บทที่ 4 วิ่งเผ่นแล้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ขบวนมาถึงพระตำหนักเฟิ่งอี๋ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลูบที่ศีรษะ กล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการเสวยอาหารดีๆ ก็ไม่ได้เชียวหรือ?”

ฉีจือซานทั้งโมโหทั้งเกลียด กล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคือพ่อตาของท่านอ๋องเย่ ท่านอ๋องเย่ไม่เคารพกระหม่อมก็ช่างเถิด คาดไม่ถึงว่าจะลดตำแหน่งของลูกสาวกระหม่อมเป็นนางสนม เรื่องเป็นที่รู้กันทั่ว กระหม่อมยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“จือซาน เจ้าก็อย่าทำให้ข้าวุ่นวายใจ ข้าก็มิใช่ว่ากำลังจัดการเรื่องนี้หรือ!” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กริ้ว เรื่องนี้พระองค์ก็ได้ยินมา แต่คาดไม่ถึงว่าจะวุ่นวายเป็นเช่นนี้

“อ๋องเย่ เจ้าจะอธิบายเช่นไร?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองด้วยความสงสัย

หนานกงเย่กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ผู้หญิงของข้า ข้าย่อมมีสิทธิที่จะจัดการ นี่คือเรื่องครอบครัวของข้า ฝ่าบาทไม่ต้องมาลำบากด้วยหรอกพ่ะย่ะค่ะ ”

“นี่เจ้าพูดอะไรกัน?พระชายาเย่เป็นข้าที่ได้แต่งตั้ง เป็นพระชายาของอ๋องเย่อย่างสง่าผ่าเผย จำเป็นต้องเข้ามาในราชวงศ์ เพื่อได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ! ข้ายังยุ่งเกี่ยวไม่ได้หรือ?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตบลงที่โต๊ะ

หนานกงเย่หันหน้าหนีไม่มององค์จักรพรรดิ กล่าวว่า “ฝ่าบาทก็ทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ของฝ่าบาท ข้าก็ลดตำแหน่งของผู้หญิงของข้า”

“เป็นเจ้าที่ทรงโปรดปราณเอ็นดูอ๋องเย่จนเป็นเช่นนี้!”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชี้ไปที่ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู

เฉินอวิ๋นชูเห็นบรรยากาศไม่ดี รีบกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “ฝ่าบาท มีเรื่องอันใดค่อยๆคุยกันนะเพคะ”

“ฝ่าบาท โปรดยอมรับการหย่ากันของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”ในใจของฉีเฟยอวิ๋นได้กรอกตาขาวแล้ว แอบมองอยู่เงียบๆ

คำพูดขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้นี้ไม่สามารถมีน้ำหนักหรือ?หนานกงเย่มีศักดินาต่ำกว่า ไม่มีความเคารพองค์จักรพรรดิสักนิดหนึ่งเลย ไม่ช้าก็เร็วต้องเลิก

เลิกไวก็ดี จะได้พัวพันกับคุณหนูอย่างเธอน้อยหน่อย

“อ๋องเย่ เจ้าว่าอย่างไร?”

หนานกงเย่มองหญิงที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไร้ยางอายต้องการตนเอง วันนี้นึกไม่ถึง…….สายตานั้นหมายความอย่างไร?รังเกียจอย่างยิ่งหรือ?

ภายในใจไม่รู้ว่าอย่างไร มีความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงไร้เสียงตอบรับ

หญิงต่ำช้าผู้นี้ทำร้ายเขาจนถึงวันนี้ ปล่อยไปเช่นนี้ เธอจะสบายเกินไปหน่อยแล้ว!ยิ่งกว่านั้น หญิงสาวที่หลงใหลแทบอยากกินเขา สามารถปล่อยเขาไปเช่นนี้ได้หรือ?

เส้นผมเส้นเดียวเขาก็ไม่เชื่อ!

ฉีเฟยอวิ๋นกลัวมากว่าหนานกงเย่จะขัดขวาง รีบกล่าวเสริมว่า “ฝ่าบาทผู้ทรงปรีชาญาณ ที่หม่อมฉันขอหย่าร้างเป็นเพราะว่าไม่อยากจะทำร้ายท่านอ๋องเย่เพคะ”

“อ้อ?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยากจะฟังว่าจะกล่าวอย่างไร

“หม่อมฉันตั้งครรภ์ยากเพคะ ไม่กี่วันก่อนหน้าเพิ่งตรวจพบเพคะ”

น่าสนใจเสียจริง ดวงตาดำขลับของหนานกงเย่สั่นไหวเบาๆ แล้วเดินมานั่งลงข้างองค์จักพรรดิอวี้ตี้

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชะงักไปสักครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องจริงหรือ?”

สายเลือดของราชวงศ์ กลัวที่สุดคือไม่สามารถสืบทอดต่อได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก…..

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นหนานกงเย่มีสีหน้าสงสัย กล่าวอย่างราบเรียบว่า“ฝ่าบาทให้หมอหลวงตรวจก็ทราบเรื่องแล้วเพคะ”

“ไป ไปเรียกหมอหลวง”

สักประเดี๋ยวเดียว หมอหลวงก็เข้ามา หมอหลวงทั้งสามคนผลัดกันตรวจจับแมะชีพจรของฉีเฟยอวิ๋น ผลลัพธ์ที่ได้คือเหมือนกันหมดทุกคน

ร่างกายอ่อนแอไม่สมบูรณ์ ชี่เลือดพร่อง ยากที่จะให้กำเนิดผู้สืบทอดบัลลังก์

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไป แล้วกล่าวว่า “จือซาน เจ้าว่า……..”

“ฝ่าบาท กระหม่อมยินยอมให้หย่าร้างกันพ่ะย่ะค่ะ ”ฉีจือซานข่มใจกล่าวออกมา

ถึงแม้ว่าฉีจือซานจะรักลูกสาวเท่าชีวิต เพียงแต่ราชวงศ์เอาเปรียบกับครอบครัวปกติไม่ได้ พระชายาที่ไม่สามารถให้กำเนิดได้ หย่าร้างกันแล้วยังต้องถูกทิ้ง

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางหนานกงเย่ แล้วกล่าวว่า“อ๋องเย่ล่ะ?”

หนานกงเย่รับชาชั้นดีที่นางสนมส่งมอบให้ ริมฝีปากบางเม้มดื่มเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า“ข้าไม่อยากหย่าร้าง”

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยปากพูด พอกล่าวพูดฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกจิตใจไม่สงบมาก ไม่กล้าขยับตัว ผู้ชายสารเลว ก่อความวุ่นวายอะไรกัน?

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองพระอนุชาที่น่าหงุดหงิดใจของตนเอง กล่าวอย่างไม่สามารถระงับโทสะได้ว่า “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ อยากจะยั่วโมโหข้าหรือ?”

“ในเมื่อข้าอภิเษกสมรสกับนางแล้ว ไม่สามารถที่จะเป็นเพราะนางให้กำเนิดทายาทไม่ได้แล้วก็ทอดทิ้ง จะทำให้รู้สึกถูกหัวเราะเหยียดหยามได้อย่างไรกันเล่า อนาคตยังอีกยาวไกล ข้ายังสามารถที่จะอภิเษกสมรสกับพระชายาอื่นๆ ส่วนนางคนนี้ ก็ให้อยู่ที่จวนของข้า ข้าก็ไม่ได้ให้นางอดข้าวกินหรอก”ใบหน้าของหนานกงเย่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยถากถาง

“ลูกสาวของกระหม่อม ไม่ต้องให้ท่านอ๋องเย่มากลั่นแกล้งหรอก!”ฉีจือซานโมโหอย่างมาก

“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของข้า อยู่เรือนอาศัยพ่อ แต่งงานอาศัยสามี เหตุผลนี้จำเป็นต้องให้ข้าสอนท่านแม่ทัพฉีหรือไม่?”หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ฉีจือซานโมโหจนเลือดทะยานขึ้น

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้ว่าครั้งก่อนที่บีบบังคับให้อภิเษกสมรส ก็ไม่ยุติธรรมกับหนานกงเย่แล้ว วันนี้เขาไม่อยากหย่าร้าง องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่อยากบังคับแยก ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้พี่น้องไม่ลงรอยกัน ยังจะถูกคนใต้แผ่นฟ้าหัวเราะเยาะเย้ยด้วย

อยากจะโทษก็ต้องโทษที่ฉีจือซานกับลูกสาว หลับหูหลับตาพลิกไปมา!

ดังนั้นพระองค์ก็ไม่อยากจะตัดสินสิ่งใดแล้ว ทำได้เพียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมองไปที่ฉีจือซาน…….ความหมายชัดเจนมาก เรื่องก็หยุดไว้เท่านี้

เห็นอนาคตข้างหน้าไม่มีความหวังแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา พี่น้องปลอมๆกับพี่น้องแท้ๆจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?

เดินไปทีละก้าวก่อนเถิด

“ท่านอ๋องเย่พูดถูก ในเมื่อท่านอ๋องเย่ไม่ยินยอมหย่าร้าง เช่นนั้นหม่อมฉันก็พักอยู่ที่จวนท่านอ๋องเย่ชั่วคราวก่อน แต่ว่าหม่อมฉันอยากจะขอความกรุณาฝ่าบาทเพคะ ให้หม่อมฉันกลับไปอยู่กับท่านพ่อที่อายุมากก่อน ท่านพ่ออยู่คนเดียวเพียงลำพัง หม่อมฉันวางใจไม่ลงจริงๆเพคะ”

ฉีจือซานได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกเป็นข้อเสนอที่ดี ในที่สุดสีหน้าก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

“นี่…..”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกลำบากใจ หย่าก็หย่าไม่ได้ ดีกันก็ดีกันไม่ได้ กลับบ้านชั่วคราวก่อนก็ดี “ในเมื่อเจ้ามีจิตใจที่กตัญญู ข้าก็เห็นด้วย!”

พูดจบหนานกงเย่ลุกขึ้นยืนสะบัดแขนเสื้อแล้วก็ออกไป

ผ่านเรื่องนี้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็นับว่ารู้แล้วว่า หนานกงเย่ได้รั้งเธอไว้ ถ้าหากเธอไม่ตาย หนานกงเย่ก็ไม่มีทางเลิกรา

รถม้ากลับมาถึงจวนท่านแม่ทัพ ฉีเฟยอวิ๋นคิดหาวิธีแล้วหลายร้อยรอบว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับหนานกงเย่ได้อย่างไร แต่อย่างมากก็คือต้อนรับขับสู้

อย่างนั้นเลยถือโอกาสไม่คิดมากไปเลย

พักผ่อนหนึ่งวันแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นได้เตรียมตัวไปหาเครื่องปรุงยาจีน

ออกจากเรือนมาทางลัด เดิมนึกว่าจะออกจากเมืองได้อย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่ามาได้ครึ่งทางก็ถูกคนชนจนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากรถม้าก็ค่อนข้างแปลกใจ ปะทะหน้ามาไม่ใช่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์แล้วจะเป็นใคร?

นี่โลกกลมจริงๆศัตรูที่ไม่อยากพบก็ได้มาพบเจอ!

“เจ้าทำไมไม่ลืมตา?”คนขับรถม้าของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์กล่าวด้วยโมโหโดยทันที ใช้แส้ม้าที่อยู่ในมือชี้ถามคนขับรถม้าของฉีเฟยอวิ๋น ท่าทางกำแหงเป็นอย่างมาก

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เพียงไม่ห้าม กลับกันยังใช้สายตายั่วยุมองมาทางฉีเฟยอวิ๋น

“อย่างไร อยู่ในพระราชวังขายหน้าผู้คนไม่พอ มาขายหน้าบนท้องถนนอีกหรือ?ประตูใหญ่จวนท่านแม่ทัพของเจ้าเปิดทางท้องฟ้าไม่ได้หรือ? ผ่านเส้นทางยังต้องมาพบเจอ ยังมีความรู้สึกละอายต่อบาปสักนิดหนึ่งหรือไม่?”เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สวมใส่ชุดจีนโบราณสีชมพู ดวงตาใสแจ๋วมีนัยแฝง คนก่อนหน้าที่มีความอบอุ่นนุ่มนวลหายไปจนหมดสิ้น ความอาฆาตพยาบาทเข้ามาแทนที่

ฉีเฟยอวิ๋นมองพิจารณาเฉินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างละเอียด ในความทรงจำชั่วขณะมีภาพหยุดอยู่ เจ้าของร่างเดิมเก็บความทรงจำไว้ให้เธอ ไม่รู้ว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ทุ่มเทความรักให้กับหนานกงเย่ เห็นเธอเป็นศัตรูหัวใจ เป็นอริทุกด้าน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เกลียดเจ้าของร่างเดิม

“ประตูใหญ่จวนท่านแม่ทัพหันไปเปิดทางเรือนเจ้า แล้วอย่างไร?ไม่ได้หรือ? มีความสามารถเจ้าไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินะ บนถนนหนทางใหญ่โตมีความสามารถอะไรกันหรือ?คุณหนูเฉินไม่อายผู้คน ตัวข้ายังรู้สึกว่าโชคไม่ดีเลย!”

ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ใช่คนที่ใครจะหาเรื่องได้ง่าย ด่าคนใครจะทำไม่เป็น เธอมองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยสายตาเหยียดหยาม เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น เธอจงใจใช้คำว่าพระชายาเพิ่มมากขึ้น เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จะรับเธอได้ที่ไหนเล่า โกรธจนสายตามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอามีดออกมา แทงให้ฉีเฟยอวิ๋นตายไปเลย!

“ฉีเฟยอวิ๋น เจ้าพูดอีกครั้งสิ!”เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ชี้มือบอกกล่าวฉีเฟยอวิ๋น

“ข้าทำไมจะต้องฟังเจ้าด้วยล่ะ?”ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะร่า เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โมโหจนหน้าซีดขาว คำก็พระชายา กดเฉินอวิ๋นเอ๋อร์จนต้องกำหมัดแน่น

ถ้าไม่มีฉีเฟยอวิ๋นที่หน้าด้านไร้ยางอาย พยายามฆ่าตัวตายผู้นี้ ต้องเป็นนางที่จะได้เป็นพระชายาเย่!

“นางสนมคนหนึ่ง กล้าพูดว่าตนเองคือพระชายา ชิ หน้าไม่อาย”เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โมโห เริ่มกล่าวพูดอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ

“โอ้โห ” ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าเต็มไปด้วยความหยอกล้อ “คุณหนูเฉิน หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา อ้าปากก็นางสนม คำว่านางสนมพูดคล่องเช่นนี้ เจ้าเข้าใจเยอะมากเสียจริงๆ……..”

นางสนมเป็นเรื่องของชายหญิงที่ไม่ควรจะเปิดเผย คุณหนูที่มีสมบัติผู้ดี พูดเรื่องโสมมเหล่านี้ได้อย่างไม่ละอายแก่ใจ

“เจ้า! เจ้าอย่าพูดจามั่วนะ!” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์อับอายจนหน้าแดง ไม่รู้เลยว่าจะฉีกหน้าเสียดสีอย่างไรไปชั่วขณะ

ในความทรงจำของฉีเฟยอวิ๋น คล้ายกับว่าเรื่องประเภทนี้พบเจอจนเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องยั่วยุเก่าของเจ้าของร่างเดิม เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันนี้เธอจะพูดอย่างไร ก็ไม่มีทางที่คนจะเชื่อเธอว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ชนเธอ

ในเมื่อคนก็สั่งสอนแล้ว อย่างนั้นก็ไม่อยากที่จะพัวพันเกี่ยวข้องกันอีก

“ไปกันเถิด พวกเราเดินอ้อมไป”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเฉินอวิ๋นเอ๋อร์อีก ลงรถม้าคิดวางแผนว่าจะเดินออกไปนอกเมือง

โลกกลมโดยแท้จริง เพิ่งจะลงรถม้าเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็มองเห็นหนานกงเย่พาเด็กรับใช้มาด้วยและยืนอยู่บริเวณไม่ไกล

เวลานี้ท่านอ๋องเย่มองมาที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา

ไม่รู้ว่าแอบฟังอยู่นานพียงใดแล้ว……..เห็นเธอเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่ ก็ไม่รู้จักเอ่ยพูดออกมา ชายสารเลว!

“อย่างไรกัน กฎของข้าลืมไวเช่นนี้หรือ?”

ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของหนานกงเย่นั้นเต็มไปด้วยการหยอกเย้า กล่าวว่า “ตำแหน่งพระชายาของข้า มีความอยากที่จะใช้มากหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นที่มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้าก็เร็วจะมีสักวันหนึ่ง ที่จะทำลายดับสิ่งนี้ไป!

หนานกงเย่รอฉีเฟยอวิ๋นเดินมาทำความน้อมเคารพ แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเธอก็ได้หมุนตัววิ่งไปแล้ว

วิ่งเผ่นแล้ว!

วิ่งอย่างรวดเร็ว จนน่าตกตะลึง

มีเสียงใสไพเราะลอยมาแต่ไกลว่า “ท่านอ๋องเย่สบายดีนะเพคะ!ท่านอ๋องเย่ลาก่อนเพคะ!”

หนานกงเย่หรี่ตา จ้องมองไปทางสิบลี้