บทที่ 179 หลอกกินหลอกดื่ม

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

สัตว์หกเขาตัวล่ำสันลากรถไม้ชิงมู่เล็กๆ เดินไปตามถนนลูกรังอย่างไม่รีบไม่ร้อน เต๋อสี่นั่งหน้ารถขับรถสัตว์หกเขาที่ไม่เคยขับมาก่อนก็ยังเลียนแบบได้คลับคล้ายนัก ส่วนปู้จื้อโหยวนั่งอยู่ในรถสูบยาอย่างเอ้อระเหยด้วยท่าทางเกียจคร้าน จินเฟยเหยาเป็นทาสหญิงใบ้รับใช้ส่วนตัว นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าหลุบตาลงพลิกอ่านตำราเล่มหนึ่งในมือ

มู่ถ่ากลับขี่สุนัขป่าสามหางตัวหนึ่งติดตามอยู่ข้างรถไม่ห่างสักก้าว คุ้มครองส่งปู้จื้อโหยวกลับเมืองปาต๋า

บอกว่านี่คือรถคันหนึ่งยังยกย่องมันเกินไป ไม่รู้ว่าโลกเผ่ามารไม่มีช่วงอากาศเย็นใช่หรือไม่ รถสัตว์หกเขาคันนี้จึงปล่อยให้ลมเข้าทุกด้าน เหนือศีรษะก็เป็นหลังคาทรงกลม แขวนผ้าไหมกึ่งโปร่งใสไว้รอบด้าน ไม่มีประสิทธิภาพกันลมกันฝนเลยสักนิด อีกทั้งตัวรถสูงเพียงครึ่งเดียวของรถม้าปกติ สูงเพียงครึ่งเดียวนั้นช่างเถอะยังฉลุเป็นรูเล็กๆ อีก มีใครนั่งอยู่ด้านในมองจากภายนอกแวบเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน

จินเฟยเหยากำลังอ่านภาษามารในมือเงียบๆ อักษรมารที่เหมือนยันต์ปิศาจและภาษามารที่ออกเสียงประหลาดเหล่านั้นทำให้นางอ่านอย่างปวดใจ บางครั้งบางคราวนางยังแอบมองปู้จื้อโหยวพบว่าใต้ร่างของเขามีหมอนอิงยาวๆ ใบหนึ่ง ความยาวใกล้เคียงกับของจอมมารหลงเพียงแต่วัสดุที่ใช้ด้อยกว่ามาก

นางพลันนึกขึ้นได้ หรือว่าเนื่องจากนั่งรถเทียมสัตว์ที่เปิดให้ลมโกรกสี่ด้านเช่นนี้ ดังนั้นจอมมารหลงจึงทำหมอนอิงอันงดงามขึ้นโดยเฉพาะ?

สุดท้าย จินเฟยเหยาก็อดถามไม่ได้จึงถ่ายทอดเสียงไปถามปู้จื้อโหยว “เสี่ยวปู้ รถของคนเผ่ามารล้วนเป็นเช่นนี้หรือ?”

“โดยพื้นฐานแล้วรถของชนชั้นสูงเผ่ามารล้วนมีลักษณะเช่นนี้ หลักๆ คือเพื่อให้คนธรรมดาและทาสกราบไหว้ เจ้ารู้สึกว่าลายฉลุมากเกินไปใช่หรือไม่” ราวกับปู้จื้อโหยวรู้ว่าในใจนางคิดอะไร ไม่ต้องถามก็รู้แล้ว

จินเฟยเหยาปิดตำราเพื่อจะพักสมองสักหน่อยจึงถ่ายทอดเสียงไปว่า “ข้าอยากถามว่าที่นี่มีฤดูหนาวหรือไม่ ถ้าหิมะตก อากาศหนาวก็ต้องนั่งรถม้าแบบนี้ให้คนธรรมดาและทาสกราบไหว้ คงทรมานตนเองมากเกินไป”

ปู้จื้อโหยวยิ้ม ถ่ายทอดเสียงมาบอกว่า “ที่โลกเผ่ามาร ชนชั้นสูงต้องถูกคนธรรมดากราบไหว้ นี่คือประเพณีที่สืบทอดมานับหมื่นๆ ปี และอำนาจก็อยู่ในมือของชนชั้นสูงมาตลอด คนเผ่ามารที่นี่ล้วนเคารพและเชื่อฟังคำสั่งของชนชั้นสูงโดยสมบูรณ์ และเป็นสาเหตุว่าทำไมเผ่ามนุษย์จึงไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเผ่ามารมาตลอด”

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปู้จื้อโหยวจึงเล่าถึงหนทางการอยู่ร่วมกันของสองโลกอันซับซ้อน “สำหรับเวทมนตร์และวัตถุสิ่งของ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย ดินแดนเผ่ามนุษย์มีทิวทัศน์งดงามมากกว่า ส่วนสภาพแวดล้อมทางโลกเผ่ามารย่ำแย่กว่า เผ่ามารคิดจะแย่งชิงดินแดนของเผ่ามนุษย์มาให้ตนเองอาศัย เผ่ามนุษย์ก็คิดจะควบคุมโลกเผ่ามาร สัตว์ปิศาจและหญ้าวิญญาณของที่นี่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างคิดจะควบคุมอีกฝ่ายจึงไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ อีกทั้งเนื่องจากความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันจึงไม่อ่อนข้อให้แก่กันอยู่แบบนี้ แต่สภาพเช่นนี้จะดำเนินไปได้อีกไม่นาน ขอเพียงมีความโลภไม่สิ้นสุดสงครามก็จะเกิดขึ้น ระหว่างโลกอื่นๆ ก็มีความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน ทั้งยังปั่นป่วนวุ่นวายมากกว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉิน”

จินเฟยเหยากระพริบตาถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้? รวมโลกทั้งสองฝั่งเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในโลกเผ่ามนุษย์ที่มีสภาพแวดล้อมดี จากนั้นถ้าต้องการทรัพยากรก็ไปโลกเผ่ามาร ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ต้องต่อสู้กันและได้ประโยชน์ร่วมกัน”

“แนวความคิดไม่เหมือนกัน รูปร่างภายนอกไม่เหมือนกัน ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ในสายตาของเผ่ามาร เผ่ามนุษย์เป็นคนจอมปลอมที่ต่ำช้า ขลาดเขลา และรักหน้าตา ส่วนในสายตาของเผ่ามนุษย์ เผ่ามารเป็นคนป่าเถื่อนที่ดุร้าย เป็นสัตว์ป่า จะรู้จักกฎระเบียบและมารยาทได้อย่างไร” ราวกับปู้จื้อโหยวจนปัญญาและไม่พอใจสภาพการณ์ของสองโลกอย่างยิ่ง

เรื่องประเภทนี้ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้ จินเฟยเหยารู้สึกว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ยังพอทำเนา พอพูดแล้วตนเองก็รับฟังอย่างจนใจ เดิมทีเรียนภาษามารจนสมองพองโตคิดจะพูดคุยเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าสมองจะพองโตกว่าเดิม นางได้แต่ก้มหน้าอ่านภาษามารในมือต่อไม่ถกเรื่องลึกซึ้งเช่นนี้กับปู้จื้อโหยวอีก

ไม่มีจินเฟยเหยาพูดคุยกับเขา ปู้จื้อโหยวก็เอนพิงในรถหลับตาพักผ่อนราวกับหลับและไม่หลับ

อาจเป็นเพราะเข้าใกล้เมืองปาต๋า คนเผ่ามารระหว่างทางจึงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าคนธรรมดาหรือทาส คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรหรือไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียร ยามรถสัตว์หกเขาของปู้จื้อโหยวแล่นผ่าน พวกเขาล้วนคุกเข่าลงต้อนรับ รอจนรถสัตว์หกเขาแล่นไปไกลแล้ว พวกเขาจึงยืนขึ้นด้วยสีหน้าเคารพแล้วเร่งรุดเดินทางต่อ

ภาพอันมีหน้ามีตาขนาดนี้ จินเฟยเหยาและเต๋อสี่รู้สึกว่าหลังเย็นเยียบแทน คนพวกนี้เคารพชนชั้นสูงถึงปานนี้ ถ้าถูกพบว่าพวกเขาเป็นตัวปลอม ต้องถูกคนพวกนี้กลืนกินทั้งเป็นแน่นอน

ระหว่างทางเต๋อสี่ยังมองเห็นคนสีเทาที่รู้จักหลายคนโดยบังเอิญ พวกเขาปะปนอยู่ท่ามกลางคนเผ่ามาร เนื่องจากคนเผ่ามารรอบด้านคุกเข่า เพื่อไม่ให้เด่นสะดุดตาจึงได้แต่คุกเข่าลงข้างทางด้วย ขนาดคนขับรถม้าเป็นคนรู้จักของพวกเขาก็ยังจดจำไม่ได้

มู่ถ่าขี่สุนัขป่าสามหางแสร้งเป็นองครักษ์และรับการคุกเข่ากราบไหว้มาตลอดทาง นางยินดีอย่างยิ่ง เชิดหน้าขึ้นสูงราวกับเป็นองครักษ์ขี่สุนัขป่าเดินผ่านเบื้องหน้าทุกคนไปอย่างภาคภูมิจริงๆ

แม้แต่คนเผ่ามารขั้นสร้างฐานที่ขี่ม้าระหว่างทาง พบพานปู้จื้อโหยวก็ต้องลงจากม้ามายืนอยู่ข้างทางและก้มหน้าครึ่งหนึ่งแสดงความเคารพต่อปู้จื้อโหยว

ถ้าปู้จื้อโหยวเป็นชนชั้นสูงของเผ่ามารจริงๆ จินเฟยเหยากับเต๋อสี่ยังรู้สึกสบายใจ น่าเสียดายที่ทั้งสองคนอกสั่นขวัญแขวน อาศัยลีลาการแสดงออกและการแต่งกายของปู้จื้อโหยวตลอดทางจึงไม่มีผู้ใดสงสัยพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อใกล้เมืองปาต๋าคนที่คุกเข่ายิ่งมีมากขึ้น เงยหน้ามองไปเห็นข้างทางเต็มไปด้วยคนเผ่ามารซึ่งมีเส้นผมห้าหกสีคุกเข่าอยู่

จินเฟยเหยานั่งอยู่ในรถสัตว์หกเขาอย่างไม่สบายใจราวกับนั่งบนพรมเข็ม คิดเพียงอีกเดี๋ยวก็ถึงเมืองปาต๋าแล้ว สมดังใจนาง มู่ถ่าที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์มาตลอดทางพลันมารายงาน “ใต้เท้า เบื้องหน้าคือเมืองปาต๋า”

จินเฟยเหยาฟังไม่เข้าใจ ทว่ามีปู้จื้อโหยวถ่ายทอดเสียงให้นาง นางรีบมองไปด้านหน้า กำแพงดินซึ่งสร้างขึ้นจากดินล้วนๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า บ้านสี่เหลี่ยมที่สร้างขึ้นจากดิน ผ้าหลากสีปลิวไสวทุกหนแห่ง ราวกับหวนคืนสู่เมืองปาทง

คนทั้งสี่เข้าเมืองปาต๋าไปอย่างครึกโครม คนในเมืองก็คุกเข่ากราบไหว้มาตลอดทาง ขนาดทหารรักษาการณ์ยังตกใจ คิดไม่ถึงว่าในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลจะมีชนชั้นสูงปรากฏตัว ทำให้ทหารรักษาการณ์ตื่นเต้นยินดีและแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว เกรงว่าหากดูแลไม่ทั่วถึงจะล่วงเกินใต้เท้าเหล่านี้เข้า

เขาแล่นมาต้อนรับด้วยตนเอง ขวางรถของปู้จื้อโหยวไว้ระหว่างทาง จากนั้นค้อมกายคารวะอย่างเคารพนบนอบแล้วเอ่ย “คารวะใต้เท้า ผู้น้อยคือ อูตี๋ ทหารรักษาการณ์เมืองปาต๋า ที่นี่ห่างไกลและทุรกันดาร ใต้เท้าโปรดอย่าถือสา”

“ทหารรักษาเมืองหรือ? ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนก่อน” ปู้จื้อโหยวเอนพิงหมอนอิงเอียงๆ มองทหารรักษาการณ์ที่นำผู้ใต้บังคับบัญชามายี่สิบกว่าคนเบื้องหน้าแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

พอทหารรักษาการณ์ได้ยินรีบเอ่ยว่า “ผู้น้อยจัดการที่พักเรียบร้อยแล้ว จะพาใต้เท้าไปเดี๋ยวนี้ ไม่ทราบใต้เท้ามีนามว่าอะไร?”

“ปู้” ปู้จื้อโหยวเชิดหางตาขึ้นนิดๆ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน

ชนชั้นสูงนามอักษรตัวเดียว! พอทหารรักษาการณ์ได้ยินแล้วนิ่งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับใต้เท้าจากตระกูลเหล่านี้ เขารู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง มู่ถ่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง สองตายิ่งเป็นประกาย มองปู้จื้อโหยวราวกับจับจ้องเหยื่อ

จินเฟยเหยาที่ฟังคำสนทนาไม่ออกเลยสักนิด เห็นหลังจากปู้จื้อโหยวส่งเสียงออกมาคำหนึ่งคนรอบด้านทั้งหมดก็ทำท่าทางราวกับได้เปรียบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดีอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะบรรดาสตรีที่คุกเข่าอยู่โดยรอบ ไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนของนางหรือไม่ จินเฟยเหยารู้สึกเหมือนใบหน้าของสตรีเหล่านี้เปล่งประกายขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ละคนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมีเสน่ห์สุดเปรียบปาน สายตาเปี่ยมรักจำนวนนับไม่ถ้วนส่งออกมาจากดวงตาของทุกคน

จินเฟยเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง ภาพฉากนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ ที่แท้ปู้จื้อโหยวพูดอะไรกันแน่? จึงดึงดูดสตรีทั้งหมดในที่นี้ได้ทันที นางเกิดความรู้สึกว่าอีกเดี๋ยวท้องนภาจะมีห่าเขาตกลงมาเพราะสตรีเหล่านี้จะตัดเขาโยนมาให้ นางค้นหาในร่างคิดจะนำร่มดอกไม้มากางกั้น อีกสักครู่จะได้ไม่ถูกเขาที่โยนมากระแทกใส่ กลับนึกขึ้นได้ว่าร่มดอกไม้ถูกทำลายไปนานแล้ว

โชคดีที่อูตี๋ ทหารรักษาการณ์ก็พบเห็นสายตาลุ่มหลงคิดจะย่างก้าวเดียวขึ้นสวรรค์ของบรรดาสตรีเหล่านี้ จึงรีบคุ้มครองส่งปู้จื้อโหยวไปบ้านเขา

ทหารรักษาการณ์มีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสร้างฐานช่วงปลายกลับดูแลเมืองปาต๋าทั้งหมด เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ข้างเขตป้องกันซึ่งคนสีเทาหลายสิบคนไปมาบ่อยๆ มีคนสีเทาค้าขายปะปนอยู่ในเผ่ามาร ทหารรักษาการณ์ต้องรู้แน่ อีกทั้งคนในเมืองอย่างน้อยหนึ่งในห้าก็รู้เรื่องนี้ ทว่าเนื่องจากผลประโยชน์มหาศาล บวกกับเบื้องบนไม่สนใจ คนเหล่านี้ก็ไม่ยินยอมตัดหนทางร่ำรวย ดังนั้นจึงปล่อยให้คนสีเทาค้าขายในเมืองอย่างอิสระ

แต่ละปีทหารรักษาการณ์จะได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากการค้าที่เกี่ยวกับคนสีเทา บ้านของเขาเป็นบ้านที่หรูหราและงดงามที่สุดในเมืองปาต๋า ถึงดูจากภายนอกจะเห็นเพียงกำแพงดินสูงใหญ่ยาวเหยียด และไม่ทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายร่ำรวยและสูงส่ง

ทหารรักษาการณ์อูตี๋ส่งคนมาขับไล่บุตรและภรรยาทั้งหมดของตนเองไปอยู่ที่ห้องข้างนานแล้ว และให้คนจัดแจงห้องทันที ทั้งยังให้ทั้งตระกูลคุกเข่าต้อนรับชนชั้นสูง ปู้ อยู่ตรงประตู

เห็นปู้จื้อโหยวมาถึงประตูบ้านของผู้อื่น เดินลงจากรถสัตว์หกเขาอย่างไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด จินเฟยเหยาได้แต่รวบรวมความกล้าติดตามไป

ปู้จื้อโหยวยืนอยู่ตรงประตูบ้านทหารรักษาการณ์ เบื้องหน้ามีเด็กและคนชราทั้งตระกูลของอูตี๋คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาถือกล้องยาสูบส่ายไหวเบาๆ อย่างสง่างามแล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”

“ขอบคุณใต้เท้า” เด็กและคนชราเหล่านี้เอ่ยขอบคุณอย่างพร้อมเพียง ลุกขึ้นและยืนก้มหน้าอยู่สองฟากประตู อูตี๋รีบเดินนำพวกเขาเข้าไปด้านใน

หรือว่าคนเหล่านี้ไม่ตรวจสอบแม้กระทั่งฐานะ ไม่ครุ่นคิดดูบ้างว่าเผ่ามนุษย์ก็มีเส้นผมสีดำทั้งหมด ไม่ใช่สวมเสื้อผ้าถือกล้องยาสูบก็สามารถปลอมเป็นชนชั้นสูงได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเหล่านี้คิดอะไร คิดไม่ถึงว่าถูกคนหลอกจนกลายเป็นแบบนี้ยังไม่รู้ตัวสักนิด จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่สบายใจ รู้สึกเสียใจกับความสัตย์ซื่อของคนเผ่ามารพลางเดินเข้าเรือนของคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองปาต๋า

กำแพงดินภายนอกบดบังทิวทัศน์ด้านใน ด้านหลังกำแพงดินแห้งๆ เป็นลานบ้านซึ่งปูด้วยกระเบื้องสีสันสดใส ในเรือนปลูกต้นไม้ใหญ่สิบกว่าต้น ด้านหน้าเป็นบ้านดินสูงสามชั้น มองจากภายนอกไม่เห็นความโอ่อ่า สามารถเห็นผ้าสีสันสดใสแขวนอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่เหมือนผ้าที่คนธรรมดาแขวนไว้บนถนนภายนอก

ในมุมด้านข้างลานเรือน มีทะเลสาบแห่งหนึ่งที่สร้างด้วยฝีมือคน ในนั้นปลูกพืชน้ำหลายต้น ทั้งยังมีนกน้ำหน้าตาคล้ายเป็ดสองตัวว่ายอยู่ในทะเลสาบ บนคอของนกน้ำตัวหนึ่งในนั้นยังผูกเชือก พอเห็นก็รู้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของเด็กบางคนในตระกูล

ข้างทะเลสาบมีศาลาในสวนที่ปูพรมสีสันสดใส จัดวางอาหารและจุดเครื่องหอมไว้ เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการพักผ่อนยามว่าง เป็นไปได้ว่าคิดสนทนาตีสนิทกับปู้จื้อโหยวหลายประโยค ในศาลาไม่เหมือนในห้องที่ไม่เหมาะจะรบกวน อูตี๋นำพวกเขาเดินไปยังศาลา