ตอนที่ 166 หายนะของหนิงฉิง อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉินซูหลานต่อสายไปอย่างกะทันหัน

 

 

จึงทำให้อจารย์เว่ยกังวลใจมาตลอดทาง เขารีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อได้พบกับฉินหร่านเขาก็ถึงจะโล่งใจขึ้นมาได้ 

 

 

เป็นเพราะเสียงของเขา หนิงฉิงที่อยู่ด้านข้างถึงกับรู้สึกตัว

 

 

เธอหันไปมองฉินหร่านอย่างไม่อยากจะเชื่อและหันไปมองอาจารย์เว่ย พูดออกมาแทบไม่มีเสียง “อาจารย์เว่ย?”

 

 

ตอนที่ฉินอวี่เข้าร่วมแข่งขัน หนิงฉิงก็เคยพบอาจารย์เว่ยมาแล้ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงปิดท้ายของเขา หรือตอนที่เขาคอมเมนต์ฉินอวี่ หรือหลังจากได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนอื่นและคนตระกูลเสิ่นอยู่บ่อยครั้ง

 

 

ตอนที่นายท่านเสิ่นเอ่ยถึงอาจารย์เว่ยก็มักจะพูดด้วยความยำเกรงและไม่กล้าพูดมาก

 

 

หนิงฉิงเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร…

 

 

เธอรู้จักอาจารย์เว่ย แต่อาจารย์เว่ยกลับไม่รู้จักเธอ

 

 

การที่มีคนจำตัวเองได้ อาจารย์เว่ยก็ไม่ได้แปลกใจ เขาเพียงพยักหน้าให้หนิงฉิงเป็นมารยาทด้วยท่าทีที่ทั้งเฉยเมยและห่างเหิน

 

 

พอฉินหร่านที่เดินกลับไปได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอก็หันหน้ามา

 

 

ทันทีที่หันไปก็เห็นอาจารย์เว่ยและยังมีชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ย

 

 

“อาจารย์เว่ย พวกคุณมาได้ยังไงคะ?” ฉินหร่านผงะไปสักพักถึงจะตอบสนอง เธอเอียงกายและหยุดเท้า

 

 

เธอไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวแบบไหนกับอาจารย์เว่ยไปชั่วขณะ

 

 

อาจารย์เว่ยหัวเราะ เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นกันเองโดยไม่มีพิธีรีตองหรือท่าทีห่างเหิน น้ำเสียงเป็นไปโดยธรรมชาติ “ภูเขาไม่มาหา ฉันก็จะไปหาภูเขาเอง”

 

 

เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเฉินซูหลาน

 

 

“ปีหน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉินหร่านรู้ดีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องรับลูกศิษย์ เธอยืนนิ่งอย่างสุขุม “ยายหนูให้คุณมาเหรอคะ?”

 

 

อาจารย์เว่ยยิ้มอย่างใจเย็น “ไม่ง่ายเลยที่เธอจะยอมผ่อนปรน แน่นอนว่าฉันให้ความสำคัญเธอ ถ้าฉันไม่รอจนถึงปีหน้าแล้วเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ลูกศิษย์ที่ฉันสนใจไปกับคนอื่น ฉันจะไปร้องไห้กับใครกัน?”

 

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจารย์เว่ยจะทำเช่นนี้

 

 

ตอนนั้นเขาปลีกตัวออกจากผู้คนและไปอาศัยอยู่ที่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี

 

 

ฉินหร่านยอมรับวิธีการพูดของเขาด้วยความจำยอม

 

 

“คุณฉิน” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างอาจารย์เว่ยโค้งให้ฉินหร่านด้วยความเคารพ

 

 

ตอนที่อยู่เมืองหนิงไห่เป็นเวลาครึ่งปี ชายวัยกลางคนคนนี้ก็ไปด้วย เนื่องจากเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยเสียพลังใจไปไม่น้อยสำหรับลูกศิษย์คนนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพในตัวฉินหร่านมาก

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าและยิ้ม จากนั้นก็ทักทายเขาอย่างสุภาพ “อาไห่”

 

 

ทั้งสามคุยกันในขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลานไป

 

 

น้ำเสียงคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน

 

 

จากบทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ยากที่จะเข้าใจ ฉินหร่านรู้จักกับพวกอาจารย์เว่ยมาแล้วหลายปี เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เว่ยมาที่นี่เพราะฉินหร่าน

 

 

และที่สำคัญที่สุดคือฉินหร่านก็ดูเหมือนกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่

 

 

หนิงฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับท่อนไม้ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

 

 

เหมือนมีฟ้าผ่าลงมาที่หัว

 

 

เธอเจออาจารย์เว่ยที่อวิ๋นเฉิง? และที่สำคัญคือเขารู้จักฉินหร่านได้อย่างไร ยังอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ด้วย?

 

 

หนิงฉิงมองทั้งสามคุยกันขณะที่เดินเข้าห้องเฉินซูหลาน อาจารย์เว่ยผู้มากบารมีและมีชื่อเสียงตามคำบอกเล่าของบรรดาคนในตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อฉินหร่านอย่างที่เรียกได้ว่าโอนอ่อนผ่อนตาม

 

 

เธอยืนนิ่งไม่มีแรงแม้แต่จะกดลิฟต์

 

 

หนิงฉิงทราบดีว่าฐานะในเมืองหลวงพิจารณาคุณสมบัติและประสบการณ์เป็นหลัก ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่น แม้แต่ตระกูลไต้ก็ยังเทียบกับตระกูลเว่ยได้ยาก

 

 

ไม่เพียงแค่เส้นสายส่วนตัวของตระกูลเว่ย แต่ความสำเร็จของอาจารย์เว่ยในศาสตร์ไวโอลินเพียงอย่างเดียวนั้นไต้หรานยังเทียบไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเสิ่นหรือตระกูลหลิน

 

 

ยังห่างชั้นกันมาก

 

 

ดังนั้นหนิงฉิงจึงคิดอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากอาจารย์เว่ยรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์สถานการณ์จะเป็นอย่างไร

 

 

พอตอนนี้ได้เห็นว่าครูเว่ยรอนแรมไกลมาอวิ๋นเฉิงเพื่อรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้จะหยุดอยู่กับแค่หนิงฉิง หากข่าวกระจายไปถึงเมืองหลวงก็คงสั่นสะเทือนกันทั้งวงการ

 

 

เฉินซูหลานเคยบอกหนิงฉิงแล้วว่าฉินหร่านฝึกเล่นไวโอลินมาตลอด

 

 

แต่หนิงฉิงกลับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ต้องบอกว่าอาจารย์สวี่ไม่สอนเธอแล้ว หากจะพูดถึงด้านการเรียนเพียงอย่างเดียว อาจารย์ที่สอนให้ฉินอวี่เก่งกว่าอาจารย์ในเมืองหนิงไห่มาก

 

 

ในด้านนี้ตระกูลหลินใจกว้างกับฉินอวี่มาโดยตลอด แม้แต่ไวโอลินยังสั่งทำในราคาห้าแสนเก้าหมื่นหยวน

 

 

แต่ไม่ว่าหนิงฉิงจะคิดอย่างไร เธอก็นึกไม่ถึงว่าอาจารย์เว่ยจะสนใจในตัวฉินหร่านและอยากรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์

 

 

ถ้าฉินหร่านตกลงล่ะ หนิงฉิงเอามือกุมหน้าอกด้วยมือที่สั่นเทา เธอแทบจะจินตนาการได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร!

 

 

แต่ในวินาทีต่อมาหนิงฉิงก็จำบทสนทนาระหว่างเธอกับฉินหร่านขึ้นได้ เหมือนโดนตบหัวจนเธอได้สติในพริบตา เลือดในกายเย็นไปครึ่งตัว

 

 

หนิงฉิงมองไปทางประตูห้องเฉินซูหลาน เธอเกือบจะรู้สึกได้ว่าลำไส้ในท้องมีความเสียใจที่จับตัวกันอยู่กลืนกินหัวใจเธอ

 

 

ถ้าห้านาทีก่อนหน้านี้…

 

 

หนิงฉิงกดลิฟต์ลงด้วยมือที่แข็งทื่อเหมือนเครื่องจักร

 

 

คนขับรถตระกูลหลินรออยู่ข้างล่าง เธอกลับไปถึงบ้านตระกูลหลินด้วยท่าทางแข็งทื่อ

 

 

นั่งบนโซฟา แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นหน้าหนาวแต่เธอกลับรินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จิบน้ำลงไปก็ไม่อาจปกปิดใจที่เหมือนมีดเฉือนได้

 

 

ในเวลานี้นายท่านหลินและคนอื่นยังไม่ไปไหน

 

 

พวกเขากำลังลงมาจากชั้นบนและกำลังปรึกษากันว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

ในอดีตเรื่องเหล่านี้แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเลย

 

 

เมื่อเห็นหนิงฉิงนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดี นายท่านหลินก็ถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรล่ะ อาการแม่เธอไม่ค่อยดีเหรอ?”

 

 

หลินฉีก็มองมา

 

 

หนิงฉิงวางแก้วน้ำพลางส่ายหน้า

 

 

ทว่าสายตากลับดูเลื่อนลอย

 

 

เป็นเพราะไต้หรานรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ พวกเขาถึงมีท่าทีแบบนี้ หนิงฉิงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าอาจารย์เว่ยต้องการรับฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีท่าทีอย่างไร?

 

 

**

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านขยับเก้าอี้สองตัวเพื่อให้อาจารย์เว่ยและอาไห่นั่ง

 

 

ส่วนเธอก็พิงเตียงผู้ป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานพิงหมอนด้วยหน้าตาที่สดใส ดูก็รู้ว่าสภาพจิตใจดีขึ้นมาก “ลำบากอาจารย์เว่ยจริงๆที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่”

 

 

เมื่ออาจารย์เว่ยเห็นท่าทีของเธอ หัวใจก็จมดิ่งแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขายิ้ม “มาหนึ่งเที่ยวไม่ได้ลูกศิษย์ดีดีไป ผมก็ไม่ถือที่จะต้องมาอีกหลายๆครั้ง”

 

 

เนื่องจากพวกเขายังถือว่าไม่ค่อยสนิทกัน แต่อาจารย์เว่ยก็ย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าแม้ฉินหร่านจะไม่ยอมฟังคำพูดของคนอื่น แต่คำพูดของเฉินซูหลานเธอจะไม่ฟังไม่ได้

 

 

เฉินซูหลานเอ่ยขึ้นมาว่าเรื่องไหว้ครูอาจจะเร็วก่อนกำหนด

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจารย์เว่ยคงดีใจมากจนอยากวิ่งรอบโรงพยาบาลสักสองรอบ

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงความหมายในสิ่งที่เฉินซูหลานทำแล้ว ความดีใจของอาจารย์เว่ยก็มลายหายไป

 

 

ฉินหร่านไม่ฟังคำพูดที่เป็นทางการของทั้งสอง เธอเปิดโทรศัพท์นั่งพิงอยู่บนเตียงผู้ป่วย วีแชทของกู้ซีฉือก็เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหว

 

 

เขาไม่ได้ส่งผลตรวจมา

 

 

ส่วนของเหยียนซีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน

 

 

หลังจากเธอส่งเพลงที่แต่งในเวอร์ชั่นครบถ้วนสมบูรณ์แล้วให้เหยียนซี อีกฝ่ายก็เงียบหายไป

 

 

เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งหลังจากที่เธอส่งเค้าโครงโดยรวมไปแล้ว เหยียนซีก็มักจะส่งวีแชทมารบกวนไม่หยุดเพื่อเร่งให้เธอเขียนเสร็จไวๆ

 

 

แต่พอเธอส่งเพลงให้หมดแล้ว อีกฝ่ายกลับเงียบหายไปตั้งวันสองวัน

 

 

“งั้นก็หาฤกษ์หายามมาวันนึง” เฉินซูหลานและอาจารย์เว่ยพูดคุยกันจนถึงแก่เวลา อาจารย์เว่ยผงะไปสักพัก จากนั้นก็พูดด้วยหน้าระรื่น “การรับลูกศิษย์ของผมถึงแม้จะไม่ได้จัดงานใหญ่ แต่ก็มีหลายคนที่ต้องเชิญมา”

 

 

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินซูหลาน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นอวิ๋นเฉิง ไม่ใช่ถิ่นของเขา ดังนั้นอาจารย์เว่ยจึงได้วางแผนไว้แล้วระหว่างเดินทางมาว่าจะข้ามเรื่องพิธีการไปก่อน

 

 

จนกว่าจะถึงปีหน้าตอนที่ฉินหร่านไปเมืองหลวง เขาจะจัดงานใหญ่

 

 

**

 

 

โรงแรมที่อาจารย์เว่ยพักในตอนกลางคืน

 

 

โรงแรมระดับห้าดาวแห่งเดียวในอวิ๋นเฉิง

 

 

เป็นโรงแรมที่สมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงจัดเตรียมไว้ให้เขา รวมไปถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูอีกหนึ่งคัน

 

 

พอฉินหร่านเห็นโรงแรมก็พบว่าเขาเลือกโรงแรมเดียวกับกู้ซีฉือ

 

 

หลังจากส่งอาจารย์เว่ยไปถึงโรงแรม อาไห่ก็พาฉินหร่านกลับไปที่โรงเรียน

 

 

แม้อวิ๋นเฉิงจะไม่ใช่ถิ่นของอาจารย์เว่ย แต่ชื่อเสียงของเขาก็มีผลทุกที่

 

 

หลังจากที่อาไห่พาฉินหร่านไปส่ง อาจารย์เว่ยก็สวมแว่นตาพลิกดูปฏิทินเพื่อเลือกวัน

 

 

จากนั้นก็วางแผนเชิญคน มีหลายคนจากสมาคมไวโอลินแห่งอวิ๋นเฉิงที่ต้องเชิญ

 

 

“ใช่แล้ว เจียงหุยก็อยู่อวิ๋นเฉิงไม่ใช่เหรอ?” อาจารย์เว่ยเปิดสมุดโทรศัพท์และหันไปมองอาไห่

 

 

การแสดงของเขามักจะมีผู้ชมอยู่หลายคนซึ่งแทบจะเป็นคนจากตระกูลเจียง ตระกูลสวี และตระกูลเฉิง ในบรรดาคนเหล่านี้เขากับเจียงหุยเคยทานข้าวด้วยกันอยู่หลายครั้งซึ่งถือว่าเป็นมิตรภาพต่างวัย  

 

 

อาไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ยินมาว่าคุณชายเจียงถูกส่งตัวมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

“งั้นก็ดีเลย” อาจารย์เว่ยเพิ่มเจียงหุยอีกหนึ่งคนในรายชื่อข้างๆ

 

 

เฉินซูหลานเองก็วางแผนเรื่องที่จะเชิญคนมาเช่นกัน

 

 

กลุ่มญาติจากตระกูลหลินและตระกูลหนิงล้วนเป็นพวกเสือสิงห์กระทิงแรด เฉินซูหลานไม่คิดจะแจ้งพวกเขา

 

 

ส่วนที่เหลือก็เป็นเพื่อนๆของฉินหร่านและยังมีพวกมู่หนาน

 

 

พานหมิงเย่ว์ มู่หนานไม่ต้องพูดถึง ซ่งลี่ว์ถิงยังกลับมาไม่ได้ชั่วคราว ส่วนกู้ซีฉือก็ไม่รู้ว่ายังอยู่ในอวิ๋นเฉิงหรือไม่…

 

 

เฉินซูหลานให้พยาบาลรับจ้างหยิบปากกากับกระดาษมาให้เธอ ดึกมากแล้วแต่เธอยังไม่นอน บรรจงเขียนชื่อลงไปทีละคน 

 

 

พยาบาลรับจ้างก้มหน้าดูก็อดแปลกใจไม่ได้ “ป้าเฉิน ตัวหนังสือคุณสวยจัง”

 

 

ด้วยการลากเส้นของปากกา ตวัดปากกาดังมังกรร่อน ทั้งมีพลังและอ่อนช้อยงดงาม

 

 

เฉินซูหลานยิ้มอย่างสบายๆ เธอวางปากกาและหรี่ตาเล็กน้อย พลันนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นขึ้นมา

 

 

เธอครุ่นคิดอยู่สักพักก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเฉิงเจวี้ยน