจะบอกนาง แต่ก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นก่อน “รบกวนท่านให้คนพานางไปพักที่ห้องด้านข้างสักครู่ ข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับท่าน”
ป้าโจวเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่ แล้วยังมีห่อผ้าอยู่ในมือของหญิงสาว นางจึงพยักหน้าแล้วเรียกเณรน้อยเข้ามา
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเณรน้อยผู้นั้นคือสตรีที่ปลอมตัวมา จึงบีบมือเสวี่ยเจียเยว่ก่อนกล่าวอย่างอบอุ่น “เจ้าไปพักที่ห้องด้านข้างสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะพูดกับป้าโจว ไม่นานนักข้าจะเข้าไปหาเจ้า ได้หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีว่ายากลำบากสำหรับพวกเขาอยู่ไม่น้อย หากเสวี่ยหยวนจิ้งจัดการไม่ดี เกรงว่าชีวิตของทั้งสองคงจบสิ้น
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของป้าโจว แต่ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็พาเธอมาหานางทันที เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อว่าป้าโจวจะสามารถปกป้องเธอได้ แต่เรื่องที่เขาต้องการจะสนทนานั้น ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจสงบจิตใจได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะกลายเป็นตัวถ่วงของพวกเขาเท่านั้น
คิดได้ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับให้ป้าโจว จากนั้นก็เดินตามเณรน้อยตัวปลอมไป
พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไปไกลแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้หันกลับมาหาป้าโจว
ป้าโจวขมวดคิ้วเอ่ยถามเขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเยว่เอ๋อร์ถึงร้องไห้ แล้วเหตุใดนางถึงมีท่าทางตื่นตระหนกเช่นนั้น”
นางรู้จักเสวี่ยเจียเยว่ดี อีกฝ่ายเป็นเด็กอารมณ์ดี ชอบยิ้ม เวลาปกติไม่มีทางเป็นเช่นนี้เด็ดขาด
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบคำถามของนาง แต่เอ่ยออกมาตรงๆ “ข้าสังหารบุตรชายของเซี่ยโส่วฝูแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ป้าโจวกำสร้อยประคำในมือเอาไว้แน่น มองชายหนุ่มด้วยแววตาเหลือเชื่อ “เจ้า… เจ้าถึงกับฆ่าลูกชายของเซี่ยโส่วฝูเลยหรือ”
แม้นางจะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับสูงสุดในการสอบระดับเมืองหลวง จึงคาดเดาในใจว่าเขาจะต้องได้คะแนนดีในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจได้อันดับสูงสุดเช่นกัน จากนั้นเขาก็ต้องได้รับตำแหน่งซิวจ้วนของสำนักฮั่นหลิน
แต่อย่างไรเสียคนที่ถูกสังหารก็เป็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู เขาถึงขั้นกล้าสังหารเชียวหรือ ต้องรู้ว่าความแค้นที่บุตรชายถูกสังหารนั้นใหญ่หลวงนัก หากเซี่ยโส่วฝูคิดจะสร้างปัญหาให้เสวี่ยหยวนจิ้ง นั่นง่ายเสียยิ่งกว่าการพลิกฝ่ามือ
เสวี่ยหยวนจิ้งมองแววตาที่ตกตะลึงของนาง ก่อนจะพยักหน้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ขอรับ บุตรชายของเซี่ยโส่วฝูปรารถนาความงามของเยว่เอ๋อร์ ท่านเองก็น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวัดต้าเซียงกั๋วครานั้น หลังจากข้ากับเยว่เอ๋อร์กลับไปก็แทบไม่ได้ออกจากเรือน แต่ไม่รู้ว่าเขาสืบหาที่อยู่ของพวกข้าเจอได้อย่างไร เมื่อวานเกิดเรื่องขึ้น ข้าออกไปข้างนอก ปล่อยให้เยว่เอ๋อร์อยู่ในเรือนคนเดียว เขาถึงขั้นกล้าบุกเข้าไป คิดจะทำไม่ดีกับนาง…”
ถ้อยคำหลังจากนั้นเขาพูดออกมาไม่ได้ แต่ชายหนุ่มรู้ว่าป้าโจวต้องเข้าใจ
มือที่กำแน่นของเขาค่อยๆ คลายออก น้ำเสียงก็อ่อนลงกว่าเมื่อครู่ “ตอนที่ข้ากลับถึงเรือนก็รู้สึกเดือดดาล ตอนนั้นข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝูหรือไม่ ข้าคิดอย่างเดียวคือต้องสังหารเขา”
ป้าโจวเงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวออกมา “เจ้าพาเยว่เอ๋อร์มาหาข้าที่นี่ เพราะอยากให้นางหลบอยู่กับข้าชั่วคราว และเพื่อต้องการหลบเลี่ยงนักฆ่าของเซี่ยซิ่งเหยียนใช่หรือไม่”
นางเกลียดชังเซี่ยซิ่งเหยียนเข้าไส้ เพราะเขายุยงขุนนางในราชสำนักให้เชื่อว่าบิดาของนางคิดก่อกบฏ ทั้งยังหาสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานออกมามากมาย หากไม่ใช่เพราะเซี่ยซิ่งเหยียน ตระกูลของนางก็ไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งสังหารบุตรชายของเขา ทำให้นางรู้สึกสะใจมิใช่น้อย แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงอดีตฮองเฮาที่ไม่ต่างกับถูกกักขังอยู่ในตำหนักเย็น แม้ว่าคนผู้นั้นจะส่งองครักษ์มาอารักขาอยู่รอบตัว นางก็ไม่กล้าแน่ใจว่าจะสามารถปกป้องเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งได้หรือไม่…
“ไม่ใช่ขอรับ”
ป้าโจวได้ยินเสียงเนิบนาบของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้น
“ข้าเพียงอยากให้เยว่เอ๋อร์อยู่กับท่านที่นี่สักพัก ส่วนข้าจะไปเตรียมสอบต่อหน้าพระที่นั่งหลายวัน”
ป้าโจวขมวดคิ้วมองเขา “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ถ้าเจ้าสอบได้อันดับสูงสุดในการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เจ้าจะทำอย่างไร เซี่ยซิ่งเหยียนเป็นถึงโส่วฝู จะจัดการกับเจ้าที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งขุนนางนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ นั่นไม่เท่ากับว่าส่งเจ้าไปตายหรอกหรือ”
ความเสียดายพลันปรากฏขึ้นในใจของป้าโจว เพราะเดิมทีนางมองว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนมีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง ทั้งยังคิดจะสนับสนุนเขา ให้เขาจัดการเซี่ยซิ่งเหยียนในภายภาคหน้า เพื่อแก้แค้นให้ตระกูลของนางที่ถูกทำลายจนย่อยยับ แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะใจร้อนลงมือฆ่าบุตรชายของเซี่ยซิ่งเหยียน เขารักเสวี่ยเจียเยว่มากกว่าชีวิตของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนเฉิงหยามเกียรติเสวี่ยเจียเยว่ เขาย่อมไม่สามารถข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ได้
จากนั้นเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น “ข้าช่วยท่านจัดการเซี่ยซิ่งเหยียนได้”
ป้าโจวสะดุ้งด้วยความตกใจ คิดว่าเขาสามารถอ่านใจคนได้ ถึงขั้นรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด
นางมองเสวี่ยหยวนจิ้ง แม้จะพยายามข่มกลั้นเอาไว้แล้ว แต่สีหน้าเฉยชากลับยังแฝงไว้ซึ่งความประหลาดใจ นางกำสร้อยประคำในมือเอาไว้แน่น
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบ แต่กลับยืนขึ้น จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าป้าโจว ก่อนจะยกชายชุดคลุมยาวด้านหน้าขึ้นแล้วคุกเข่าลง
“เยว่เอ๋อร์ไร้เดียงสา ตอนนี้นางก็ยังคงไม่รู้ว่ามารดาบุญธรรมของตนผู้นี้ ความจริงแล้วคืออดีตฮองเฮาซึ่งเคยเป็นมารดาของแผ่นดินมาก่อน” เสวี่ยหยวนจิ้งมองตรงไปที่ป้าโจว สีหน้ายังคงนิ่งสงบ “ท่านคือโจวฮองเฮาใช่หรือไม่”
ป้าโจวตกใจยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่ได้เห็นสงครามนองเลือดมาแล้ว จึงสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“สุดท้ายเจ้าก็ดูออก”
แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังเขาได้
“ไม่ผิด ในสายตาของคนอื่น ข้าคือโจวฮองเฮาที่รอความตายอยู่ในตำหนักเย็น ในปีนั้นมีขุนนางที่จงรักภักดีต่อข้าหลายคนแอบส่งข้าออกจากวัง ข้าอยู่ในฐานะสามัญชนมาหลายปี ไม่เปิดประตูเรือนออกมาข้างนอก แต่สุดท้ายก็ยังมีคนรู้ และให้คนพาตัวข้ากลับมา แล้วให้ข้าอยู่ในวัดต้าเซียงกั๋วแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรจากการถูกคุมขัง
“ส่วนเรื่องตระกูลของข้ากับตระกูลเซี่ยคงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมาก เจ้าเองก็น่าจะรู้แล้ว ข้าอยากจัดการเซี่ยโส่วฝู ให้ตระกูลเซี่ยของเขาตายไปเช่นเดียวกับตระกูลของข้า อยากจะสนับสนุนเจ้า รอให้เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วค่อยไปเผชิญหน้ากับเซี่ยซิ่งเหยียน ทว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ได้สอบต่อหน้าพระที่นั่ง กลับชิงสังหารลูกชายของเซี่ยซิ่งเหยียนก่อนเสียแล้ว เขาจะไว้ชีวิตของเจ้าหรือ ต่อไปเส้นทางขุนนางในราชสำนักของเจ้าคงไม่แน่นอนแล้ว แล้วเจ้าจะช่วยข้าจัดการเซี่ยซิ่งเหยียนได้อย่างไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง “ไม่สามารถยืนหยัดในราชสำนักได้ แต่กระหม่อมสามารถรับตำแหน่งขุนนางอยู่นอกเมืองหลวงได้ชั่วคราว รอจนปีกกล้าขาแข็งเมื่อไรกระหม่อมจะกลับมา เหนียงเหนียง ท่านเองก็รอมาหลายปีแล้ว รออีกสักสองสามปีก็ไม่น่าเป็นปัญหาอันใด
“ส่วนที่กระหม่อมสังหารบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู เขาจะจัดการกระหม่อมอย่างไรนั้น เหนียงเหนียงโปรดวางพระทัย ตอนนี้อย่าว่าแต่เซี่ยซิ่งเหยียนจะรู้ว่าบุตรชายของตนตายไปแล้ว กระทั่งบุตรชายไปไหนเขาคงไม่รู้ และจู่ๆ เมื่อวานศพของเซี่ยเทียนเฉิงก็หายไป การที่ศพของเขาหายไปเช่นนี้ ท่านว่าเป็นฝีมือของใครกัน หากไม่ใช่ฮ่องเต้”
“เป็นเขาอย่างนั้นหรือ” ป้าโจวกำสร้อยประคำแน่นอีกครั้ง “เขาจะ…”
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มศีรษะคำนับนาง “ขอบพระทัยเหนียงเหนียง ที่ส่งองครักษ์เงามาปกป้องเยว่เอ๋อร์ หากมิใช่เพราะคนผู้นั้นลงมือทันเวลา เกรงว่ากระหม่อมต้องเสียใจไปจนตายเป็นแน่”
หลังจากก้มศีรษะคำนับแล้ว เขาก็ยืดตัวตรง แล้วมองป้าโจวพลางเอ่ยต่อ “หลังจากกระหม่อมเข้าเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือเรื่องในราชสำนักมาบ้าง และแอบตัดสินว่าฮ่องเต้ไม่พอพระทัยตระกูลเซี่ยมานานแล้ว แต่เพราะตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลขุนนางตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เส้นสายแผ่กระจายไปทั่วราชสำนัก มีพรรคพวกภายใต้อำนาจอยู่มากมาย
“เซี่ยซิ่งเหยียนและน้องชายของเขาเซี่ยซิ่งเย่ คนหนึ่งเก่งด้านบุ๋น อีกคนเก่งด้านบู๊ เรื่องในราชสำนักจำเป็นต้องมีคนจัดการ ข้าศึกที่ชายแดนต้องมีคนขับไล่ ดังนั้นฮ่องเต้จึงทำได้เพียงนิ่งเฉยชั่วคราว ต้องทำเป็นไม่ใส่ใจกับงานของบ้านเมือง แสร้งทำตัวเจ้าสำราญไปวันๆ ก็เพื่อให้ตระกูลเซี่ยตายใจ แต่ในใจของพระองค์นั้นอยากกำจัดตระกูลเซี่ยให้ราบคาบ
“พระองค์เองก็ทรงทราบถึงความคับแค้นใจของท่านและตระกูลของท่านดี ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้ท่านอยู่ที่นี่ ทั้งยังส่งคนมาดูแลคุ้มครองท่าน และศพของเซี่ยเทียนเฉิงนั้น ต้องเป็นพระองค์ที่สั่งให้คนมาจัดการเป็นแน่ เมื่อเช้านี้มีขันทีมาประกาศราชโองการ บอกว่าฮ่องเต้สั่งให้บัณฑิตก้งซื่อเข้าไปพักในกวนเซ่อ คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าไปตามอำเภอใจ เจตนานี้ของพระองค์หมายความว่าอย่างไร เหนียงเหนียงเองก็น่าจะเข้าใจดี”
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปกป้องเสวี่ยหยวนจิ้ง เพื่อไม่ให้เซี่ยซิ่งเหยียนแอบลงมือกับชายหนุ่ม
ป้าโจวไม่อาจอธิบายได้ว่าขณะนี้ตนรู้สึกเช่นไร
เสวี่ยหยวนจิ้งบอกนางว่าฮ่องเต้รู้ถึงความคับแค้นใจของนางและตระกูลของนางดี หรือจะบอกว่าในปีนั้นเขารู้ว่าบิดาของนางไม่ได้คิดก่อกบฏ เพียงแค่ต้องการจะตบตาตระกูลเซี่ย…
แต่เพื่อตบตาตระกูลเซี่ย เขาถึงกับต้องยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูลของนางเลยหรือ แม้แต่นางกับบุตรชาย เขายังจับส่งเข้าตำหนักเย็น และตอนนี้นางอยู่ในวัดต้าเซียงกั๋ว ทว่าบุตรชายของนางในขณะนี้เป็นเช่นไรไม่อาจรู้…
นัยน์ตาของป้าโจวคลอไปด้วยน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางให้อภัยคนผู้นั้น ต่อให้เขาจะไม่มีทางเลือกก็ตาม
ไม่นานนางก็กล่าวออกมาได้อีกครั้ง “หลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งแล้วเจ้าอยากรับตำแหน่งขุนนางนอกเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ด้วยความสามารถของเจ้า ต้องสอบติดหนึ่งในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน เมื่อประกาศผลสอบออกมา ผู้ที่สอบติดสามอันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางตามราชโองการ และเข้าสู่สำนักฮั่นหลิน”
“เรื่องนี้เหนียงเหนียงไม่ต้องกังวล” เสวี่ยหยวนจิ้งคลี่ยิ้มบาง “แต่ช่วงนี้กระหม่อมขอให้เหนียงเหนียงช่วยข้าดูแลเยว่เอ๋อร์ด้วย เมื่อนางปลอดภัย กระหม่อมถึงจะวางใจ”
เมื่อครู่นี้ป้าโจวเห็นมวยผมของเสวี่ยเจียเยว่แล้ว นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองผิงหยาง บังเอิญได้ยินพวกเจ้าสองคนพูดคุยกัน จึงได้รู้ว่าพวกเจ้ามิใช่พี่น้องกันแท้ๆ ตอนนี้… พวกเจ้าทั้งสองแต่งงานกันแล้วหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองนางอย่างตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบไปตามตรง
“แม้ว่าพวกเราจะลงชื่อในหนังสือสมรสแล้ว แต่ยังมิได้มีพิธีไหว้ฟ้าดิน เดิมทีกระหม่อมคิดว่าหลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งเสร็จจะจัดพิธีแต่งงานกับนาง”
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กระหม่อมกับเยว่เอ๋อร์ไม่มีญาติผู้อาวุโส ท่านเป็นมารดาบุญธรรมของนาง กระหม่อมก็หวังว่าตอนที่พวกเราสองคนไหว้ฟ้าดินนั้น ท่านจะมาเป็นพยานให้พวกเราด้วย”