เผยเยี่ยนก้มหน้าก้มตาวาดภาพอย่างตั้งใจ
ใบหน้าขาวสะอาดราวกับหยก เสี้ยวหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบ เผยท่าทีสงบนิ่ง ราวกับภาพแกะสลัก ทำให้เขาหล่อเหลาขึ้นเป็นพิเศษ
อวี้ถังลอบถอนหายใจอย่างเลือนราง
นางไม่ชอบยามที่ญาติผู้พี่เอ่ยถึงเผยเยี่ยน คล้ายว่าเผยเยี่ยนเป็นคนโง่เสียอย่างนั้น
เผยเยี่ยนฉลาดกว่าคนส่วนมาก…เมื่อความคิดแล่นเข้ามาในสมอง อวี้ถังก็นั่งหยัดกายตรง
เขาก็คงรู้กระมัง?
เสนอแนะเรื่องกิจการของพวกเขา หากได้กำไร ทุกคนย่อมดีใจ หากเสียหาย เขาก็ต้องรับผิดชอบ
เขาคิดว่าสกุลอวี้เป็นผลประโยชน์อันน้อยนิด จะขาดทุนหรือได้กำไรก็ไม่เป็นไร? หรือคิดว่าแม้เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบ เขาก็ต้องช่วยเหลือสกุลพวกนางเสียหน่อยอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเผยเยี่ยนอย่างใจลอย ในใจคิดสับสนวุ่นวาย
ดีที่เผยเยี่ยนวาดภาพด้วยความรวดเร็ว ไม่ถึงเวลาสองถ้วยชา เขาก็วาดภาพเสร็จแล้ว
เผยเยี่ยนยืนขึ้นจากโต๊ะหนังสือ ถือภาพร่างขึ้นมา เดินไปทางสองพี่น้อง ทั้งเอ่ยไปพลาง “พวกเจ้าลองดู! ข้าวาดขนาดเล็กๆ เพียงสามชุ่นเท่านั้น แต่ภาพคร่าวๆ ก็ประมาณนี้”
อวี้ถังนั่งรอเผยเยี่ยนเดินเข้ามาอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อวี้หย่วนผุดลุกยืนขึ้นมา สาวเท้าเข้าไปสองก้าว ยื่นแขนไปรับภาพในมือของเผยเยี่ยน ปากก็เอ่ยประมาณว่า ‘รบกวนนายท่านสาม ลำบากท่านแล้ว’ อย่างไม่หยุดหย่อน
อวี้ถังมองแล้วก็หน้าแดงขึ้นมา ยามนี้จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเพิกเฉยต่อเผยเยี่ยนเกินไป
นางละล่ำละลักยืนขึ้น
เผยเยี่ยนกลับมองอวี้ถังไปที
อวี้ถังกะพริบตาปริบ
เผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร? แม้นางจะไร้มารยาทต่อเขา แต่แก้ไขแล้วก็ยังดีกว่าเมินเฉยไม่สนใจอะไรกระมัง?
นางมองเผยเยี่ยนอย่างงุนงง
เผยเยี่ยนหลุบสายตาลง จึงค่อยข่มกลั้นรอยยิ้มไว้ได้อย่างยากลำบาก
ปกติดูเป็นคุณหนูตัวน้อยที่สมองไวคนหนึ่ง ไฉนพอคนที่พึ่งพาได้มาถึง นางก็ทำท่าราวกับไม่ประสาเรื่องทางโลกเสียอย่างนั้น
แต่ว่า คุณหนูอวี้ที่เป็นเช่นนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
คล้ายกับปีศาจตัวน้อยที่ยอมเก็บกรงเล็บเอาไว้ จู่ๆ กลับพบว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเก็บกรงเล็บ ทำได้เพียงแสร้งวางตัวสงบนิ่งสวมชุดเกราะอีกครั้ง กลับทำให้คนพลั้งเผลอเห็นความอ่อนโยนภายในของนาง
ไม่รู้ว่าตอนที่นางอยู่ในเรือนของตัวเองก็มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้หรือไม่?
เผยเยี่ยนตัดสินใจไม่สนใจอวี้ถัง ปล่อยให้นางคิดว้าวุ่น คาดเดาไปต่างๆ นานาเอง
“ข้าวาดภาพสองแผ่น” เขานั่งเก้าอี้ข้างสองพี่น้องอวี้ถัง เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “แผ่นแรกเป็นดอกบัว อีกแผ่นเป็นดอกเหมย ภาพดอกบัว ทั้งภาพล้วนเป็นดอกบัว ส่วนภาพดอกเหมยยังวาดนกสี่เชวี่ยสองตัว” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาจารย์ของสกุลพวกเจ้าแกะสลักภาพดอกไม้และปักษาได้ดีหรือไม่? คงไม่ได้มีฝีมือธรรมดาหรอกกระมัง?”
การแกะสลักดอกไม้และปักษาเป็นฝีมือที่สืบทอดต่อกันมาของสกุลอวี้ แต่ต่อหน้าเผยเยี่ยน อวี้หย่วนก็ไม่กล้าพูดเต็มปากนัก
“พอใช้ได้ๆ” เขาเอ่ยติดต่อกัน “ไม่อย่างนั้น ข้าให้คนเข้าไปที่ร้านค้าเอากล่องไม้แกะสลักดอกไม้และปักษามาให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่?”
แม้สกุลเผยและสกุลอวี้ต่างก็อยู่ในเมืองหลินอัน แต่เรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันออกอีกเรือนอยู่ตะวันตก ไปกลับก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ทั้งเห็นว่ายามนี้ก็เย็นมากแล้ว อย่างไรอย่าได้ทำเรื่องยุ่งดีกว่ากระมัง?
ขณะที่อวี้ถังครุ่นคิด ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยกับอวี้หย่วน “เช่นนั้นเจ้าให้คนเอาเข้ามาสักกล่องเถิด!”
อวี้หย่วนได้ฟังก็ออกคำสั่งให้ซานมู่ที่ตามเขามา ไปหยิบกล่องไม้ที่ร้านค้า ยังกำชับเขาว่า “นำกล่องไม้แกะสลักที่ดีที่สุดมา”
ซานมู่ออกไปอย่างรวดเร็ว
อวี้ถังมองเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าราวกับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในการแกะสลักของสกุลเจ้า แต่บางเรื่องต้องดูด้วยตาของตัวเองถึงจะรู้”
ยังจะหาข้ออ้าง!
เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในฝีมือแกะสลักของสกุลพวกนาง!
อวี้ถังกำลังคิดจะโต้แย้งเขา ใครจะรู้ว่ายังไม่รอให้นางเอ่ยปาก อวี้หย่วนกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “ใช่แล้วๆ นายท่านสามความรู้กว้างไกล สามารถชี้แนะพวกเรา สกุลพวกเราก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว หากไม่เข้าใจฝีมือของสกุลเรา ก็คงไม่อาจแนะนำได้ว่าพวกเราควรจะขายอะไรดี หลักการนี้ข้าเข้าใจ”
ญาติผู้พี่ก็นอบน้อมสุภาพเกินไปแล้วกระมัง?
อวี้ถังถลึงตาใส่อวี้หย่วนไปที
อวี้หย่วนทำเป็นมองไม่เห็น
เขาคิดว่าแม้อวี้ถังจะมีความคิดลึกล้ำกว่าหญิงสาวทั่วไป มีความรับผิดชอบ แต่อย่างไรก็อยู่ในเรือนเป็นเวลานาน ไม่รู้ถึงความเก่งกาจของเผยเยี่ยน
เขานับเป็นอะไรกัน?
แค่พูดคำเยินยอต่อหน้าเผยเยี่ยนสองสามคำ คนอื่นอยากจะพูดยังหาโอกาสพูดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!
เขาเอ่ยต่อ “ท่านว่าข้าควรจะจัดเก็บแบบภาพของสกุลทั้งหมดส่งมาให้ท่านดูหรือไม่?”
เผยเยี่ยนเห็นอวี้ถังโมโหทั้งเผยท่าทีจนใจ อารมณ์ก็ดีขึ้นมา “ได้ เจ้าจะจัดเก็บออกมาเมื่อใด”
อวี้หย่วนเอ่ยทันที “ไม่นานหรอก! หลังจากข้ากลับไปก็จะให้พวกเด็กในร้านเตรียมจัดการข้ามวันข้ามคืน”
ส่วนจะจัดเก็บออกมาเมื่อใดกันแน่ กลับไม่ได้บอกเผยเยี่ยนอย่างแน่ชัด
เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง ปล่อยให้สองพี่น้องดูภาพของเขาไป
ภาพดอกบัว ทั้งหมดล้วนเป็นดอกบัวที่เพิ่งแย้มบานไม่ก็บานสะพรั่งแล้ว งดงามละเอียดอ่อนทั้งสว่างไสว หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ภาพเล็กๆ แค่สามชุ่น กลับมีดอกบัวแทบทุกลักษณะในนั้น ส่วนภาพดอกเหมย วาดร่างอย่างเรียบง่าย แต่เพราะมีนกสี่เชวี่ยเกาะขับขานบทเพลงอย่างนุ่มนวลบนก้านดอก จึงเปลี่ยนเป็นแผ่กลิ่นอายบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิ ไม่เป็นดอกเหมยที่เหน็บหนาวอีกต่อไป กลับแฝงมาด้วยควันไฟของโลกมนุษย์ พาให้คนรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
อวี้หย่วนฝีมือธรรมดา สายตากลับกว้างไกลอยู่บ้าง เป็นคนที่เข้าใจภาพวาดดี
เขาร้องว่า ‘ไอหยา’ ออกมาทันที เอ่ยอย่างตกใจ “คาดไม่ถึงว่านายท่านสามจะวาดภาพได้ดีเช่นนี้ สมแล้วที่ได้นามว่าเป็นจิ้นซื่อสองป้าย”
เผยเยี่ยนเงยหน้ามองอวี้หย่วนไปที เอ่ยอย่างไม่ไว้ไมตรี “บุรุษควรเพียบพร้อมด้วยหกทักษะ แม้ว่าเด็กอายุเจ็ดขวบก็ยังมีฝีมือวาดเช่นนี้ได้”
อวี้หย่วนทำตัวไม่ถูก หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
แม้อวี้ถังจะหงุดหงิดญาติผู้พี่อยู่บ้าง กลับไม่อาจทนดูเขาถูกรังแกได้ จึงช่วยเขาตอกกลับไปทันที
นางพูดขมุบขมิบว่า “หากทุกคนสามารถวาดภาพเช่นนี้ได้ ก็คงขายสินค้าไม่ได้แล้วกระมัง?”
เด็กสาวผู้นี้ ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ คาดไม่ถึงว่านางยังอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้
เผยเยี่ยนขุ่นเคืองในใจ เอ่ยว่า “แม้จะเป็นภาพเหมือนกัน ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนวาด ไม่อย่างนั้นเหตุใดภาพวาดพระพุทธรูปของอู๋เต้าจื่อ[1]จึงเป็นผลงานที่ตกทอดมาหลายยุคหลายสมัยได้?”
อย่างมากอวี้ถังก็กล้ายื่นเล็บออกมาตะปบเผยเยี่ยนเท่านั้น กลับไม่กล้ายั่วโทสะเขาอย่างจริงๆ จังๆ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เผยเยี่ยนก็กำลังช่วยเหลือสกุลพวกนางอยู่!
นางเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที “ดอกบัวนี้งามยิ่ง ดอกเหมยนั้น…ก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช่กล่าวว่าเหลือพื้นที่ว่างไว้จะไม่งามนักมิใช่รึ? ควรจะวาดดอกเหมยให้เต็มหน่อยหรือไม่ ข้าคิดว่าแบบนั้นก็คงดูดีเช่นกัน” ขณะที่พูด นางยังปลดปล่อยความคิดไปทั่ว เอ่ยพรั่งพรูออกมา “หากสามารถทำให้ดอกเหมยพวกนั้นซ้อนทับเป็นชั้นๆ ขึ้นมา ก็จะเหมือนดอกเหมยจริงๆ แนบติดกับกล่องไม้ คงจะงามทีเดียว” นางเพิ่งจะพูดจบ ก็คิดคล้อยตาม ในสมองปรากฏภาพกล่องเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงที่มีดอกเหมยเต็มไปหมด สีสันฉูดฉาด คาดว่าคงไม่มีหญิงสาวคนใดที่ไม่ชอบ
นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้
“ไม่อย่างนั้น พวกเราก็วาดภาพที่เต็มไปด้วยดอกเหมยด้วย?” อวี้ถังปรึกษากับอวี้หย่วน “หากดูดี พวกเรายังสามารถแกะสลักเป็นกล่องดอกหลันฮวา ดอกอวี้จันหรือดอกจือจื่อ[2]ให้เต็มไปหมด นั่นก็เป็นอย่างที่นายท่านสามว่า เป็นเอกลักษณ์ของพวกเรา”
เผยเยี่ยนได้ฟังมุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
หรือก่อนหน้านี้ที่เขาพูดล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ เดิมทีคุณหนูอวี้ก็ไม่ได้ฟังเข้าหูแต่อย่างใด?
เขาไม่สนใจอวี้ถัง แต่ย้ายสายตาไปหยุดที่อวี้หย่วนแทน “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
อวี้หย่วนมองลู่ทางออกอยู่บ้าง แต่เขาอยู่ต่อหน้าเผยเยี่ยนจึงกังวลเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเล “ภาพพวกนี้ของนายท่านสาม นอกจากกลีบดอกไม้จะซ้อนทับกัน ลายเส้นยังเด่นชัด ในความอ่อนโยนแฝงด้วยความแข็งแกร่ง เหมาะที่จะทำงานฝีมือเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงจริงๆ โดยเฉพาะภาพดอกเหมยที่เหลือพื้นที่ว่าง ใช้สีพื้นสีเดียวกัน จึงยิ่งขับเน้นลายเส้นขึ้นมา…”
ขณะที่เขาพูด ในสมองก็ปรากฏแบบภาพพวกนั้นของสกุลตน
อย่าเพิ่งพูดว่าเปลี่ยนเป็นภาพของเผยเยี่ยนเลย ไม่เพียงงดงามน่ามอง โดยรวมยังมีระดับและความเฉพาะตัว เช่นนั้น ร้านค้าของพวกเขาก็สามารถขายของในราคาดีได้แล้วสิ
อวี้หย่วนซาบซึ้งขึ้นมา “นายท่านสาม ต้องขอบคุณท่านจริงๆ! หากไม่มีท่าน พวกเราก็ไม่รู้ว่ายังต้องเดินไปผิดทางอีกกี่หน บางทีชั่วชีวิตของพวกเราอาจจะไร้ทางทราบว่าปัญหาอยู่ตรงไหนเลยก็ได้”
น้ำเสียงของเขาดูจริงใจยิ่ง พาให้คนฟังรู้ว่าเขาขอบคุณเผยเยี่ยนด้วยใจจริง
เผยเยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยท่าทีอบอุ่นยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“เจ้าสามารถมองออกก็มีทางช่วยแล้ว” เขาเอ่ย “นี่เป็นกล่องเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงที่ข้าเห็นในห้องหนังสือ ยามที่มีโอกาสเข้าวังเมื่อก่อน แบบภาพนั้นก็ให้ความรู้สึกเช่นนี้ ข้าคิดว่า พวกเจ้าก็คงสามารถเรียนรู้จากมันได้”
“แน่นอนๆ” อวี้หย่วนผงกศีรษะระรัว ปกปิดความดีใจไม่มิดแม้แต่น้อย
อวี้ถังได้ฟังก็เข้าใจขึ้นมา
มนุษย์ควรจะสั่งสมความรู้จริงๆ
เหมือนกับเผยเยี่ยน ไม่เพียงจะปลูกต้นไม้ได้ กระทั่งมอบร้านค้าเครื่องลงรักให้เขา เขาก็ยังสามารถหาวิธีพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
นางเอ่ยว่า “พวกเราเลียนแบบของในวัง จะเป็นอะไรหรือไม่?”
“จะเป็นอะไรได้!” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็เหมือนการวาดภาพ ยามที่เพิ่งเริ่มก็ต้องลอกภาพวาด หากคิดจะหลงเหลือชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ ก็ต้องมีเอกลักษณ์และแนวทางเป็นของตัวเอง ยามนี้พวกเจ้าหาวิธีที่จะเปิดโอกาส จากนั้นยังต้องขบคิดอย่างละเอียดถึงจุดยิบย่อยพวกนี้ ไม่อย่างนั้น แม้ว่าจะทำกำไรได้ขึ้นมา เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่นานเท่านั้น”
อวี้หย่วนผงกศีรษะราวกับลูกไก่จิกข้าวเปลือก แววตาที่มองเผยเยี่ยนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดประจบอย่างระมัดระวังอีกแล้ว กลับชื่นชมด้วยความเคารพนับถือแทน
อวี้ถังถูขมับ
เผยเยี่ยนกลับชำเลืองมองนางอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
อวี้ถังเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง
หรือเผยเยี่ยนรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้?
นางมองพินิจเผยเยี่ยนอย่างละเอียด
เขายังคงเผยท่าทียโสโอหัง อยากให้คนทุบเขาสักทีถึงจะพอใจเหมือนเดิม
อวี้ถังกัดฟันแน่น
เผยเยี่ยนยังคงกาใบไหนไม่เปิดก็ถือใบนั้น[3] แสร้งถามอวี้หย่วนอย่างไม่เจตนา “ข้าก็ไม่ได้เข้าใจเครื่องลงรักอะไรมากมาย เจ้าลองพูดมาสิว่า เหตุใดเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงจึงต้องใช้สีแดงเป็นสีพื้น? ใช้สีขาวหรือสีดำจะไม่ดูดีกว่ารึ?”
อวี้หย่วนตอบเขาด้วยคำพูดนอบน้อมราวกับนักเรียนตอบคำถามอาจารย์ “บางที่ก็มีการใช้สีขาวและสีดำเป็นสีพื้น แต่นั่นเรียกว่า เถียนชี[4] เป็นงานฝีมืออีกอย่างหนึ่ง สกุลพวกเราไม่มีฝีมือทางด้านนั้น”
“อย่างนั้นรึ!” เผยเยี่ยนลากเสียงยาว ชำเลืองมองอวี้ถังด้วยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้ม
อวี้ถังก้มหน้า อยากให้มีรอยแยกหนึ่งผุดขึ้นมา นางจะได้ฝังตัวลงไป
เผยเยี่ยนยังไม่ยอมปล่อยนาง เอ่ยต่อว่า “ไม่อย่างนั้น สกุลพวกเจ้าก็เรียนรู้งานฝีมือแบบเถียนชีไปด้วย? ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยากหรือไม่?”
อวี้หย่วนมองเผยเยี่ยน เป็นสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
งานฝีมือเป็นสิ่งที่ใช้เลี้ยงชีพ ทั้งเป็นการแย่งเรื่องปากท้อง ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าเอาเงิน!
ใครก็ล้วนรู้เรื่องนี้ดี ไฉนนายท่านสามจึงพูดโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้
เขาเอ่ยอย่างลำบากใจ “แม้ว่าสกุลพวกเราจะอยากเรียน ก็ต้องมีสถานที่ให้เรียน ทั้งต้องได้รับการยินยอมจากผู้สอน”
อวี้ถังมีโทสะอย่างยิ่ง
เผยเยี่ยนรู้ว่าแม้ตัวเองจะแหย่ต่อไป หากคุณหนูยื่นเล็บออกมาตะปบเขา เขาก็ไม่กลัว แต่หากแหย่คนจนร้องไห้ก็ไม่ดีแล้ว เขาจึงเปลี่ยนประเด็น “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ศึกษาภาพพวกนั้นให้ดีๆ เถิด ดูว่าภาพไหนสามารถขับจุดเด่นของเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงได้บ้าง!”
——————–
[1]อู๋เต้าจื่อ เป็นจิตรกรเอกในสมัยราชวงศ์ถัง
[2]ดอกจือจื่อ ดอกการ์ดิเนีย
[3]กาใบไหนไม่เปิดก็ถือใบนั้น อุปมาว่า เรื่องอะไรไม่ควรพูด กลับพูดเรื่องนั้น
[4]เถียนชี เป็นงานฝีมือในการทำเครื่องลงรักประเภทหนึ่ง เมื่อสลักลายเครื่องลงรักแล้ว ก็จะเติมลวดลายด้วยสีสันต่างๆ