บทที่ 311 มีส่วนร่วม
จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นในเมืองเซียว
ขณะเดียวกัน ประตูของห้องทรงพระอักษรก็ถูกเปิดออก และทุกคนต่างหันมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นเฉียวเทียนช่างอุ้มหนิงเมิ่งเหยาที่ดูคับแค้นใจ นอกจากนี้ตรงข้อมือของหญิงสาวยังมีผ้าพันแผลอีกด้วย เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บมา
พวกเขาต่างคิดว่าเฉียวเทียนช่างจะพุ่งใส่หนานกงเช่อเพื่อชำระแค้น แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขากลับมองดูด้วยความไม่อยากเชื่อ
‘เขามั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีมิใช่หรือ แล้วนี่มันอะไรกัน แม้แต่หญิงสาวผู้นั้นยังได้รับความช่วยเหลือเลย นี่คือวิธีการลงมือของพวกเขาลงมือหรืออย่างไร’
ร่างกายของหนานกงเช่อเย็นยะเยือก เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เมื่อเฟิงซั่วมองข้อมือของหนิงเมิ่งเหยาและใบหน้าอันซีดเซียวของนางแล้ว ใบหน้าอันสุขุม รวมถึงรอยยิ้มของเขาก็จางหายไป ก่อนจะแสดงท่าทีเย็นชาขึ้น
เฉียวเทียนช่างเผลอขมวดคิ้วกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอดไม่ได้
“การที่หนิงเมิ่งเหยายังสบายดีอยู่ในตอนนี้ ทำให้เจ้ารู้สึกผิดหวังเช่นนั้นหรือ” เฉียวเทียนช่างมองดวงตาเบิกกว้างของบัณฑิต ขณะที่หนานกงเช่อแสดงท่าทีไม่อยากเชื่อกับคำถามเหน็บแนมของชายหนุ่ม
“เป็นไปได้เช่นไรกัน”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า ข้าพูดได้แค่ว่าว่าพวกเจ้าคิดจะเล่นงานภรรยาของข้าจริงๆ ถึงขั้นนำกู่พิษสองตัวมาให้ หนำซ้ำยังเอาตัวองครักษ์ทุกคนของข้าออกจากจวนอีกต่างหาก” เฉียวเทียนช่างจ้องมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเย็นชา
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ยังสบายดีอยู่หรือไม่
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง โอกาสสุดท้ายของเขาถูกทำลายลง ตอนนี้ ชีวิตเขาต้องจบสิ้นเสียแล้ว
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นสีหน้าของบัณฑิต จึงเอ่ยขึ้น “ชวี่เฟิง ให้ข้าจัดการคนๆ นี้เถอะ”
เขาคือคนเลี้ยงกู่พิษมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้น เฉียวเทียนช่างก็อยากให้อีกฝ่ายถูกพวกมันกลืนกินให้สิ้นชีพไป เขาถึงจะหายโกรธเคืองได้
เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเทียนช่าง แม้จะอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ผงกศีรษะ “ได้เลย”
เมื่อหนานกงเช่อเห็นว่าหนึ่งประโยคนั้นสามารถตัดสินชะตาชีวิตของบัณฑิตได้ เขาก็รู้สึกกังวลใจ ก่อนที่เฉียวเทียนช่าง และคนอื่นๆ จะพูดอะไรเขาก็ตะโกนออมา“ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิง พวกเจ้าอย่ามาแตะตัวข้า”
ร่างกายของหนานกงเยว่แข็งเกร็งขณะมองท่าทีของพี่ชายคนโต นางหวังว่าตนเองจะไม่มีพี่ชายคนนี้ มันช่างน่าอับอายเสียจริงแม้ว่าหนานกงเช่อจะไม่พูดเช่นนั้น เซียวชวี่เฟิงก็คงไม่ทำอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาพูดออกไปแล้ว มันยิ่งทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาช่างเป็นคนใจเสาะสิ้นดี
หนานกงเยว่ลูบศีรษะของตนเอง พลางคิดว่าวันนี้เป็นวันที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของนาง
เซียวชวี่เฟิงมองหนานกงเช่อ “อย่ากังวลเลย ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก นอกจากต้องการให้เมืองหลิงอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังก็เท่านั้น”
“ข้าหวังว่าเมืองหลิงจะมีคำอธิบายให้ทงเป่าไจด้วยเช่นกัน หากฟังแล้วไม่น่าพอใจ พวกเราก็พร้อมจะประจันหน้ากับท่านอย่างแน่นอน” เฉียวเทียนช่างเอ่ยอย่างแผ่วเบา
คำพูดของเซียวชวี่เฟิงทำให้หนานกงเยว่หน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ทว่าตอนนี้ใบหน้านั้นกลับถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า
‘ใช่ พวกเขาประเมินหนิงเมิ่งเหยาต่ำเกินไป พวกเขาไม่ได้คิดเผื่อไว้เลยหรือว่า หากแผนการที่พวกเขาคิดมันล้มเหลว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง’
หากพวกเขาควบคุมตัวหนิงเมิ่งเหยาได้ดั่งใจ ก็คงจะดี แต่ผลที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ใช่
นอกจากนางจะไม่ถูกควบคุมแล้ว นางยังได้รับการช่วยเหลือไว้ได้แม้แต่กู่พิษก็ถูกนำออกไปแล้วตอนนี้เมืองหลิงต้องเผชิญกับความกดดันจากทั้งเมืองเซียวและทงเป่าไจ
เมืองหลิงมิได้หวั่นเกรงเมืองๆ หนึ่งเท่าไรนัก แต่การมีปัญหากับทงเป่าไจนั้นไม่เหมือนกัน เพราะหนิงเมิ่งเหยาสามารถใช้อำนาจในมือทำให้เศรษฐกิจของพวกเขาชะงักได้เลย หากนางต้องการ
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวนั้นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้หนานกงเยว่รู้สึกสิ้นหวัง แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังก็คือแม้แต่เฟิงซั่วก็ยังเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
“แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย ข้าจะรอฟังคำอธิบายจากเจ้า มิเช่นนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจหากจะต้องนำม้าหุ้มเกราะเข้าสู่การเจรจาในครั้งนี้ด้วย” เฟิงซั่วพูดอย่างนอบน้อม แต่ภายใต้ความสุภาพนั้นมีความเย็นชาแฝงอยู่ ทำให้หนานกงเยว่สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หนานกงเยว่มองเฟิงซั่ว ‘เหตุใดเขาต้องเข้ามาเกี่ยวด้วยเล่า’
บทที่ 312 น้องสาวขององค์รัชทายาท
เฟิงซั่วมองหนานกงเยว่ “ข้าหมายความเช่นไรน่ะหรือ สิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อคือ หากเมืองหลิงไม่มีคำอธิบายที่ดี เมืองเฟิงของข้าก็จะส่งกองทัพไปยังเมืองหลิงนั่นเอง”
ดวงตาของหนานกงเยว่เบิกกว้างขณะมองเฟิงซั่วอย่างไม่อยากเชื่อ นางขบฟันแน่นกรอด ”หนิงเมิ่งเหยาไม่เกี่ยวข้องกับเมืองเฟิงสักหน่อย”
“ไม่เกี่ยวหรือ เจ้าคิดไปเองทั้งสิ้น” ‘พวกเขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้เช่นไรกัน’
เฟิงซั่วมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยแววตารักใคร่และห่วงใย
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วและมองเขา “เจ้าเป็นใครกัน”
“ฮะๆ หญิงสาวผู้นี้คงจะเล่าเรื่องข้าให้เจ้าฟังบ้างแล้ว แต่อาจจะใช้นามแฝงของข้า อวี้เฟิงและคนอื่นๆ ต่างรู้จักตัวตนของข้าดี มีเพียงนางผู้ซื่อบื้อคนนี้เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าข้าคือใคร” แววตาของเฟิงซั่วเผยให้เห็นความหลงใหลขณะพูด แต่เมื่อเขาเห็นชายผู้นี้กำลังกอดหญิงสาว ดวงตาของเขาก็ดูหดหู่ในทันที
เฉียวเทียนช่างครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่อาจนึกชื่อพิเศษใดๆ ออกเลย
“ไว้พูดเรื่องนี้กันตอนนางตื่นเถอะ” ชายหนุ่มใคร่ครวญ ก่อนจะตัดสินใจ
เฟิงซั่วไม่คัดค้าน ก่อนจะหันมองหนานกงเยว่
“หนานกงเยว่ ข้าควรจะพูดไหม ว่าท่านคือองค์รัชทายาทที่แท้จริงของเมืองหลิง”
สีหน้าของหนานกงเยว่เปลี่ยนไป “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร”
“ไม่รู้เลยเช่นนั้นหรือ การใช้โอสถลับนั้นมันช่างเจ็บปวดใช่หรือไม่ ท่านไม่อึดอัดหรือที่ต้องขยับร่างกายตามท่วงท่าของหญิงสาวน่ะ”
หนานกงเยว่เงียบ ก่อนมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ไม่มีเรื่องไหนที่ข้าไม่รู้ นอกจากนี้ ข้ายังรู้อีกว่าบัณฑิตผู้นี้รับใช้เจ้า มิใช่หนานกงเช่อ เจ้าเพียงแต่งตั้งให้เขาอยู่ข้างๆ หนานกงเช่อเพื่อคอยสอดส่องเขาเท่านั้น”
หนานกงเช่อมองน้องสาวผู้งดงามของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ ‘นางเป็นผู้ชายจริงๆ หรือนี่ นางคือองค์รัชทายาทที่แท้จริงของเมืองหลิงเช่นนั้นหรือ’
หนานกงเยว่มองผู้เป็นพี่อย่างดูหมิ่น หากมิใช่เพราะความทะเยอทะยานของเขา เรื่องนี้คงไม่ถูกเปิดเผย เพราะหนานกงเช่อเพียงคนเดียวทำให้แผนการของพวกเขายุ่งเหยิง
“ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้เช่นไร” เมื่ออีกฝ่ายพูดขนาดนี้ หนานกงเยว่จึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป จากนั้นนางจึงหยิบถุงผ้าไหมมาจากลำคอ ก่อนจะใส่โอสถนั้นเข้าไปในปาก
ประมาณจิบชาครึ่งถ้วย ผู้คนต่างได้ยินเสียงแตกหักของกระดูก ขณะเดียวกัน ร่างกายของหนานกงเยว่ที่สูงเพียง 5 ฉื่อ ก็ยืดยาวขึ้นเกือบ 6 ฉื่อ รวมถึงใบหน้าอันงดงามก็เปลี่ยนไปจนดูเยือกเย็นและขึงขัง
หลังจากหมุนคอเพื่อคลายเส้น หนานกงเยว่ก็ไม่สนใจชุดที่ตนกำลังสวมใส่อยู่ขณะนั้น “เสื้อผ้าเช่นนี้ยังคงสบายกว่าอยู่ดี”
หนานกงเยว่ในร่างผู้หญิงนั้นมีเสียงหวานไพเราะ แต่ตอนนี้เสียงนั้นกลับมีความแหบห้าวเล็กน้อย
หนานกงเช่อมองดูหนานกงเยว่ ‘ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงปฏิบัติกับเขาในร่างผู้หญิงอย่างดี และไม่สงสัยเลยว่าทำไมเสด็จพ่อจึงไม่ลงโทษเขาแม้ว่าจะทำผิดเพียงใด ขอเพียงแค่หนานกงเยว่อ้อนวอนเสด็จพ่อของเขาเท่านั้น หนานกงเช่อคิดอยู่เสมอว่าเสด็จพ่อของตนมักจะตามใจเขา แต่เขาเพิ่งจะรู้ตอนนี้เอง ว่าคนที่เมืองหลิงเอาอกเอาใจนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นหนานกงเยว่ต่างหาก’
“หนานกงเยว่ เจ้าเป็นนักวางแผนชั้นดีจริงๆ” เขาถูกหลอกใช้งานอย่างจัง
มุมปากของหนานกงเยว่ยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน “ใครใช้ให้เจ้าโง่เง่าเพียงนี้เล่า” หากเมืองหลิงตกอยู่ในกำมือของหนานกงเช่อ พวกเขาคงต้องกังวลใจอย่างยิ่ง
เมื่อเซียวชวี่เฟิงเห็นว่าเมืองหลิงช่างมีความสามารถอย่างมาก ท่าทีของเขาก็ถมึงทึงขึ้น หากวันนี้ เฟิงซั่วไม่เปิดโปงเรื่องดังกล่าว เขาก็ไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้จะปิดบังได้อีกนานเพียงใด และไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะหลงกลเมืองหลิงอีกนานแค่ไหน
หนานกงเยว่กอดอกพลางมองหน้าเฟิงซั่ว “ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” พวกเขาปกปิดเรื่องนี้มาเป็นเวลาสิบปี และตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็จะแอบทำเรื่องนี้อย่างลับๆ เสมอ เพื่อไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเฟิงซั่วจะรู้เรื่องนี้เข้า หนานกงเยว่พูดได้เต็มปากเลยว่าชายผู้นี้คือองค์รัชทายาทแห่งเมืองเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
เฟิงซั่วมองหนานกงเยว่ “มีข้อผิดพลาดมากมายนัก”
“หา ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองเซียว องค์หญิงแห่งเมืองหลิงหายตัวไปช่วงหนึ่ง และในรถม้าขององค์หญิงก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งนั่งอยู่ ฉะนั้น ผู้ที่ปรากฏตัวในเมืองเซียวในเวลานั้นก็คงจะเป็นท่านหนานกงเยว่ใช่ไหม และในตอนนั้นเอง ท่านก็ทำให้หนานกงเช่อหมดสติไปเป็นเวลานานทีเดียว” เฟิงซั่วอธิบายอย่างใจเย็น
ในตอนแรกที่เขารู้ข่าว เขาก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าร่างกายผู้ชายจะกลายเป็นผู้หญิงได้ เรื่องแบบนี้มันเหลือเชื่อเกินไป