บรรพชนสองส่งฉินมู่ออกไป เมื่อเขาหันกลับมา เขาก็พบว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นยังไม่ตาย เขาเพียงแต่ทำให้กายเนื้อตนเองกลายเป็นหิน และเข้ามาในแดนยมโลกเพื่อเก็บตัวจำศีล เขาสามารถไปๆ มาๆ ได้ตามใจชอบ
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขามีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด ขนาดที่ว่าตอนนี้เขาคงกลับไปถึงร่างเนื้อเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายมองไปยังบรรพชนสองและพวกเขาก็กล่าว “ทั้งสองคนจะต้องต่อสู้กันอีกครั้งอย่างแน่นอนเมื่อไปถึงที่นั่น และไม่ต้องสงสัยว่าพวกเราจะต้องเป็นผู้รับเคราะห์”
บรรพชนสามมีสีหน้าขมขื่น “หลังจากที่กษัตริย์มนุษย์ฉินพ่ายแพ้ในคราวนี้ ก็จะเป็นโครงกระดูกข้าที่จะถูกป่นเป็นผง”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้ว การยกระดับตนเองจนถึงขั้นที่สามารถเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนในขั้นวรยุทธเดียวกันได้นั้น เป็นเรื่องยากสาหัสจนเกินไป พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้คนที่โดดเด่นในรุ่นสมัยของตนเอง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดต่างๆ ในยุคสมัยของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้ฝึกปรือจนถึงจุดสูงสุด แต่ทุกคนก็ล้วนมีแง่มุมที่สำเร็จถึงขั้นเทวะของตนเอง
แต่ทว่า ทุกแง่มุมของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นอยู่ในเขตขั้นเทวะ และบางที อาจจะเหนือยิ่งกว่านั้น
นี่ก็ผ่านมายังไม่ทันจะครบปีหลังจากที่ฉินมู่พ่ายแพ้ให้แก่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ไม่ว่ากำลังฝีมือของเขาจะรุดหน้าเร็วแค่ไหน แต่อย่างมากก็คงเป็นแค่มีขั้นวรยุทธที่สูงขึ้น
เพียงแค่การมีขั้นวรยุทธที่สูงขึ้นนั้นไม่เพียงพอที่จะเอาชนะบรรพชนแรกได้
การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะจะเพิ่มพูนขั้นวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากว่าพวกเขาต้องสร้างเสริมรากฐาน นั่นก็จะเป็นเรื่องอันยากยิ่ง
การเพิ่มพูนขั้นวรยุทธนั้นเหมือนกับการก่อสร้างอาคารอีกชั้นขึ้นไปบนอาคารชั้นก่อนหน้า ขณะที่การเพิ่มพูนรากฐานนั้นคือการเสริมแกร่งและขยายส่วนฐานของสิ่งก่อสร้างโดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างที่ก่อบนรากฐานนั้นๆ ทำให้ตนเองสามารถรองรับสิ่งก่อสร้างมากยิ่งขึ้นและสร้างอาคารได้สูงยิ่งขึ้น ความยากในการทำเรื่องแบบนี้คงพอจะจินตนาการออกได้
มีก็แต่การเพิ่มพูนรากฐานเท่านั้นที่จะทำให้ฉินมู่มีโอกาสเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในขั้นวรยุทธเดียวกัน นี่เรียกร้องให้เขาต้องเพิ่มพูนความรู้และรากฐานให้ผงาดขึ้นไปทัดเทียบกับระดับของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!
“กษัตริย์มนุษย์ฉินอายุเท่าไร” บรรพชนสองโพล่งถามขึ้นมา
กษัตริย์ฉีคังคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “เด็กแสบซูพูดถึงอายุเขามาก่อน ถ้านับตามโลกแห่งคนเป็นแล้ว เขาก็น่าจะสิบเก้าปี”
บรรพชนสองกล่าว “สิบเก้าปี เด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของวัยหนุ่มสาว ความสำเร็จชั่วชีวิตของคนผู้หนึ่งมักจะเริ่มที่วัยนี้ พวกเจ้าอายุเท่าไรตอนที่วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะเริ่มจะเข้ารูปเข้ารอย”
บรรพชนสามครุ่นคิดและตอบไป “ตาเฒ่า เมื่อเจ้ารับข้าเป็นศิษย์ ข้าอายุสิบสอง เมื่อข้าอายุยี่สิบ ข้าได้สร้างเค้าโครงมือหยินหยางพลิกสวรรค์ ข้ายังมีความคิดเกี่ยวกับวิชาฝึกปรือของข้า เคล็ดลับหยินหยางเก้าทวี จากนั้นข้าก็ใช้เวลาตลอดสองร้อยปีเพื่อทำให้ทั้งสองอย่างนี้สมบูรณ์แบบในที่สุด”
บรรพชนสี่กล่าว “ข้าไม่ได้ฝึกวิชาฝึกปรือและมุทราของอาจารย์ เขาเป็นความล้มเหลว ดังนั้นข้าก็จะมีแต่ล้มเหลวหากว่าเรียนจากเขา เพราะอย่างนี้ ข้าจึงคิดค้นวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของข้าเอง ข้านั้นดีกว่าตาเฒ่า ข้ามีความคิดเกี่ยวกับวิชาฝึกปรือของข้าเมื่อตอนอายุสิบเจ็ด และสามารถต่อยตีชนะตาเฒ่าได้เมื่อข้าเข้าวัยกลางคน”
บรรพชนสามเป่าหนวดและถลึงตาจ้องเขา “เจ้าคิดว่าต่อยตีชนะข้าได้แล้ววิเศษนักหรืออย่างไร”
บรรพชนสี่กล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ใช่แล้ว ข้านั้นวิเศษเลิศล้ำมาก”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็บอกเล่าถึงอายุที่พวกเขาได้เริ่มมีเค้าร่างวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของตนเอง ส่วนมากจะอยู่ระหว่างสิบปีถึงสามสิบห้าปี พวกเขาได้ปักใจมั่นเหมาะแล้วว่าชีวิตของพวกเขาจะหันหัวเรือไปทางไหน มีก็แต่กษัตริย์มนุษย์ถั่วอวี้และบรรพชนหกเท่านั้นที่เบ่งบานในภายหลัง
“กษัตริย์มนุษย์ฉินอายุสิบเก้าปีแล้ว ถ้าอย่างนั้น เขาก็อยู่ ณ จุดสูงสุดของการคิดสร้างสรรค์”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสองครุ่นคิดและกล่าว “บางทีวิชาฝึกปรือของเขาจะมีมรรคาเป็นของตนเองแล้ว และทักษะเทวะของเขาก็มีกล้าอ่อนแรกกำเนิด เขาจะมีโอกาสเอาชนะบรรพชนแรกหรือ วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่ได้อยู่ในขั้นกล้าอ่อนแรกกำเนิด พวกมันได้ถูกขัดเกลาจนถึงขั้นไร้ที่ติ”
กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดเงียบงัน
“แต่เขาเป็นกายาจ้าวแดนดิน…”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังหวาดผวาเล็กน้อย “กายาจ้าวแดนดินควรจะทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ใช่ไหม ศิษย์ของข้าซูมู่เจ๋อ เจ้าเด็กแสบนั่น เอาแต่โอ้อวดว่าศิษย์ของเขาเป็นกายาจ้าวแดนดิน เขาน่ะเกือบจะโม้ไปถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว…”
ทุกคนผงกหัว “ต่อให้กายาจ้าวแดนดิน ก็ยังต้องการเวลาเติบโต เขาจะเติบโตได้แค่ไหนเชียวที่อายุสิบเก้าปี”
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรพชนสองก็กล่าว “พวกเราก่อรูปและไปยังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์กันเถอะ! กษัตริย์มนุษย์ฉินกำลังเดินทางอยู่ในโลกแห่งคนเป็น และเขายังคงต้องใช้เวลาวันสองวันเพื่อจะไปถึงที่นั่น พวกเราสามารถล่วงหน้าไปที่นั่นได้ก่อนหนึ่งก้าว และพวกเราสามารถเข้าไปรุมกระทืบบรรพชนแรกด้วยกันทั้งหมด!”
“ดีๆ! พวกเราไปรุมกระทืบบรรพชนแรกกันเถอะ! พวกเราจะต้องกระทืบเขาจนกว่าเขาจะออกปากยอมแพ้และไม่กล้าต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์ฉิน!”
กษัตริย์มนุษย์ทุกคนตื่นเต้นและพยักหน้าหงึกๆ พวกเขาจางหายไปกับอากาศ และหายวับไปจากยมโลก
เทพนกฉือซิ่วมองไปยังกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายที่หายตัวไป เขาหันศีรษะไปมองยังท้าวยมราชข้างๆ “ท้าวยมราชไม่หยุดยั้งพวกเขาหรือ พวกเขาล้วนแต่เป็นคนตายทั้งนั้น การที่พวกเขามุ่งหน้าไปก่อความวุ่นวายในโลกคนเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ขัดกับกฎกติกาของแดนยมโลกหรอกหรือ”
“ไม่จำเป็น”
ท้าวยมราชส่วยหัว “โถงแห่งกษัตริย์มนุษย์มิได้เป็นของโลกแห่งคนเป็น และก็มิได้เป็นของโลกแห่งคนตายด้วยเช่นกัน สถานที่นั้นมิได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพวกเรา กษัตริย์มนุษย์ในอดีตก็ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม การตัดสินใจของพวกเขาที่จะมุ่งหน้าไปยังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ มิใช่สิ่งที่ยมโลกของข้าจะกำกับดูแลได้”
ฉือซิ่วตกตะลึง “โถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ไม่ได้เป็นของโลกแห่งคนเป็นและโลกแห่งคนตายหรอกหรือ”
“โถงแห่งกษัตริย์มนุษย์เป็นชิ้นส่วนแตกหักจากปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ยมโลกไม่อาจแตะต้องที่นั่นได้”
ท้าวยมราชดึงสายตากลับมาและหันกายเพื่อจากไป “ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งได้ร่วงลงมาและก่อขึ้นมาเป็นแดนโบราณวินาศ และยังมีชิ้นส่วนแตกหักที่สำคัญที่สุด ยกตัวอย่างเช่น สามสิบสองวังสวรรค์ และเจ็ดสิบสองท้องพระโรง ยมโลกของพวกเราไม่อาจแตะต้องสถานที่เหล่านี้ โถงแห่งกษัตริย์มนุษย์นั้นตั้งอยู่ในวังสวรรค์ที่เรียกว่าวังหยกสว่าง พวกเขาไปที่นั่นและพลังวัตรของข้าไม่อาจดึงพวกเขากลับมาได้ สาเหตุที่ยมโลกสามารถสะกดข่มชิ้นส่วนของแดนใต้พิภพกระผีกนี้ได้ก็เพราะว่ามีวังสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในยมโลก มันเรียกว่าวังขอบทราย ดังนั้นมันจึงสามารถสะกดข่มภูตผีทั้งหลายได้”
…
ข้างนอกเมืองเขตมังกร ฉินมู่ขี่เมฆและขับเคลื่อนลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ ตามรอยชี้ไปยังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์
ขณะที่เขาจากไป เทพสามเศียรหกกรและเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวในเมืองเขตมังกร พวกเขามิใช่ใครอื่นนอกเสียจากชื่อซีและผานกงสั่ว
“ทำไมอาจารย์เฒ่าถึงต้องการมาชมดูธรรมเนียมพื้นถิ่นของสันตินิรันดร์”
ผานกงสั่วฉงนฉงาย “ในที่สุดพวกเราก็ออกมาจากสวรรค์ไท่หวงได้ด้วยความยากลำบาก ทำไมพวกเราไม่อาจไปยังแผ่นดินใต้ได้ตรงๆ เลยล่ะ”
“แผ่นดินใต้ได้จมลงไปและกลายเป็นทะเลใต้ไปแล้ว มันจมลงไปใต้บาดาลเป็นเวลาสามหมื่นปี ต่อให้เราไปตอนนี้หรือไปในภายหลัง มันก็จะยังอยู่ตรงนั้น ในเมื่อข้าได้กลับมาในมาตุภูมิเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
หัวทั้งสามของชื่อซีมองไปรอบๆ พลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้ามาที่นี่เพื่อชมดูธรรมเนียมพื้นฐานของสันตินิรันดร์ ข้าอยากจะเห็นศักยภาพของยุคสมัยแห่งนี้ และดูว่าพวกเขามีแต้มต่อที่จะไปต่อสู้กับสภาสวรรค์ได้หรือไม่”
“แล้วอาจารย์เห็นอะไรหรือ” ผานกงสั่วกล่าว
“มันมีเค้าลางแห่งความเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอ”
ชื่อซีกล่าวต่อ “สันตินิรันดร์ในตอนนี้ แค่เป่าลมหายใจเบาๆ ก็ถูกทำลายล้างไปได้ พวกเขาไม่อาจต้านทานได้แม้แต่การโจมตีเดียว ภัยพิบัติจะซัดถล่มที่นี่ในไม่ช้า มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งสันตินิรันดร์รุดหน้าไปด้วยความเร็วดุจเทพยดา แต่ทว่าเวลานั้นสั้นจนเกินไป ทั้งยอดยุทธฝีมือแกร่งก็น้อยนิดจนเกินไป พวกเขาได้แต่อาศัยซากทัพไม่กี่คนจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเพื่อประทังชีวิตมาจนถึงบัดนี้ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้ตายไปแล้วแต่ก็ยังตัวไม่แข็งทื่อ พวกเขาไม่อาจปกป้องสันตินิรันดร์ไปได้อีกนานนัก ดังนั้นสันตินิรันดร์จะถูกลบล้างไปอย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชมดูอีกต่อไป พวกเราไปกันเถอะ”
ผานกงสั่วงงงวย เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นทั้งหมดนี่ได้อย่างไร แต่ชื่อซีก็ได้เดินต่อไปแล้ว เขาจึงได้แต่รีบตามไปให้ทัน
…
ฉินมู่กำลังรีบร้อนที่จะไปยังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ เขาจึงคลาดกันกับชื่อซีและผานกงสั่วในชั่วจังหวะสำคัญ
ขณะที่เขาเดินไป เขาก็ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และสมบัติเทวะของทั้งมรรคาเทพและมรรคามารก็ขับเคลื่อนทำงานในร่างกายของเขา ปราณชีวิตกลายเป็นมีพลังมากขึ้น เมื่อเขาอยู่ในสวรรค์ไท่หมิง เขาก็ได้หลอมรวมสมบัติเทวะเจ็ดดาวและหกทิศของมรรคามารเข้าด้วยกัน ในตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
การสั่งสมปราณชีวิตของเขากลายเป็นเข้มข้นขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นผนังระหว่างสองมหาทักษะเทวะก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับมรรคามารของเขามากนัก เขาจึงยังขาดประสบการณ์อยู่บ้าง
สองวันให้หลัง ฉินมู่มาถึงโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ในที่สุด ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ฉายส่องอยู่บนประตู สักครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออกให้เขาเดินเข้าไป
ตรงหน้าสายตาของเขานั้นคือมวลหมอกอันไร้ขอบเขตและป้ายสุสานท่ามกลางหมอก แผ่นดินดูจะกว้างไกลไปไม่รู้จบและหลุมศพก็เกลื่อนกล่นไปทุกที่
ฉินมู่ดูเหมือนไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เขามุ่งหน้าเดินต่อไปยังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์
ตรงหน้าเขา ร่องรอยของการต่อสู้ถูกทิ้งเอาไว้
จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังดิ้นรนอยู่ในหลุมใหญ่ เขาเหมือนกับหัวไชเท้าสีดำที่ถูกฝังเอาไว้ข้างนอก เหลือแต่หัวเขาโผล่พ้นดิน
“กษัตริย์มนุษย์ อย่าเดินเข้าไปอีกนะ!”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังถูกกักขังเอาไว้ และเขาไม่อาจกระดุกกระดิก เขาตะโกนไป “ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ทั้งยังถูกอัดมาจนน่วม กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็โดนจนยับเยิน!”
ฉินมู่ไม่ใส่ใจเขา และยังคงเดินต่อไปข้างหน้า
ที่ผ่านทางไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานนอนกางแขนกางขา เขานอนแผ่อยู่กับพื้นด้วยดวงตาว่างเปล่า และจะกระตุกขึ้นมาเป็นระยะๆ
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานขยับหัวอ้วนๆ ของเขาด้วยความยากลำบาก คอของเขาหนาเตอะยิ่งกว่าศีรษะ เขาหอบหายใจอย่างแรง “อย่าไป เขาดุร้ายจนเกินไป…”
ฉินมู่ก้าวต่อไปอีกก้าว ด้วยรัศมีมารและรัศมีเทพอันเข้มข้นรอบตัวเขา เขาก็ปลดถุงเต๋าตี้สองถุงออกจากเอวและโยนมันลงไปบนพื้น ที่ไม่ห่างไกลออกไปนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ถูกแขวนห้อยไว้กับป้ายหลุมศพ นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความยากเย็น “เจ้าไม่อาจเอาชนะเขา กำลังฝีมือของเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไป…”
ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาออกมาและโยนมันลงไปบนพื้น
กษัตริย์มนุษย์ถั่วอวี้ฉุดขาเขาเอาไว้และเงยหน้าบอก “อย่าไป กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดรุมโจมตีเขาพร้อมๆ กัน แต่พวกเราก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้…เขาใช้แค่วรยุทธขั้นสะพานเทวะและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอัดพวกเราจนหมอบ…”
ฉินมู่มุ่งหน้าต่อ ลากจิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์ถั่วอวี้ไปอีกหลายก้าว เขาจึงได้แต่ปล่อยแขนออกจากขาของฉินมู่
บนถนนข้างหน้า จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น ไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้ แม้ว่าจะดิ้นรนสักขนาดไหนก็ตาม
ฉินมู่มีสีหน้าแข็งทื่อเมื่อเขามองไปยังกระท่อมของอดีตกษัตริย์มนุษย์ เขามองตรงไปและเห็นบรรพชนแรกยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่ตรงหน้าโถงวัง รอให้เขามาถึง
ฉินมู่เร่งเร้าปราณชีวิตของเขา และเสียงกึกก้องก็ดังออกมาข้างๆ หู ในท่ามกลางเสียงกึกก้องนั้น สมบัติเทวะเจ็ดดาวและหกทิศแห่งมรรคามาร ก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งในที่สุด!
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าเพิ่งจะมาตามหาข้าหลังจากผ่านไปหนึ่งปี เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง ลงมือสิ ให้ข้าเห็นความรุดหน้าของเจ้าในปีที่ผ่านมากสักหน่อย ข้ายังไม่ได้ทำลายโครงกระดูกของพวกเขาก็เพราะว่าข้ารอให้เจ้ามาถึงก่อน ข้าจะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้เจ้าเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำลายพวกคนที่ไร้ประโยชน์พวกนี้…”
ตูม
ปราณชีวิตของฉินมู่พลันกลายเป็นเข้มข้นและรุนแรงอย่างเหลือแสน เขารีดเร้นพละกำลังลงไปในขาทั้งสองข้าง และร่างกายของเขาก็แทบจะหายวับไปในเสี้ยวพริบตา เขาปรากฏตรงหน้ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในเสี้ยวพริบตานั้น!
ไม่ทันที่กษัตริย์มนุษย์บรรพขนแรกจะกล่าวจบคำ สีหน้าแตกตื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา กำปั้นของฉินมู่ได้ซัดมาถึงใบหน้าเขาอย่างหนักหน่วงแล้ว!
ข้างหลังร่างของฉินมู่ ภูเขาไฟระเบิดออก และลาวาก็พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ทักษะเทวะที่เขาใช้คือสุดยอดวิชาของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง!
พลังวัตรของเขาพวยพุ่งไปราวกับระเบิดในเสี้ยววินาที ร่างของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถูกเป่ากระเด็นไปข้างหลัง และฟาดเข้าใส่ผนังของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ด้วยเสียงปังสนั่น ฉินมู่พุ่งเข้าไป และมือของเขาก็ซ้อนทับซึ่งกันและกัน พลางขับเคลื่อนมือหยินหยางพลิกสวรรค์!
ในเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ามือของเขาก็เกลื่อนเวหาราวกับว่าเขาคือพุทธองค์พันกร ด้วยฟ้าคำรามแปดจู่โจมของเฒ่าหม่า!
วิชามุทราทั้งสองนี้ถูกร่ายรำออกไปในเวลาเดียวกัน และหัตถ์มากมายนับไม่ถ้วนก็ฟาดออกไปพร้อมๆ กัน ทั้งโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรงจากการพังทลายของผนังทางด้านหลัง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกปลิวกระเด็นไป!
ฉินมู่ก้มหัวลง ทะลวงไปข้างหน้าดุจพายุบุแคม ปราณชีวิตอันรุนแรงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นทางช้างเผือกที่ห้อยลงมา และทำให้กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกร่างกระดอนตีลังกาไปอย่างไม่รู้จบจากแรงกระแทก!
“ความรุดหน้ารึ มาสัมผัสด้วยตัวเจ้าเองสิ!”
หมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาปรากฏขึ้นมาข้างหลังเขา และแปรเปลี่ยนเป็นเขตพลัง เขาซัดออกไปด้วยมุทรา ดวงดาวเหล่านั้นพลันฉายแสงเจิดจ้า และแสงดาวนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกันและกันแปรเปลี่ยนเป็นพลังฝ่ามือที่มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และบีบอัดอากาศในระยะหลายสิบลี้ พลังฝ่ามือนี้ซัดกระแทกไปที่ร่างของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!
“คอยดูข้าใช้กระบวนท่าของพวกเขา จะอัดเจ้าให้ตายได้หรือไม่!”