“ฉันมีคำถาม” เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งขึ้นมา “เธอพบแล้วเหรอว่าสถานีทดลองนิวเคลียร์ของชิ่งเจิ่นอยู่ที่ไหน”

หยางเสียวจิ่นมองพวกเขา “เปล่า ฉันแค่โกหกชิ่งเจิ่นเฉยๆ คนของเขาติดต่อนักฟิสิกส์อนุภาคหลายคน แต่พอพวกเขาเจอหน้ากัน นักฟิสิกส์พวกนั้นรวมถึงครอบครัวก็หายตัวไปกันหมด แต่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งไม่เคยลุยงานวิจัยด้านนี้ พวกเราเลยคาดเดากันว่าชิ่งเจิ่นน่าจะมีกิจการส่วนตัวอะไรบางอย่าง ซึ่งก็น่าจะเป็นสถานีทดลองนิวเคลียร์นั่นแหละ”

“แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมตระกูลชิ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาต้องตั้งแง่กับคนของตัวเองอะไรขนาดนั้น ถึงกับสร้างฐานทัพของตัวเองเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจ

หยางเสียวจิ่นว่า “เพราะเขารู้น่าสิว่าตลอดหลายร้อยปีมานี้ เงาของสมาคมตระกูลชิ่งไม่เคยมีจุดจบที่ดี เงา…สมควรเป็นแค่เงา”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ชิ่งเจิ่นทำเรื่องนี้เพื่อปกป้องตัวเองสินะ

หยางเสียวจิ่น “ตอนพวกเราบอกคนอื่น พวกเราควรพูดว่าสูเสี่ยนฉู่ช่วยพวกเราไว้ ไม่อย่างนั้นพลังพิเศษของนายถูกเปิดเผยง่ายๆ แน่ รอบนี้ฉันขอแนะนำนายแบบจริงจังเลยนะ ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาดว่านายคัดลอกพลังพิเศษของคนอื่นได้ มันอันตรายเกินไป”

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “อ้าว ไม่ใช่ว่าผู้ก่อจลาจลรู้อยู่แล้วเหรอว่าสูเสี่ยนฉู่ออกไปจากป้อม 109 แล้วน่ะ แล้วเราจะพูดได้ไงว่าเขาช่วยพวกเราไว้”

หยางเสียวจิ่น “อืม ก็โกหกไง”

“ฮ่าๆ” คำถามมากมายในใจของเริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ ได้รับคำตอบจากหยางเสียวจิ่น “ลู่หย่วนก็เป็นคนของผู้ก่อจลาจลเหมือนกันเหรอ เห็นก่อหน้านี้เธอคุ้มกันให้เขา”

“เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของผู้ก่อจลาจล” หยางเสียวจิ่นว่า “เขามาจากสมาคมตระกูลหยาง ทางตระกูลหยางกับตระกูลหลี่ทำงานวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีมาตลอดเพราะเชื่อว่านาโนเทคโนโลยีจะช่วยให้พลังรบของบุคคลหนึ่งนายทะลุเกินขีดจำกัดได้ และที่ชิ่งเจิ่นพูดก็ไม่ผิด สมาคมตระกูลหยางคิดจะใช้นาโนเทคโนโลยีในการสงครามจริงๆ”

“งั้นผู้ก่อจลาจลกับสมาคมตระกูลหยางเกี่ยวข้องกันยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“องค์กรผู้ก่อจลาจลก่อตั้งโดยผู้มีพลังพิเศษคนแรกของสมาคมตระกูลหยาง” หยางเสียวจิ่นตอบ “ที่จริงผู้ก่อจลาจลมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับสมาคมตระกูลหยาง ตอนนี้ทางผู้ก่อจลากลกับสมาคมตระกูลหยางมีอุดมการณ์ต่างกันจึงแยกย้ายมุ่งไปคนละทาง ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรน่ะ จริงๆ แล้วตอนแรกผู้ก่อจลาจลก็ไม่ได้เรียกว่าผู้ก่อจลาจลหรอกนะ แต่ว่าทุกคนเรียกพวกเราแบบนั้น พวกเราก็เลยยึดตาม รับบทบาทนั้นในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้จี้ถามเรื่องความสัมพันธ์ตอนนี้ระหว่างผู้ก่อจลาจลกับสมาคมตระกูลหยางมากนัก อย่างไรเสียนี่เป็นเรื่องภายในตระกูลของหยางเสียวจิ่น ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง อย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้อพยพคนหนึ่ง

หยางเสียวจิ่นอยู่ตรงหินแห่งหนึ่งที่สลักสัญลักษณ์แปลกๆ เธอหยิบแท่งเหล็กขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยขึ้นมาจากกระเป๋า กด เปิดใช้งานที่ปลายด้านหนึ่ง พลุสัญญาณก็ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า

เริ่นเสี่ยวซู่คอยจับตามองอย่างเงียบๆ คิดว่าหยางเสียวจิ่นคงเจอเครื่องหมายที่เพื่อนร่วมององค์กรทิ้งไว้ให้เธอส่งสัญญาณไปหา

ทันใดนั้นก็มีรถออฟโรดพุ่งออกมาจากทางแคบสายหนึ่ง ลั่วซินอวี่โบกไม้มือมาจากเบาะหลัง “เสียวจิ่น ดีจังที่เธอไม่เป็นอะไร”

รถออฟโรดที่มีลู่หย่วนเป็นคนขับมาหยุดตรงหน้าเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่น ลู่หย่วนลงจากรถมาคุยกับหยางเสียวจิ่น “กลับบ้านกัน ภารกิจล้มเหลวแล้ว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ซินอวี่กู้มาโดนเจ้าอ้วนหลัวเอาไปแล้ว”

หยางเสียวจิ่นหยิบฮาร์ดไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋า “ชิ่งเจิ่นให้สมาคมตระกูลหยาง แต่ฉันคิดว่าเขาคิดจะทำให้ปัญหาของตระกูลหยางกับกับตระกูลหลี่ยุ่งเหยิงกว่าเดิม แต่ก็ไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าสองตระกูลจะมีสายสัมพันธ์อันดีแต่แรก”

ลั่วซินอวี่ร้องยินดี แต่พวกเธอสงสัยมากกว่าว่าหยางเสียวจิ่นหนีออกมาได้อย่างไร หยางเสียวจิ่นว่า “สูเสี่ยนฉู่กับเริ่นเสี่ยวซู่ร่วมมือกันช่วยฉันออกมา ตอนนี้สูเสี่ยนฉู่ทรงพลังมาก เราต้องจับตาเขาให้ดี”

ลั่วซินอวี่ตระหนก “ฉันไปดูตรงที่สู้กันมา พวกเขาสองคนแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเลยเหรอ”

“ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของสูเสี่ยนฉู่ แต่เขามุ่งไปทางป้อมปราการ 178 แล้วล่ะ” หยางเสียงจิ่นพูดเสียงนิ่ง

“อ้อ งั้นพวกเรากลับบ้านกัน” จากนั่นลั่วซินอวี่หันมาคุยกันเริ่นเสี่ยวซู่ “นี่เริ่นเสี่ยวซู่ สนใจอยากกลับป้อม 88 ด้วยกันไหม”

เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก ส่ายหัวและพูด “ไม่เป็นไร ฉันต้องไปตามหาน้องก่อน”

หยางเสียวจิ่นมองเขา “ฉันต้องไปแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่งเสียงรับรู้

หยางเสียวจิ่นว่า “หลังเจอพวกเหยียนลิ่วหยวนแล้วก็มาป้อม 88 นะ ฉันจะรออยู่ที่นั่น”

“ได้”

จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็ปีนขึ้นรถออฟโรดไป ลู่หย่วนเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์คำรามกระหึ่มพุ่งออกไป

เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายพวกเขาสองคนก็ต้องกล่าวลากัน ผู้ใหญ่แยกทางเรียบง่ายเบาบางเสมอมา การกล่าวลาอย่างเศร้าสร้อยเพียงปรากฎในกวี

ถ้าพวกเขาอยากเจอกันอีก แน่นอนย่อมได้เจอ

เริ่นเสี่ยวซู่มองรถขับออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และตะโกนลั่น “เฮ้ ถ้าขึ้นเหนือก็พาฉันไปส่งด้วยสิ!”

ทว่ารถออฟโรดพุ่งฉิวไปไกลแล้ว

เกล็ดหิมะพลันตกลงมา นี่เป็นหิมะแรกของปี ทั้งดูหนักกว่าปกติด้วย เกล็ดหิมะลอยล่องจากฟ้า ราวกับต้องการชะล้างรอยโลหิตในแดนรกร้างนี้

แคมป์ทางเหนือมีกองไฟไม่น้อยถูกจุดอยู่ คนนับพันหนาวสั่นในแดนรกร้างเย็นเยียบ มีเพียงกองไฟเบื้องหน้าเป็นแหล่งให้ความอบอุ่นเดียว

ต่อให้ตัวทดลองบุกเข้ามาและฆ่าล้างผู้คน กระนั้นพวกมันก็มีเพียงพันกว่าตัว ส่วนจำนวนประชากรในป้อมปราการนั้นมีหลายแสน จึงมีคนมากมายที่หนีรอดจากการถูกฆ่ามาได้

แถมเด็กหญิงที่อยู่ข้างหลี่เสินถานยังลงมือต่อสู้เปิดทางให้คนของป้อมปราการหลบหนีด้วย

หลี่เสินถานกับเด็กหญิงนามซือหลีเหรินหายไปไหนแล้วไม่ทราบได้ กลุ่มผู้หลบหนีขอร้องให้พาเขาสองคนพาพวกตนไปด้วย หลี่เสินถานเลยบอกให้พวกเขาเดินทางขึ้นเหนือ หากเจอกลุ่มคนที่กำลังขี่จักรยานอยู่ก็จะรอด

ฟังจากที่พูดแล้ว หลี่เสินถานคงคิดแกล้งพวกเริ่นเสี่ยวซู่แน่

กลุ่มผู้หลบหนีเห็นหลี่เสินถานไม่ต่างเทพลงมาโปรด ไม่รู้เลยว่าคนที่นำพาหายนะมาสู่พวกเขาก็คือคนตรงหน้านี่แหละ หลังชำระแค้นกับสมาคมตระกูลหลี่ในป้อมปราการ 109 แล้ว หลี่เสินถานก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรที่นั่นต่อ แต่มุ่งไปทางเมืองป้อมปราการอื่นภายใต้สมาคมตระกูลหลี่แทน ดูเหมือนว่าเขาคิดจะทำลายล้างสมาคมตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง

ในที่สุดฝูงชนหลบหนีก็เห็นกลุ่มขี่จักรยานที่กำลังซ่อมจักรยานอยู่หลังขี่เดินทางขึ้นเหนือมา เทียบกับกลุ่มของเหยียนลิ่วหยวนที่ขี่บนจักรยาน ทั้งแบกกระเป๋าสะพายหลังแล้ว สภาพกลุ่มผู้หลบนี้ดูน่าสังเวชกว่ามาก

ตอนนี้หวังฟู่กุ้ยกำลังพูดอย่างลึกลับ “ลิ่วหยวน ฉันเจอของดีที่น่าจะใช้งานได้ด้วยแหละ”

เหยียนลิ่วหยวนหันมามองหวังฟู่กุ้ยและถาม “ลุงฟู่กุ้ยเจออะไรเหรอ”

หวังฟู่กุ้ยหยิบไพ่ออกมาชุดหนึ่งอย่างระมัดระวัง “นี่ไง ระเบิดหนึ่งกอง!”