เล่ม 1 ตอนที่ 150 การผสานรวมสำเร็จและการเปลี่ยนแปลง

สลับชะตา ชายามือสังหาร

เห็นแก่ความยากลำบากของเจ้าอ้วนชวี ซือหม่าโยวเย่ว์จึงทำกีบหมูย่างให้เขาอย่างใจดี เธอแบ่งส่วนหมูป่าตัวนั้นอย่างง่ายๆ เพื่อเป็นเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารให้กับทุกคนในระยะเวลาต่อจากนี้

ขณะที่เธอทำอาหาร เจ้าอ้วนชวีก็นั่งพักผ่อน เมื่อเธอทำเสร็จ เจ้าอ้วนชวีก็ฟื้นฟูร่างกายเรียบร้อยพอดี

“โอ้โห หอมเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมของเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังย่างกีบหมูอยู่ จึงเอ่ยว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าโยวเย่ว์จะทำกีบหมูย่างจริงๆ เสียด้วย! กลิ่นหอมยิ่งนัก!”

ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังใส่เครื่องปรุงอย่างสุดท้ายลงบนกีบหมู จึงเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนที่บางคนกำลังออกหมัดอยู่บอกว่าเย็นนี้อยากกินมิใช่หรือ หลังจากนั้นก็ยังพูดอีกครั้งหนึ่งด้วย เห็นเจ้าอยากกินถึงเพียงนี้ ข้าก็เลยสนองให้เจ้าน่ะสิ”

“ฮ่าๆ โยวเย่ว์ เจ้าช่างล้ำเลิศนัก! ในภายหน้าผู้ใดแต่งงานกับเจ้า ช่างมีลาภปากเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางน้ำลายไหล

“ข้าไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับใครเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “รอให้ข้าทำเรื่องที่อยากทำเสร็จหมดก่อน เกรงว่าข้าก็คงขึ้นคานเสียแล้วละ”

“เจ้าช่วยพวกท่านแม่ทัพซือหม่าออกมาแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกหรือไม่” เจ้าอ้วนชวียื่นมือออกไปหมายจะหยิบกีบหมูที่ย่างเสร็จแล้ว แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ปัดมือออกไป

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ นอกจากช่วยท่านแม่ทัพซือหม่า เจ้ายังมีเรื่องใดที่ต้องทำอีกหรือไม่” เว่ยจือฉีก็ถามอย่างใคร่รู้เช่นกัน

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม มิได้เอ่ยตอบ

ธุระของเธอยังมีอีกมากมาย ทั้งไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย ทั้งไปตามหาบิดามารดาบังเกิดเกล้า ทั้งไปจัดการบุญคุณความแค้นในชาติก่อนของตน ถึงแม้ว่าเธอยังระลึกความทรงจำในชาติก่อนไม่ได้ทั้งหมด แต่ดูจากความฝันในทุกๆ ครั้ง ตระกูลซีเหมินยังรอให้เธอไปแก้แค้นแทนให้อยู่

นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เธอยังต้องไปช่วยหมัวซาเสาะหาวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาด้วย เธอมีลางสังหรณ์ว่าพลังยุทธ์ของหมัวซาก่อนหน้านี้คงจะไม่ธรรมดา หากพัวพันกับเขา ในภายหน้าตนอาจต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภพมาร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จุดนี้ก็ทำให้เธอปวดหัวอยู่บ้าง

เธอจัดเตรียมกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงส่งกีบหมูย่างให้กับเจ้าอ้วนชวี เห็นเขากินอย่างเบิกบานใจยิ่ง คล้ายกับระบายความคับข้องใจของการต่อสู้เมื่อตอนเช้าออกมาจนหมด

กินมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเทือกเขา บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งของพวกเขาอยู่ค่อนเข้าไปทางด้านในแล้ว ยามบ่ายจึงพบกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสูงสองตัว

เพราะสัตว์อสูรวิเศษสองตัวในช่วงบ่ายมิได้ใช้กำลังดุร้ายเพียงอย่างเดียวเหมือนเจ้าหมูป่า ดังนั้นการต่อกรกับพวกมันจึงยากลำบากพอสมควร ครั้งหนึ่งเป็นซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเข้าไปสู้พร้อมกัน ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นโอวหยางเฟยกับเว่ยจือฉี

พอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ตั้งค่ายพักกันที่ริมลำธารในหุบเขา การต่อสู้ในช่วงบ่ายทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บกันมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นจึงกลับไปพักผ่อนกันแต่หัววัน เหลือเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษคอยเฝ้ายามเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาก่อน หลังจากนั้นจึงกินยาวิเศษเม็ดหนึ่งเพื่อรักษาตน เพียงไม่นานเธอก็ลืมตาขึ้นแล้วกระโจนลงจากเตียง ก่อนจะหยิบเตาหลอมยาและเครื่องยาออกมาเตรียมหลอมยาวิเศษ

ยาวิเศษของตระกูลซือหม่ายังต้องอาศัยเธอเป็นคนหลอมให้อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นตอนที่เธอพักผ่อนจึงต้องหลอมยาวิเศษที่ใช้เป็นประจำเอาไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ให้เจ้าคำรามน้อยส่งไป เมื่อถึงสถานที่นัดหมายจึงมอบให้กับคนที่มารับของ

พร้อมกันนั้นเธอก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนการหลอมยาไปในตัว

คืนต่อๆ มา ถ้าหากไม่หลอมยา เธอก็ฝึกยุทธ์ หรือไม่ก็รับสัมผัสห้วงมิติ เมื่อเธอรับสัมผัสห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเข้าใจห้วงมิติมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จึงเห็นโลกบริเวณรอบๆ แตกต่างไปจากเดิมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเธอ ห้วงมิติจึงมิใช่สิ่งที่มิอาจคาดคะเนได้อีกต่อไปแล้ว ทว่าก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

หลังจากเข้าไปในภูเขาได้ครึ่งเดือน พวกเขาก็หาถ้ำตามธรรมชาติแห่งหนึ่งพบ ภายในถ้ำภูเขามีอุโมงค์อยู่หลายเส้น ทุกคนจึงจัดการขยายมันให้กว้างขึ้นเพื่อทำเป็นห้องของตน ทำให้ที่นั่นกลายเป็นฐานทัพใหญ่ชั่วคราวของพวกเขา

ยามกลางวันหากพวกเขามิได้ดวลกันเอง ก็เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝน ยามกลางคืนก็ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ชีวิตของซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่กับพวกเขาได้รับการเติมเต็มเป็นอย่างยิ่ง

แต่เพราะต้นผลอสรพิษทองคำต้องการแสงจันทร์ ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงมักจะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ข้างนอกเป็นประจำ

เพราะว่าที่นี่มีปราณวิญญาณเข้มข้น ดังนั้นหลังจากการต่อสู้ใหญ่ทุกครั้ง พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงระยะหนึ่งมาฟื้นฟูปราณวิญญาณในร่างกายได้ และทุกครั้งล้วนได้ประโยชน์ไม่น้อย

เข้าไปในภูเขาไม่ถึงเดือน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เลื่อนไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้าแล้ว หลังผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า หลังจากที่ต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งแล้ว เธอก็บรรลุระดับปรมาจารย์วิญญาณ สำเร็จเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นหนึ่ง

ยามราตรีของคืนนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกรวบรวมพื้นฐานของขั้นมหาปรมาจารย์วิญญาณ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสร้อยข้อมือม่านถัว จึงรีบเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา ให้มันวางข่ายมนตร์

เมื่อวางข่ายมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หมัวซาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในถ้ำ

“เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

นับว่าการผสานรวมของหมัวซาในครั้งนี้หายไปนานครึ่งปีโดยไร้ซึ่งข่าวคราว เธอเป็นกังวลว่ามณีวิญญาณอาจเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการผสานรวม ทั้งยังกังวลว่าหมัวซาจะต้านทานไหวหรือไม่ จะทำร้ายดวงวิญญาณของเขาเข้าหรือไม่ แต่เขาก็มิได้ติดต่อเธอเลย เธอก็ไม่กล้ารีบร้อนติดต่อเขา

หมัวซาพยักหน้า เจดีย์เล็กอันหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ รูปร่างหน้าตาไม่เปลี่ยนไปจากเจดีย์เจ็ดชั้นอันเดิมเลย

“เจดีย์เจ็ดชั้นเล่า มณีวิญญาณเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเพียงแค่เจดีย์เล็ก จึงเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าลองรับสัมผัสสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับมันดูสิ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเจดีย์เล็กขึ้นมาแล้วหลับตารับสัมผัสดู ก็สัมผัสได้ว่ามีสายสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจดีย์นี้อยู่จริงๆ ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เธอกับหมัวซา รวมทั้งเจ้าคำรามน้อยก็มาปรากฏตัวที่สภาวะแวดล้อมอีกแห่งหนึ่ง

“เจ้าวิญญาณน้อยเล่า”

เมื่อมองไม่เห็นเจ้าวิญญาณน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมองไปทุกทิศทุกทาง

“ข้าอยู่นี่” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้าๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปอุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาดูแล้วจึงเอื้อมมือไปนวดคลึงบนใบหน้าของเขา แต่กลับถูกเขาปัดมือทิ้ง

“อืม ดูหน้าตาไม่อัปลักษณ์ ยังคงเป็นเจ้าวิญญาณน้อยเหมือนก่อนหน้านี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมาหอมฟอดหนึ่งแล้ววางลง

“หึๆ ย่อมต้องเป็นข้าแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าวิญญาณน้อยเช็ดน้ำลายที่ไม่มีอยู่จริง ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ่งเบิกบานใจมากขึ้นไปอีก

“หมัวซา ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นวิญญาณของหมัวซาซีดขาวกว่าแต่ก่อนจึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล

“ยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไรหรอก” หมัวซาพูด

“ข้าเห็นว่าวิญญาณของท่านเลือนรางลงไปมากทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แต่ดูดพลังวิญญาณไปมากโขเลยล่ะ” หมัวซาพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้มิสู้ดีนัก แต่เหตุใดเธอจึงเห็นเขามีท่าทีไม่อยากให้เธอกังวลใจอยู่ตลอดเลยเล่า

“ข้ามิได้ดูแลต้นผลอสรพิษทองคำนั่นให้ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง

“ข้ารู้น่า” หมัวซาเห็นต้นผลอสรพิษทองคำที่เกือบจะเหี่ยวแห้งไปอยู่ก่อนแล้ว

“เลี้ยงต้นไม้นั่นไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเอามันออกไปทุกวันแล้วด้วย”

“เพราะเหตุใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองเจ้าวิญญาณน้อยพลางถามขึ้น

“เจ้านายโง่งม เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตอนนี้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปแล้วน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างดูแคลน

“ข้าเข้ามาก็ดูเพียงว่าสถานการณ์ของพวกเจ้าทั้งคู่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว ย่อมมิได้สังเกตหรอกว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองไปรอบทิศก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าที่นี่มีความแตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้”

เจ้าวิญญาณน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก้มหน้าลงมองสิ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วจึงก้มศีรษะลง ก็เห็นเงาของตนเอง เธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าที่นี่มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ทั้งยังมีแสงตะวันเจิดจ้าอีกด้วย!