ตอนที่ 184 ไม่อาจแก้ไขไปได้

ปฏิญญาค่าแค้น

นางฮานเห็นสามีดุดันและเด็ดขาดเช่นนี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธแค้นและอารมณ์ต่างๆ นานาที่เก็บกดไว้เนิ่นนานจึงปะทุออกมาเสมือนหินหนืดภูเขาไฟที่พวยพุง นางจ้องเขม็งไปที่สามีแล้วตะคอกสุดเสียง “ข้าจะปกป้องนางแล้วจะทำไมหรือ เจ้าเฆี่ยนตีเลยสิ! เจ้าเฆี่ยนตีข้าให้ตายไปด้วยเลย จะได้สาแก่ใจเจ้า จะได้สมปรารถนาของเจ้า”

หลี่จิ้งเสียนกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางชี้นิ้วไปยังนางฮานที่ใกล้จะบ้าคลั่งเข้าไปทุกที “เจ้า…เจ้ามันไม่รู้จักเหตุจักผลชัดๆ”

นางฮานกล่าวโต้แย้งไม่ลดราวาศอกด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “คนที่มิรู้จักเหตุจักผลเป็นเจ้าต่างหาก ยามที่ไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่เคยถามไถ่ ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็จ้องแต่จะเฆี่ยนตีให้ตายกันไปข้าง เจ้ากล้าพูดได้เต็มปากหรือไม่ว่าที่หมิงจูตกมาสู่จุดนี้ในทุกวันนี้ เจ้าไม่มีส่วนผิดด้วยเลยแม้แต่น้อย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ หลี่จิ้งเสียน หากวันนี้เจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้านางฮานชิวเยว่ผู้นี้จะสู้เจ้าสุดชีวิต…” นับว่านางได้มองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งเสียที หลี่จิ้งเสียนก็แค่ไอ้คนสารเลวอย่างแท้จริง แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมดีงาม หากกดดันนางนัก หน้าตาชื่อเสียงอันใดของเจ้าก็ช่างเสียปะไร อย่างมากก็ต่างคนต่างอยู่ไปเลยเสียสิ้นเรื่อง

ภายในใจแม่เจียงนั้นรู้สึกกระวนกระวายนัก ฮูหยินไม่เพียงไม่เกลี้ยกล่อม แต่ยังไปต่อปากต่อคำกับนายท่าน เช่นนี้จะมิยิ่งทำให้เรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่หรือ

เมื่อถูกนางฮานข่มขู่ต่อหน้าข้ารับใช้จำนวนมากถึงเพียงนี้ หลี่จิ้งเสียนจึงรู้สึกว่าความน่าเกรงขามในฐานะนายใหญ่ของบ้านกำลังถูกท้าทายอย่างแรง หมิงจูก่อเรื่องร้ายแรงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ทำให้เขาต้องอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทำให้ตระกูลหลี่ต้องขายหน้า แล้วจะมิให้สั่งสอนนางอีกหรือ หลี่จิ้งเสียนระเบิดอารมณ์ ชี้นิ้วไปยังข้ารับใช้เหล่านั้นแล้วกล่าวด้วยเสียงตะคอก “ลากตัวฮูหยินออกมา เฆี่ยน เฆี่ยนให้หนักๆ ดูสิว่าผู้ใดหน้าไหนจะกล้ามาขัดขวางอีก”

หมิงจูกลิ้งลงจากเก้าอี้ด้วยความตื่นกลัวแล้วเข้าไปหลบอยู่ในอ้อมแขนมารดา นางมองไปยังบิดาด้วยสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นระริก “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย…”

บรรดาข้ารับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ต่างพากันเบิกตาโตมองไปยังแม่นางน้อยหมิงจูด้วยความตกตะลึงปนประหลาดใจ เมื่อครู่นี้แม่นางน้อยหมิงจูเรียกนายหญิงว่า…ท่านแม่?

นางฮานกับหลี่จิ้งเสียนสบตากันไม่ลดละด้วยสายตาแห่งความโกรธเกรี้ยว จึงไม่ทันได้สังเกตว่าหมิงจูเอ่ยตะโกนอันใดออกมา ขณะที่แม่เจียงถึงกับเหงื่อแตกท่วมตัว นางรีบเข้ามาเบื้องหน้าเพื่อแก้สถานการณ์ทันที “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ ตอนนี้ท่านเรียกท่านแม่ก็ไร้ประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ของท่านอยู่ฉู่โจวซึ่งห่างไกลยิ่งนัก ท่านควรรีบก้มศีรษะขอขมาเหล่าเหยียถึงจะถูกต้องนะเจ้าคะ”

ประโยคดังกล่าวของแม่เจียงช่วยเตือนสตินางฮาน นางฮานจึงโอบกอดหมิงจูและกล่าวทั้งน้ำตา “หมิงจูผู้น่าสารของข้า! หากท่านพ่อเจ้ายังอยู่ เจ้าคงมิต้องพึ่งพาผู้อื่น ก็คงมิต้องได้รับความไม่ยุติธรรมเหล่านี้…”

ขณะนี้เองหมิงถึงรู้จักฉลาดกับเขาขึ้นมาบ้าง แต่นั่นไม่ใช่การเสแสร้งแต่อย่างใด นางคิดได้ว่าในเมื่อบิดาอยู่เบื้องหน้าแท้ๆ แต่กลับยอมรับสถานะที่แท้จริงไม่ได้แล้วยังโมโหให้เฆี่ยนตีนางอีก ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจนั้น ส่งผลในนางเอ่ยด้วยความเศร้าโศกทั้งน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นสายธาร “ท่านพ่อนะ ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงใจดำทอดทิ้งลูกได้ ทิ้งให้ลูกอยู่ในโลกที่ไร้ผู้คนรักใคร่เอ็นดู ไร้ผู้คนใส่ใจ ท่านพ่อ ท่านรีบพาลูกไปด้วยเถิด! ท่านพ่อ…”

ความโกรธเกรี้ยวของหลี่จิ้งเสียนถูกคำเรียกว่า ‘ท่านพ่อ’ ทำให้ต้องอดกลั้นมันกลับไป ต่อหมิงจู ภายในใจของเขามีความรู้สึกติดค้างอยู่ไม่น้อย ขณะป้องกันแรงกดดันจากคำครหาของคนภายนอก เขาจึงไม่เพียงไม่รับนางให้อยู่ในฐานะบุตรสาวโดยชอบธรรม นอกจากนั้นยังจงใจปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา ทว่า…ก็เพราะความกังวลนี้ของเขาจึงเคร่งครัดต่อหมิงจูเกินไปนักไม่ได้ และนางฮานก็ดันให้ท้ายจนเกินเหตุถึงได้ส่งผลให้หมิงจูมีนิสัยเอาแต่ใจจนก่อเรื่องชวนอับอายอย่างเช่นทุกวันนี้ ทันทีที่นึกถึงสายตาเย้ยหยันและคำพูดจิกกัดของบรรดาสหายร่วมงาน ความโกรธเกรี้ยวภายในจิตใจของหลี่จิ้งเสียนก็ไม่อาจมอดดับลงได้

หมิงเจ๋อมองไปยังประตูลานบ้านด้วยความกระวนกระวาย หลั้วเหยียนไปเรียนเชิญท่านย่าถึงไหนกัน เหตุใดจึงไม่มาเสียที

“เจ้ามิต้องมาร้องเรียกหาพ่อหาแม่ที่นี่ เจ้าอาศัยอยู่ในตระกูลหลี่ ลุงเขยก็คือพ่อของเจ้า ในเมื่อเจ้ากระทำผิดแล้ว ลุงก็มีหน้าที่ต้องสั่งสอนเจ้า” หลี่จิ้งเสียนตัดสินใจแน่วแน่ หากปล่อยไปตามนางฮานอีก ชั่วชีวิตนี้ของหมิงจูคงเป็นอันต้องพังพินาศของจริง

“พวกเจ้าแต่ละคนหูหนวกไปหมดแล้วหรือ ยี่สิบไม้โบยครบแล้วหรือยัง” หลี่จิ้งเสียนตะคอกเสียงเย็นชาภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม

บรรดาข้ารับใช้หน้าไหนจะกล้าขัดคำสั่งของนายท่าน อีกอย่าง แม่นางน้อยหมิงจูผู้นี้ปกติแล้วก็ทำตัวไม่ชวนให้เป็นที่รักใคร่ของผู้คนเท่าใดนัก นายท่านจึงควรสั่งสอนหลานสาวผู้นี้ให้ดีๆ เสียบ้าง จะได้ทำนางรู้จักหลาบจำ ทุกคนจึงร่วมแรงร่วมใจกันมุ่งเข้าไปดึงนายหญิงออกจากแม่นางน้อยหมิงจู

นางฮานโอบกอดหมิงจูเอาไว้แน่น ทว่าพละกำลังนางหรือจะสู้บุรุษที่แข็งแรงกำยำได้ แม่เจียงเกรงว่านายหญิงจะได้รับบาดเจ็บจึงเข้าไปช่วยเหลือ ทันใดนั้นภายในลานบ้านจึงเต็มไปด้วยความชุลมุน จนทำให้หมิงเจ๋อทำได้เพียงหลบหลีกอย่างเร่งด่วน

“หลี่จิ้งเสียน เจ้ามันคนสารเลวไร้หัวใจ ไยเจ้าถึงมิรู้จักคิดเสียบ้างว่าชื่อเสียงอันดีงามและฐานะที่ร่ำรวยในวันนี้ได้มาเยี่ยงไร พวกเราแม่ลูกเพื่ออนาคตหน้าที่การงานของเจ้าจึงยินยอมแบกรับความไม่ยุติธรรมมาหลายปีเพียงใด เจ้าเอาแต่พร่ำเอ่ยว่าจะตอบแทนให้ แล้วนี่หรือคือสิ่งที่เจ้าตอบแทนให้พวกเรา…” ด้วยความเดือดดาลนางฮานจึงส่งเสียงตะโกนโวยวายไม่ไว้หน้า

แม่เจียงตื่นตระหนกอย่างยิ่ง นางรีบเข้าไปยกมือปิดปากนายหญิงเอาไว้ “ฮูหยินเจ้าคะ เหล่าเหยียกำลังฉุนเฉียวอยู่นะเจ้าคะ ท่านก็พูดให้น้อยๆ หน่อยเถิดเจ้าค่ะ…”

หลี่จิ้งเสียนถึงกับหน้าซีดเผือดไปชั่วขณะ นังสารเลวผู้นี้ กล้าพูดจาเพ้อเจ้อถึงเพียงนี้ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ?

“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้…แค่กๆ…” หญิงชราเดินเข้ามาโดยมีติงหลั้วเหยียนและแม่จู้คอยประคองไว้ เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในลานบ้านนางถึงกับแทบเป็นลมล้มพับ

หมิงเจ๋อถอนหายใจเฮือกยาวออกมา โชคดีที่ท่านย่ามาเสียที สถานการณ์ในตอนนี้มีเพียงท่านย่าเท่านั้นที่จะคลี่คลายได้

เมื่อทุกคนเห็นว่านายหญิงชรามาเยือนจึงชะงักมือแล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง

นางฮานและหมิงจูที่เพิ่งถูกฉุดกระชากลากถูเมื่อครู่ ต่างเสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิง บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น กระเซอะกระเซิงเสียยิ่งกว่าอะไร หญิงชรามองเห็นดังนั้นจึงรู้สึกโมโหจนหายใจไม่สะดวกและไอออกมา

หลี่จิ้งเสียนรีบเดินเข้าไปและยกสองมือขึ้นคารวะ “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไรหรือขอรับ”

หญิงชราจ้องเขม็ง “หากข้าไม่มา เจ้าจะไม่เตรียมก่อความวุ่นวายจนถึงแก่ชีวิตคนถึงยอมลดละหรอกหรือ”

หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างหวาดเกรง “ลูกมิกล้าหรอกขอรับ หมิงจูกระทำผิดเมื่อครั้งอยู่นอกบ้าน ลูกในฐานะลุงเขยของนาง การดูแลสั่งสอนนางเป็นเพราะหวังดีต่อนาง ทว่าชิวเยว่นาง…”

หญิงชราได้รับฟังเรื่องราวโดยคร่าวๆ จากหลั้วเหยียนมาพอประมาณ ซึ่งภายในใจก็เป็นอันเข้าใจดีอยู่แล้ว หมิงจูก็ช่างไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวเสียจริง ไม่แปลกเลยที่จิ้งเสียนจะเดือดดาลถึงเพียงนี้ ตระกูลขุนนางรังเกียจที่สุดก็คือชื่อเสียงดีงามได้รับความเสียหาย ชิวเยว่เองด้วยความรักและเอ็นดูบุตรทั้งสองจึงคอยปกป้องและให้ท้ายมาโดยตลอด ดังนั้นการที่ทั้งสองจะเกิดความขัดแย้งต่อกันขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าการทะเลาะเบาะแว้งเช่นนี้ต่อหน้าข้ารับใช้จำนวนมากมันใช้ได้หรือ

หญิงชราแค่นเสียงเย็น “เฆี่ยนก็เฆี่ยนแล้ว ตำหนิก็ตำหนิแล้ว เท่านี้น่าจะพอได้แล้วหรือไม่”

หลี่จิ้งเสียนก้มหน้าไม่พูดไม่จา คำพูดของมารดาเขาหรือจะกล้าคัดค้าน ทว่านางฮานช่างไม่ได้เรื่องได้ราวเข้าไปทุกวัน ยิ่งคิดยิ่งเคียดแค้น

สายตาของหญิงชรามองไปยังหมิงจูที่กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างหมดสภาพ นางทอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหดหู่แล้วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “แม่จู้ไปช่วยประคองหมิงจูเสียวเจี่ยะแล้วเชิญหมอมาตรวจดูอาการนางทีสิ”

แม่จู้ขานรับแล้วหันไปส่งสัญญาณให้สาวใช้สองคนเข้าไปประคองหมิงจูลุกขึ้น

“เรื่องราวในวันนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดแพร่งพรายออกไปภายนอกเป็นอันขาด หากผู้ใดปากมาก ระวังไม้โบยจะไปหาถึงที่” หญิงชรากวาดสายตาข่มขู่ไปโดยรอบแล้วตะคอกขึ้นอีกครั้ง “มัวยืนแข็งทื่ออยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบไปทำงานของตนเองกันอีก”

เพียงชั่วพริบตาข้ารับใช้ที่อยู่ภายในลานบ้านก็พากันเดินออกไปจดหมดเกลี้ยง

หญิงชรามองดูหลี่จิ้งเสียนแล้วจึงมองไปยังนางฮาน “พวกเจ้าทั้งสองตามข้าเข้าไปในบ้าน” นางกล่าวขณะเกาะไม้ค้ำยันเดินมุ่งเข้าไปในเรือนจุ้ยจิ่นเสวียน

แม่เจียงประคองนายหญิงลุกขึ้นแล้วช่วยนางจัดผมจัดผ้า

หลี่จิ้งเสียนจ้องนางฮานอย่างดุดันเขม็งแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าไป นางฮานลังเลใจชั่วขณะก่อนจะเดินตามเข้าไปเช่นกัน เมื่อครู่นี้ด้วยความเดือดดาลจึงขาดสติไปชั่ววูบ ยามนี้พอนึกขึ้นมาได้จึงรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ภายในลานบ้านหลงเหลือเพียงคู่สามีภรรยาหมิงเจ๋อ

หมิงเจ๋อกล่าวโอดครวญ “เหตุใดถึงหายไปนานเพียงนั้น เมื่อครู่เกือบควบคุมสถานการณ์เอาไว้มิได้เสียแล้ว…”

ติงหลั้วเหยียนยังคงเผยสีหน้าตะลึงงัน นางครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดแม่สามีเมื่อครู่ แม่สามีกับพ่อสามีเคยกล่าวว่าตอนนั้นที่บ้านเกิดมีภัยพิบัติทางน้ำ จึงพลัดพรากจากกันไป พ่อสามีเลยคิดมาตลอดว่าแม่สามีเสียชีวิตไปแล้วถึงได้แต่งงานกับนางเยี่ย ทว่าคำทวงถามที่แม่สามีเอ่ยถามพ่อสามีขึ้นมาเมื่อครู่นี้ดูเหมือนมีนัยบางอย่างอยู่ในนั้น…

หมิงเจ๋อเห็นว่าติงหลั้วเหยียนกำลังเหม่อลอยจึงคิดว่านางคงตกตะลึง เขาจึงจับบ่าของนางแล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เอาละ ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่อีกสักประเดี๋ยว”

ติงหลั้วเหยียนพยักหน้าทั้งๆ ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วเดินออกจากลานบ้านไปโดยมีหงซางช่วยประคอง

หมิงเจ๋อยืนถอดทอนหายใจอยู่ใจกลางลานบ้านลำพังผู้เดียว เหตุใดวันนี้น้องรองถึงยังไม่เลิกงานอีก หากเมื่อครู่น้องรองอยู่ด้วยคงต้องคิดหาวิธีการหยุดยั้งท่านพ่อได้อย่างแน่นอน

หญิงชราให้ข้ารับใช้ออกไปด้านนอกจนหมด ดวงตาดุดันจับจ้องทั้งสองคนไม่วางตาท้ายที่สุดนางตัดสินใจได้ว่าจะตำหนิบุตรชายของตนเองเป็นอันดับแรก

“ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางใหญ่โต คงน่าเกรงขามไม่น้อยสินะ…กระทั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองก็กล้าลงไม้ลงมือ”

หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างหวาดเกรง “ลูกแค่อยากให้นางรู้จักเข็ดหลาบขอรับ”หญิงชรากล่าวตำหนิ “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ หมิงจูมีความผิดสมควรได้รับการลงโทษก็จริง ทว่าการลงโทษของเจ้าก็ควรรู้จักพอประมาณ นางเป็นแค่แม่นางตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มิใช่พวกหนังหนาอะไรนั่น เจ้าเฆี่ยนตีไปสามสี่ทีก็แล้วไป หากนางถูกเฆี่ยนตีจนอาการสาหัส เจ้าเองนั่นแหละที่จะเจ็บปวดหัวใจ และข้าหญิงชราผู้นี้ก็รู้สึกเจ็บปวดใจด้วยเช่นกัน”

หลี่จิ้งเสียนกลับไม่คิดว่าตนผิด ด้วยครั้งนี้หมิงจูเป็นฝ่ายกระทำผิดจริง การโบยนางยี่สิบไม้ยังถือว่าเป็นโทษสถานเบาด้วยซ้ำ สตรีก็มักใจอ่อนเช่นนี้ ส่วนคนเป็นมารดาก็มักจะรักและเอ็นดูบุตรจนไม่แยกแยะผิดถูก! แม้ว่าภายในใจจะไม่เห็นด้วย ทว่าเขากลับไม่กล้าเผยความรู้สึกดังกล่าวผ่านสีหน้า ได้แต่ทำท่าทีหวาดเกรงน้อมรับคำสั่งสอน

นางฮานซึ่งอยู่ด้านข้างก้มหน้าสะอึกสะอื้นขึ้นมา

หลังหญิงชราสั่งสอนบุตรชายเป็นอันเรียบร้อยจึงเบนมาทางนาง “ชิวเยว่ ข้าคิดมาโดยตลอดว่าเจ้าเป็นผู้รู้จักแยกแยะ คิดว่าหลายปีที่ผ่านมาสำหรับเจ้าไม่ง่ายเลย ทว่าวันนี้เจ้าช่วยเปิดโลกให้ข้าแล้วจริงๆ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

นางฮานกล่าวด้วยความสะเทือนใจ “ลูกก็แค่ร้อนใจชั่ววูบเจ้าค่ะ ท่านมิทันได้เห็นไม้โบยที่ฟาดลงไปบนเรือนร่างหมิงจูรุนแรงถึงเพียงนั้น เด็กนั่นร้องไห้ประหนึ่งแทบขาดใจ ทว่าท่านพี่ยังคงไม่ยอมใจอ่อน เฆี่ยนตีลงบนเรือนร่างนางมันเจ็บปวดมาถึงหัวใจคนเป็นมารดาอย่างลูก แล้วจะให้ลูกไม่ร้อนใจได้หรือเจ้าคะ”

“ต่อให้เจ้าร้อนใจเพียงใดก็ควรมีสติเอาไว้ สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดออกไปเหล่านั้น หากผู้ที่มีความนึกคิดใดได้ยินเข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคืออันใด เจ้าเกลี้ยกล่อมจิ้งเสียนมิได้ ในบ้านนี้ก็ยังมีหญิงแก่ๆ อย่างข้าอยู่! เจ้าจะร้อนใจไปทำไมกันหรือ อายุก็ปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักระงับสติอารมณ์ไว้บ้าง” หญิงชรากล่าวสั่งสอน

นางฮานปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินหนักกว่าเดิมนางเองก็นึกเสียใจภายหลังอยู่เช่นกัน!

หญิงชราสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เจ้าเองก็เลิกนำเรื่องในอดีตมาเที่ยวพูดอยู่เรื่อย ตอนนั้นจิ้งเสียนปฏิบัติต่อเจ้าไม่ถูกต้อง ทว่าจิ้งเสียนก็ไร้ทางเลือกเช่นกัน ช่วยไม่ได้ที่ตระกูลเยี่ยนั่นร่ำรวยมหาศาล ทั้งยังเป็นนางเยี่ยเองที่หน้าด้านเกาะจิ้งเสียนไม่ยอมปล่อย มิใช่เพราะจิ้งเสียนจงใจทอดทิ้งพวกเจ้าแม่ลูกเสียหน่อย ขวบปีนั้นเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมก็จริง ทว่าจิ้งเสียนก็มิได้ลืมพวกเจ้าสามแม่ลูก คอยเอาใจใส่ดูแลพวกเจ้าอยู่ตลอด ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวดังเช่นทุกวันนี้ ในที่สุดก็ลืมตาอ้าปากกันได้เสียที วันคืนดีๆ ต่อจากนี้ยังมีให้เห็นอีกยาวไกล ไยเจ้าต้องนำเรื่องเก่าๆ พูดขึ้นมาอีก มันมีประโยชน์อันใดหรือ”

นางฮานอดตำหนิอย่างเงียบๆ ไม่ได้ บุตรชายของเจ้ามิใช่ว่าไร้ทางเลือก แต่เป็นการใคร่คิดอย่างรอบคอบและชาญฉลาดต่างหาก จริงอยู่ที่หลายปีมานี้บุตรของเจ้าเลี้ยงดูพวกเราอย่างดี ทว่าหากมิใช่เพราะความสามารถของคนอย่างข้า นางเยี่ยผู้นั้นก็คงยังนั่งครองตำแหน่งฮูหยินของท่านราชเลขากรมคลัง หญิงชราอย่างท่านเคยสนใจอันใดหรือ ทั้งหมดนี้ข้าต่อสู้มาด้วยตัวข้าเอง บุตรชายของเจ้าไม่ได้รักข้าด้วยใจจริงสักหน่อย