ตอนที่ 110 สงครามคือสิ่งใด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 110 สงครามคือสิ่งใด

“ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ก่อน”

ประโยคเพียงแผ่วเบาของฝ่าบาท ทำให้เหล่าขุนนางที่เดินผ่านประตูท้องพระโรงไปแล้วต่างตกตะลึง หรือว่านโยบายสงครามคือสิ่งใดที่ชายหนุ่มผู้นั้นเขียนออกมาจะเข้าพระเนตรฝ่าบาทกัน?

โดยเฉพาะชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและจิ้นซื่อทั้งสิบ ในใจเกิดความสงสัยและความอิจฉาขึ้นมา

ทุกคนต่างมาท้องพระโรงเฉิงเทียนด้วยกัน ทุกคนร่วมการทดสอบของวังหลวงด้วยกัน แล้วเหตุอันใดฝ่าบาทถึงเรียกเขาไว้เพียงผู้เดียวกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดถึงอาหารบนโต๊ะที่สั่งเอาไว้แล้วที่หอซื่อฟาง ดูเหมือนว่าจะมิได้ไปกินเสียแล้ว หรือว่าฝ่าบาทจะเลี้ยงอาหารข้ากัน ?

ก็มิรู้เหมือนกันว่าอาหารชาววังเป็นเยี่ยงไร

สายตาหลายคู่ที่แฝงความนัยต่างก็กวาดมองร่างฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นพระราชวังที่ใหญ่โตก็สงบลง

ฝ่าบาทเดินลงมาจากแท่นมังกร สองมือไขว้หลังและมองมาทางฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มองไปทางฝ่าบาทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ฝ่าบาทดูหล่อเหลาเอาการ จากท่าทางดูแล้วจะอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ใบหน้าอวบเล็กน้อย ดวงตาแหลมคม แม้แต่เคราแพะที่อยู่ใต้คางนั้นก็ดูทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันกระดกขึ้น

“เจ้า ทำได้เยี่ยมมาก !”

ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาท ดังนั้นริมฝีปากจึงแยกยิ้ม

“ขันทีเจี่ย สั่งการคนให้พาเขาไปยังวังเตี๋ยอี๋”

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากนั้นขันทีเจี่ยก็เรียกทหารองครักษ์หนึ่งนาย และเขาก็นำทางฟู่เสี่ยวกวนไปยังวังเตี๋ยอี๋ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากท้องพระโรงเฉิงเทียนพร้อมกับฝ่าบาท

จบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิใช่ว่าจะเชิญข้าทานข้าวเยี่ยงนั้นรึ ?

วังเตี๋ยอี๋คือที่ใดกัน

ฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็มิได้เอ่ยถามขันทีที่นำทางมา เดินผ่านท้องพระโรงเฉิงเทียนไปกับเขา และเลี้ยวผ่านมาอีกหลายตำหนัก เดินมาได้ครึ่งชั่วยาม จึงได้มาถึงวังเตี๋ยอี๋

ประตูหน้าวังมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้นั้นสวมชุดสีแดง ในมือถือผ้าไหมสีแดง บนศีรษะนั้นประดับด้วยปิ่นปักผมสีแดง ปิ่นปักผมนั้นมีสายหินโมราประดับ ดวงตาคู่ใสบนใบหน้ายิ้มแย้มแก้มแดงระเรื่อกำลังมองมาทางเขาอย่างสุขใจ

หยูเวิ่นหวิน !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ฉีกยิ้ม แสงแดดฤดูใบไม้ร่วงสีแดงสวยสด ตกกระทบไปบนพื้น

……

…..

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยแต่งกายด้วยชุดลำลอง หยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนนั่งประกบซ้ายขวา

บนโต๊ะมีเนื้อสัตว์สามอย่าง ผักสามจานและซุปอีกหนึ่งถ้วย ยิ่งเห็นนิ้วชี้ของฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ่งสั่นไหว

เขาหิวแล้ว !

“ทำตัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเองเถิด ทานอาหารได้”

“ขอบพระทัยพระสนมพ่ะย่ะค่ะ !”

เมื่อพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยตรัสเยี่ยงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็มิเกรงใจ ลงมือทานด้วยท่าทีของหมาป่าผู้หิวโหย ในใจก็ลอบวิจารณ์ว่าอาหารของวังหลวงนั้นเมื่อเทียบกับหอซื่อฟางแล้วก็มิได้โดดเด่นอันใด จนกระทั่งเขาได้ดื่มน้ำซุป ถึงได้ถอนหายใจออกมา น้ำซุปถ้วยนี้มีรสชาติที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า

เป็นกฎของยุคนี้ที่จะมิพูดมิจายามที่กำลังทานอาหาร โดยปกติฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนสบาย ๆ จึงมิได้สนใจกับเรื่องเล็กน้อยนี้ แต่ในยามนี้ที่อยู่ในวังหลวง ถึงแม้ซั่งกุ้ยเฟยและหยูเวิ่นหวินจะมิได้กล่าวอันใด เขาก็จำเป็นต้องรักษามารยาทไว้บ้าง เขาเพียงแต่กินอาหารเหล่านั้นอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น

ดังนั้นอาหารที่อยู่บนโต๊ะส่วนใหญ่จะถูกฟู่เสี่ยวกวนจัดการไป แม้แต่น้ำซุปถ้วยนั้น ท้ายที่สุดก็ถูกเขาดื่มไปจนหมด

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยลอบขำในใจ ชายผู้นี้กระทำตนเหมือนอยู่บ้านตนเองจริง ๆ เยี่ยงนั้นก็ดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนตรงไปตรงมา และมีนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเวิ่นหวินทีเดียว

หลังจากนั้นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก็พาฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินไปยังสวนดอกไม้ นางมิได้ไปสวนดอกเบญจมาศเพื่อกำจัดวัชพืชและตัดแต่งสวน กลับนั่งลงที่ศาลาซิ่วชุน มีสาวใช้ยกผลไม้และน้ำชามาให้ และมีเพียงทั้งสามคนที่นั่งอยู่

“เพียงพริบตาก็ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้วที่จากหลินเจียงมา ความฝันในหอแดงของเจ้าเพิ่งจะเขียนได้เพียง 62 บท มิได้ออกใหม่มาเนิ่นนานแล้ว ช่วงหลายวันนี้ยุ่งมากเยี่ยงนั้นหรือ ?”

“ทูลพระสนม ยุ่งอย่างมากอย่างที่พระองค์มิอาจกล่าวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเล่าเรื่องบางเรื่องของซีซานให้แก่ซั่งกุ้ยเฟยฟัง รวมไปถึงเหตุผลที่ต้องมายังที่เมืองหลวงนี้ด้วย

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยทราบเรื่องเหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเองก็ทราบผลลัพธ์ที่จะตามมา มาถึงเมืองหลวงแล้วเหตุใดจึงมิมาขอความช่วยเหลือจากข้ากัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขัดเขิน “ความจริงแล้วในคราแรกกระหม่อมมีความคิดจะมาขอความช่วยเหลือพระสนมพ่ะย่ะค่ะ พายุในครานี้ค่อนข้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ที่พอจะคุ้มครองตระกูลฟู่ได้มีไม่มาก พระสนมย่อมเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด หากสามารถโอบกอดต้นไม้ใหญ่เช่นพระสนมไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพายุห่าฝนที่ใหญ่เพียงไหน ตระกูลฟู่ก็จะยังสงบสุขและปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนความตั้งใจกัน ? ”

 “แท้จริงแล้วจะถือว่าเป็นการเปลี่ยนเจตนาเดิมก็มิได้ เพียงกระหม่อมพบเห็นประกาศการทดสอบแผ่นนั้นของฝ่าบาทโดยบังเอิญ ลอบคิดในใจว่าหาเขียนนโยบายที่เป็นประโยชน์จนเข้าพระเนตรของฝ่าบาทได้ ก็จะมีโอกาสที่จะได้มาเข้าเฝ้าที่วังหลวงพ่ะย่ะค่ะ หากสามารถเข้าเฝ้าได้ ก็อาจจะได้พบกับพระสนม พระองค์มองว่าสถานการณ์ในตอนนี้มิได้เป็นเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ชายผู้นี้มีความคิดที่ฉลาดและว่องไว หากเขาต้องการมาหาตนเองอย่างแท้จริง เพียงผ่านมาทางชูหลานก็จะบรรลุผลได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับใช้หนทางอื่น มิอยากเป็นหนี้บุญคุณกับตนเองด้วยเรื่องที่ง่ายดายเยี่ยงนี้ ยังเยาว์วัยแต่กลับเป็นบุคคลที่เจนโลก

ในวันนี้ฝ่าบาทได้โปรดปรานเขาแล้ว ตนเองเพียงแค่ทุบตีกับขุนนางในราชวงศ์อีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถือว่าลดเรื่องลงไปได้ไม่น้อยเลย

“ได้ยินว่าที่ท้องพระโรงเฉิงเทียน เจ้าด่าทอเสนาบดีชือจนเขากระอักเลือดและหมดสติไป… เหตุใดจึงบุ่มบ่ามเยี่ยงนั้น ? ”

“ทูลพระสนม เรื่องนี้โทษกระหม่อมมิได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังมิเคยพบพานเขา มิทราบว่าเหตุใดเขาจึงตั้งเป้ามาที่กระหม่อม ทั้ง ๆ ที่นิสัยของกระหม่อมก็ดียิ่งนัก” ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ด้วยความเสียใจเล็กน้อย ทั้งยังกล่าวอีกว่า “หากกระหม่อมทำการใดที่ไม่เหมาะสม พอออกไปจากวังหลวง กระหม่อมจะตรงไปยังจวนชือด้วยตนเองเพื่อขอรับโทษเป็นการส่วนตัว”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้าของระเบียงทางเดิน จ้องมองดอกเบญจมาศที่มีอยู่เต็มสวน ผ่านไปเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า “เจ้าจงจำไว้ จงรักษาเจตนาเดิมเอาไว้ให้มั่น”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจ พระสนมมิได้มีความหมายจะกล่าวโทษเขา กลับชื่นชมอย่างมาก

เมื่อมาตระหนักถึงในยามนี้ ตอนที่ฝ่าบาทประทับบนบัลลังก์ก็มิได้หักห้ามแต่อย่างใด ทั้งยังปล่อยให้ตนเองกำเริบเสิบสาน ก็คงจะมีความหมายประมาณนี้เช่นกัน

ฝีปากของคนผู้นี้น่าสนใจยิ่ง

“กระหม่อมจะจดจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ฤดูใบไม้ต้นไม้ต่างผลัดใบตกลงมายังพื้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรกับดอกไม้ที่มีอยู่เต็มสวนนี้ ? ”

“งดงามยิ่งพ่ะย่ะค่ะ !”

หยูเวิ่นหวินหัวเราะน้อย ๆ บุรุษผู้นี้หน้าหนายิ่ง

“เยี่ยงนั้น เจ้าจงประพันธ์บทกวีขึ้นมา หากสามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้ ข้าจักไปขอร้องให้ฝ่าบาททรงอักษรจวนฟู่สองคำนี้ให้ เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ?”

ฟู่เสี่ยวกวนปลื้มปีติ หากมีอักษระคำว่าจวนฟู่ที่ฝ่าบาททรงอักษรด้วยพระองค์เอง เกรงว่านี่คงจะเป็นยันต์ป้องกันตน ขอถามว่าในใต้หล้านี้มีขุนนางคนไหนบ้างที่กล้าทำลายป้ายที่ฝ่าบาทเป็นผู้ทรงอักษร?

ต้องประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมาให้จงได้ ทั้งยังต้องตรงกับความพึงพอใจของซั่งกุ้ยเฟยค่อนข้างยากเอาการ !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ลุกขึ้นยืนและมองออกไปทางสวนดอกไม้ ผ่อนลมหายใจไม่กี่ครั้ง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เวิ่นหวิน ฝนหมึก ! ”

สมองของคนผู้นี้มีประกายแล่นผ่านมาอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

หยูเวิ่นหวินยินดีอย่างยิ่ง หากเขาได้รับอักษระประดิษฐ์ของเสด็จพ่อมาแล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นวิกฤตของตระกูลฟู่ก็จะผ่านพ้นไป

ฟู่เสี่ยวกวนถือพู่กัน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเดินมาถึงด้านหลังของเขา

“สัมผัสสวนเบญจมาศโดยบังเอิญ

ก่อตัวบ้านในโลกของมนุษย์ แต่ไร้เสียงรถม้ามารบกวน

ถามตัวข้าเหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น? จิตใจที่ออกห่างจะพบพานความสงบ

เก็บดอกเบญจมาศทางรั้วตะวันออก เมียงมองภูเขาหนานซานอย่างสบายใจ

ภูเขางามทั้งยามเช้าและพลบค่ำ วิหคอยู่รวมกันเป็นฝูง

ความหมายแท้จริงที่แฝงไว้ ลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถนา”

ฟู่เสี่ยวกวนเก็บพู่กัน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยังคงท่องบทกวีอย่างใจจดจ่อ ในใจนั้นชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้แสดงท่าทีอันใดออกไป

นี่คือภาพที่นางเขียนขึ้นมาในจิตใจ แต่เดิมนางเป็นสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงของฉีโจว ในยามที่สภาพจิตใจมิได้ยินดียินร้าย สิ่งที่คิดเอาไว้คือชีวิตที่มองเห็นภูเขาหนานซานภายในรั้วสวนดอกเบญจมาศ

เป็นเพียงการนำทางของโชคชะตา นางได้กลายเป็นพระสนม มีแผนการและเล่ห์เหลี่ยมอย่างมากมาย แต่ความตั้งใจเดิมของนางนั้นยังมิแปรเปลี่ยน ดังนั้นจึงได้มีสวนดอกเบญจมาศนี้ขึ้นมา

ชีวิตที่สงบสุขเยี่ยงนั้นในตอนนี้ได้ห่างไกลจากนางไปมากโข บางทีอาจเป็นได้เพียงความฝัน ที่ห่างไกลออกไปแล้ว

“บทกวีนี้ ข้าชอบอย่างมาก ข้ามิอนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ! ”