สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ โดย ProjectZyphon

เพิ่งจะออกจากภูเขาชำระจิต หลินสวินพลันพบว่ามีคนรออยู่ก่อนแล้ว

สืออวี่ที่ท่วงท่างามสง่าในชุดขาวทั้งตัว หนิงเหมิงที่ดิบเถื่อนเด็ดเดี่ยว สูงใหญ่ราวกับหอเหล็ก รวมทั้งกงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็อยู่ด้วย

“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ” หลินสวินอึ้ง

“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พี่ๆ ก็แค่ไปเป็นเพื่อน จะให้ใครมาหยามเราไม่ได้เด็ดขาด!” สืออวี่ยิ้มพูด

“ใช่ ตอนนี้ในนครต้องห้ามลือกันหึ่งว่าเจ้าไปหาเรื่องตระกูลซ่งและตระกูลฮวา ศัตรูรอบด้าน โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง เฮอะ นี่มันหยามหน้าพวกเราพี่น้องชัดๆ”

หนิงเหมิงพูดอย่างไม่พอใจ

หลินสวินรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจ การที่สืออวี่และหนิงเหมิงออกตัวเข้าข้างเขาในสถานการณ์แบบนี้ ถือว่าต้องใช้ความกล้าอย่างมาก

“แฮะๆ ส่วนพวกเราแค่อยากมาร่วมสนุก” เย่เสี่ยวชีพูด

“อื้ม” กงหมิงพยักหน้าร้องรับเย่เสี่ยวชี

นี่ก็คือวิธีการคบหากันในแบบของผู้ชาย คำพูดที่เหมือนหยอกเล่นกัน แต่กลับแสดงถึงท่าทีบางอย่างภายในใจ

ความจริงเรื่องนี้ถือว่าเหนือความคาดหมายของหลินสวิน เพราะตอนที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด เขากับเย่เสี่ยวชีและกงหมิงก็เพียงแค่รู้จักกันแบบผิวเผิน ถึงขนาดเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะสนับสนุนตัวเองด้วยวิธีแบบนี้

หลินสวินหัวเราะเสียงดัง “พวกเจ้า…ว่างกันจริง”

“หยุดร่ำไรกันได้แล้ว ไป รีบไปที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์กัน” หนิงเหมิงเริ่มหมดความอดทน พลันแผดเสียงขึ้น

ทุกคนจึงขึ้นเกี้ยวสมบัติและมุ่งหน้าออกไป

“หลินสวินมีเรื่องหนึ่งที่เจ้าควรจะรู้เอาไว้”

ภายในเกี้ยวสมบัติ สืออวี่เจาะจงเอ่ยกับหลินสวินด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้า หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีตัดสินใจแล้วว่า จะใช้อำนาจบางส่วนของตระกูลตัวเองช่วยเจ้าแก้ปัญหาบางอย่างลับๆ”

สืออวี่อธิบายโดยไม่เปิดโอกาสให้หลินสวินได้มีโอกาสโต้ตอบ “ตอนนี้พวกข้ารู้แล้วว่า หากเจ้าต้องการนั่งบนตำแหน่งสูงสุดของภูเขาชำระจิตอย่างมั่นคง ก็ต้องกำจัดหนอนบ่อนไส้ให้ได้เสียก่อน ซึ่งหนอนบ่อนไส้ที่ว่านี้ก็คือขุมอำนาจของธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ และแสงอุดร ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่”

“ถ้าคิดจะสู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้าคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากสำหรับเรา แต่ถ้าแอบสร้างปัญหาให้พวกเขาลับหลัง กลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”

“อย่างตระกูลหลินแห่งธารประจิมที่มีกิจการห้าสิบกว่าแห่งในนครต้องห้าม แม้ขอบเขตจะไม่กว้างมาก แต่ก็เป็นแหล่งรายได้ที่ทำให้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมดำรงอยู่ได้ พวกเราสามารถใช้อำนาจของแต่ละตระกูลกดดันกิจการของตระกูลหลินแห่งธารประจิมได้อย่างแน่นอน!”

“เช่นเดียวกัน จะเล่นงานอำนาจของอีกสามตระกูลรองที่เหลือ ก็ใช้วิธีเดียวกัน”

สืออวี่อมยิ้มพูด “นี่ถือเป็นสงครามทางการค้าที่สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงให้กับอำนาจอิทธิพลพวกนั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง!”

“ผู้ฝึกปราณธรรมดาคนหนึ่ง หากไม่มีทรัพยากรคอยสนับสนุนย่อมไม่สามารถฝึกปราณได้ แล้วนับประสาอะไรกับขุมอำนาจที่สูญเสียการสนับสนุนด้านกำลังทรัพย์มหาศาล”

“สามารถจินตนาการได้ว่า หากแผนนี้สำเร็จ จะต้องสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงกับขุมอำนาจเหล่านั้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสทองของเจ้า เจ้าสามารถรวบอำนาจของพวกเขาได้รวดเร็วขึ้น!”

ฟังจบหลินสวินพลันรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา เขาเดาได้เลยว่านี่ต้องเป็นแผนของสืออวี่ มีเพียงสืออวี่เท่านั้นที่คิดวิธีเจ้าเล่ห์และเหี้ยมเกรียมขนาดนี้ได้

คิดดูแล้ว ถ้าสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีใช้อำนาจเบื้องหลังของแต่ละคนลงมือโดยพร้อมเพรียงกัน พลังทำลายล้างนั่นต้องน่ากลัวมากแน่!

เพราะอย่างไรตอนนี้อำนาจของตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ก็พอจะฝืนเป็นได้แค่ตระกูลทรงอิทธิพลระดับล่าง จะเอาอะไรไปสู้กับขุมอำนาจใหญ่ที่มีทรัพย์มากล้นเหลืออย่างอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลกงรวมทั้งตระกูลเย่

ต่อให้อำนาจที่พวกสืออวี่สามารถนำมาใช้ได้จะมีเพียงเศษเสี้ยว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ระทมทุกข์ปวดหัวได้แล้ว!

“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” สืออวี่ถามหลินสวิน

เขาต้องการยืนยันท่าทีของหลินสวิน เพราะถึงอย่างไรเขากับพวกหนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็เป็นคนนอก ถ้าจะแทรกแซงเรื่องของตระกูลหลินโดยพลการก็เห็นจะเกินไป

“รอให้การประลองครั้งนี้จบลงก่อนค่อยตัดสินใจเรื่องนี้เถอะ” หลินสวินตอบเสียงขรึม

“ก็ดีเหมือนกัน” สืออวี่พยักหน้า

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเขาเป็นหลินสวินก็ต้องรอบคอบไม่ต่างกัน

“จริงสิ การประลองระหว่างเจ้ากับฮวาอู๋โยวในครั้งนี้เป็นที่จับตามองของผู้คนทั่วทั้งนครต้องห้าม อาจมีคนใหญ่คนโตมากมายมาชมการประลองถึงสังเวียนสวรรค์ยุทธ์”

สืออวี่พลันเอ่ยเตือน

หลินสวินรับคำในลำคอ ก่อนระบายยิ้มพูด “ฮวาอู๋โยวผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ครั้งนี้หากข้าแพ้ คนทั้งนครต้องห้ามก็จะรู้โดยทั่วกันทันทีอย่างนั้นสินะ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก จะเรียกว่าชื่อเสียงพังพินาศก็ไม่เกินไป”

สืออวี่เองก็ยิ้มเช่นกัน “เพราะฉะนั้นเจ้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด หากเจ้าแพ้ พวกข้าที่มากับเจ้าคงจะถูกหัวเราะเยาะไปด้วย”

“หัวเราะเยาะพวกเจ้าทำไม?” หลินสวินฉงน

“หัวเราะเยาะที่เราไม่ระวังเรื่องการคบเพื่อน มีพวกสมองหมูอยู่ในกลุ่ม”

สืออวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม

หลินสวินกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตอกกลับไปตรงๆ “ไสหัวไป”

……

ณ สังเวียนสวรรค์ยุทธ์

เล่าลือว่าที่แห่งนี้เป็นสนามรบมาตั้งแต่อดีตกาล มีดวงวิญญาณวีรบุรุษมากมายที่ต้องสังเวยชีวิตที่นี่ ต่อมาภายใต้คำสั่งเมื่อครั้งสร้างอาณาจักรของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า จึงได้ปรับปรุงที่นี่ให้เป็นสนามประลองยุทธ์ขนาดใหญ่

ตอนนี้ผู้คนแออัดไปทั่วทั้งสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ที่นั่งหนึ่งแสนที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ดูคึกคักเป็นอย่างมาก

ส่วนห้องรับรองชั้นสองและสามของหอที่อยู่รอบๆ สนามประลอง ก็ถูกผู้มีหน้ามีตาในนครต้องห้ามจับจองครองไปหมดนานแล้ว

เรียกได้ว่าการประลองของหลินสวินและฮวาอู๋โยวครั้งนี้ เป็นที่จับตาของคนทั้งนครตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยเชียว!

ไม่ใช่เพราะทั้งสองมีหน้ามีตาอะไร แต่เพราะฐานะของทั้งสองต่างไม่ธรรมดา

คนหนึ่งเป็นถึงลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด มีชื่อเสียงในเรือนยุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต และความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้อยู่ในร้อยอันดับแรกในบรรดาลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลรุ่นเยาว์

ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นทายาทของตระกูลหลิน แม้ตระกูลหลินจะล่มจมไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เคยรุ่งเรืองมาก่อน โดยเฉพาะ ‘หลินเต้าเฉิน’ ยิ่งเป็นถึงบุคคลระดับตำนาน

ในฐานะทายาทสายตรงของหลินเต้าเฉิง หลินสวินในวัยสิบห้ากลับกล้าล่วงเกินลูกหลานตระกูลซ่งและฮวา สองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ไม่อยากเป็นจุดสนใจยังยาก

การปรากฏตัวของหลินสวิน ควรค่าแก่การจับตามองอย่างยิ่งสำหรับคนใหญ่คนโตที่รู้เรื่องลับบางอย่างภายในตระกูลหลิน

เพราะชาติกำเนิดของเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเกี่ยวโยงไปถึงความลับอันสะเทือนโลกมากมาย

และตอนนี้หลินสวินได้หวนคืนสู่นครต้องห้ามอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์อันตรายไร้ที่พึ่ง ยังกล้ามีเรื่องกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่งและฮวา นี่ช่างแข็งกร้าวและผิดปกติอย่างยิ่ง

อย่างตระกูลฉือที่เคยลงมือลอบสังหารหลินสวินก็สนใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เหตุใดหลินสวิน…ถึงกล้ากำเริบเสิบสานเพียงนี้?

เบื้องหลังเขามีบุคคลลึกลับยิ่งใหญ่มากน้อยเพียงใดคอยหนุนหลังอยู่กันแน่?

มุมมองที่ต่างกัน ทำให้มองเห็นปัญหาต่างกัน

ก็เหมือนกับตอนนี้ ที่ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในสนามล้วนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ สิ่งที่พวกเขาสนใจจริงๆ คือการประลองระหว่างหลินสวินกับฮวาอู๋โยว

“ช่างเป็นภาพที่โอ่อ่ายิ่งใหญ่นัก ใครจะคิดว่าเพียงการประลองระหว่างฮวาอู๋โยวกับหลินสวิน ก็สามารถทำให้สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ครึกครื้นได้ขนาดนี้?”

“ใช่ เห็นได้ว่าหลินสวินคนนี้สร้างความฮือฮาได้มากเพียงใด กล้าหาเรื่องตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลซ่งและตระกูลฮวา ช่างใจกล้าจริงๆ”

“เฮ้อ ถ้าครั้งนี้หลินสวินไม่มาตามคำท้า นั่นก็เท่ากับว่าทำให้ทุกคนผิดหวังมาก”

“ไม่หรอก! มีข่าวออกมาว่าวันนี้หลินสวินต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน พวกเราก็รอดูความคึกครื้นได้เลย”

“แฮะๆ ว่าไปแล้วดูเหมือนหลินสวินคนนี้จะไม่กลัวตายเลยจริงๆ ฮวาอู๋โยวเป็นถึงนางยักษ์ผู้มีชื่อเสียง หลินสวินมาคราวนี้ ไม่ตายก็คงพิการ”

“จริงอย่างว่า ฮวาอู๋โยวแข็งแกร่งมาก ความหวังที่หลินสวินจะเอาชนะนางเห็นจะริบหรี่”

บริเวณโดยรอบสนามประลองเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่ง กึกก้องไปทั่ว

คนส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยกับการกระทำของหลินสวิน คิดว่าไม่ว่าพรสวรรค์ของเขาจะโดดเด่นเพียงใดแต่ก็เพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ยังห่างชั้นจากฮวาอู๋โยวไปอีกหนึ่งขั้นเต็มๆ อย่างไรก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งยังมีคนโต้ ด้วยคิดว่าที่หลินสวินกล้ามาตามคำท้า ย่อมต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่แน่

เพียงแต่ผู้ฝึกปราณที่คิดเช่นนี้ถือว่าน้อยมาก

“ฮ่าๆๆ เห็นหรือยัง ผู้คนส่วนใหญ่ในสนามต่างไม่คาดหวังกับเจ้าเด็กหลินสวินนี่ หากเขากล้ามาตามคำท้า แม้แต่ข้ายังต้องนับถือความกล้าของเขา”

หลินเทียนหลงหัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมหัวเราะลั่นอยู่ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง

“หากเขาไม่มา ย่อมถูกผู้คนทั้งนครต้องห้ามหัวเราะเยาะ กลายเป็นตัวตลกอย่างถึงที่สุด ต่อไปคงยากจะเชิดหน้าได้อีก เพราะฉะนั้นแม้รู้ว่าต้องแพ้ เขาก็ต้องมาแน่”

หลินเนี่ยนซานกล่าวอย่างเป็นกังวล “สิ่งที่ข้าสงสัยคือ ด้วยนิสัยของฮวาอู๋โยว นางจะสังหารหลินสวินให้ตายคาสนามหรือไม่”

“หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หากหลินสวินตาย เรื่องที่พวกเราจะกลับไปครองอำนาจบนภูเขาชำระจิตก็เป็นอันคว้าน้ำเหลว” หลินผิงตู้ขมวดคิ้ว

“จริงอย่างว่า ให้ดีที่สุดคือเอาแค่พิการเป็นพอ หากหลินสวินถูกฆ่าจริงๆ เห็นจะมากไป หวังเพียงว่าฮวาอู๋โยวจะเมตตาไว้ชีวิตหลินสวิน” หลินเทียนหลงหนักใจ

ในขณะนี้เอง ภายในสนามพลันเกิดเสียงร้องต้อนรับดังสนั่น ดึงดูดสายตาของคนทั้งสนามในทันที

พลันเห็นว่าบนลานประลองขนาดใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่กลางสนามมีร่างอันงดงามร่างหนึ่งก้าวเข้ามา

ใบหน้ารูปหยกสดสวย สีหน้ากลับเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ระหว่างเยื้องย่างก็แผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งน่าเกรงขามเฉพาะตัว ราวกับหงส์ไฟผู้เย่อหยิ่งที่ทะยานผ่านภูเขาลำธาร

ฮวาอู๋โยว!

เสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งสนาม ทุกสายตาต่างรวมกันที่ฮวาอู๋โยว มีทั้งคนที่ตะลึง คนที่หวาดเกรง คนที่อิจฉาและคนที่เลื่อมใสนับถือ

ฮวาอู๋โยวราวกับไม่สะทกสะท้านกับทั้งหมดนี้ นางยืนเด่นอยู่บนลานประลอง ชุดแดงดุจเปลวเพลิง เส้นผมพลิ้วไปตามสายลม สง่างามหาใดเปรียบ

คนบางพวกเพียงเห็นแวบแรกก็รู้ว่าต้องไม่ธรรมดา เหมือนอย่างฮวาอู๋โยวที่เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าหญิงคนหนึ่ง

นางมีทรัพย์สินมากพอให้เย่อหยิ่ง ทั้งยังมีภูมิหลังอันน่าสะพรึงกลัว บุคคลระดับนี้ต่อให้ไม่อยากเป็นจุดสนใจยังยาก

พอฮวาอู๋โยวมาถึงบรรยากาศก็ยังคึกคัก คนจำนวนมากต่างอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ฮวาอู๋โยวมาแล้ว แล้วเมื่อไหร่หลินสวินนั่นจะปรากฏตัว

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด พลันเห็นเงาร่างงามชะลูดเดียวดายร่างหนึ่งปรากฏตัวข้างลานประลองอีกด้านตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ กำลังก้าวเดินขึ้นลานประลอง