ตอนที่ 224 ท่านเย่เริ่มบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 224 ท่านเย่เริ่มบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว

‘เอ๊ะ ? ’

‘แหวนเก็บสมบัติ ? ’

‘แหวนเก็บสมบัติงั้นหรือ ? ’

เย่ฉางชิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ความง่วงมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ก็มีแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งวางอยู่ข้างหมอน

ก่อนจะขยี้ตาเบา ๆ แล้วก็ต้องเบิกโพลงขึ้น

เมื่อพบว่าแหวนเก็บสมบัติข้างหมอนวงนั้นเป็นของจริงมิใช่ภาพลวงตา

‘นี่ ! ’

‘นี่มิใช่ความฝัน ! ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘นี่เป็นแหวนเก็บสมบัติจริง ๆ ! ’

เมื่อได้สติเย่ฉางชิงก็ลุกขึ้นจากที่นอนในทันที

‘แหวนเก็บสมบัติวงนี้… หรือว่าเมื่อคืนแม่นางชิงเสวี่ยจะจากไปแล้ว ? ’

‘มิน่าจะใช่ นางยังมิเข้าใจเพลงฮั่วฟานทั้งหมดเลยนี่นาง

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นแล้วก็รีบสวมเสื้อคลุม และเดินตรงออกไปนอกห้องทันที

“แม่นางชิงเสวี่ย…”

เย่ฉางชิงกำลังจะเอ่ยปากเรียก ทว่ากลับพบถานไถชิงเสวี่ยสวมเสื้อขนสัตว์สีขาวตัวหนากำลังกวาดหิมะในลานบ้านอยู่

“ท่านเย่”

ถานไถชิงเสวี่ยจึงหยุดการกระทำลงกะทันหัน

นางเงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิง พร้อมรอยยิ้มหวาน “เมื่อคืนหิมะตกอีกแล้วเจ้าค่ะ ข้าจึงออกมากวาดหิมะภายในลาน ตั้งแต่ตื่นนอนแล้วเจ้าค่ะ”

“จริงสิ ท่านเย่เรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ”

ด้วยความสนใจในจิตใจอันบริสุทธิ์ของเย่ฉางชิง

ช่วงที่ผ่านมาถานไถชิงเสวี่ยนอกจากจะทำความเข้าใจในวิถีดนตรีแล้ว ยังได้ลองทำความเข้าใจจิตใจอันบริสุทธิ์นี้อีกด้วย

นางสังเกตว่าเย่ฉางชิงมักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มิได้ใช้พลังปราณใด ๆ

ทำให้เดี๋ยวนี้นางจะมักจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แทบจะมิใช้พลังใด ๆ เลย

เพราะด้วยตบะบารมีของนาง เพียงแค่ใช้พลังเล็กน้อยก็สามารถเก็บกวาดหิมะภายในลานนี้ได้จนหมดแล้ว

“มิมีอะไร”

เย่ฉางชิงโบกมือปฏิเสธถานไถชิงเสวี่ย ก่อนจะเหลือบเห็นราชันทมิฬและถูสือซานที่นอนหมอบอยู่ใต้ชายคาโดยบังเอิญ

หรือว่าแหวนเทพเก็บสมบัติวงนั้น ราชันทมิฬจะเป็นคนนำมันกลับมา ? ’

เย่ฉางชิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ

จากนั้นเย่ฉางชิงก็ได้หมุนตัวกลับเข้าไปภายในห้อง

เขาล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งลงหน้าโต๊ะแล้วเริ่มสำรวจแหวนเก็บสมบัติ ที่โผล่มาแบบมิมีปี่มีขลุ่ย

จนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป

ขณะที่เย่ฉางชิงลองเพ่งสมาธิ เพื่อดูที่เก็บของภายในของแหวนเก็บสมบัตินั้น

วินาทีต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

สำเร็จแล้ว !

เขาทำสำเร็จแล้ว !

อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นจนเก็บอาการมิอยู่ก็คือ

แม้ช่องเก็บของภายในแหวนเก็บสมบัติวงนี้ จะเล็กกว่าแหวนเก็บสมบัติที่เยี่ยนปิงซินมอบให้เขาอยู่มากโข

เพราะช่องวางของแหวนเก็บสมบัติวงนี้ มีขนาดกว้างเท่ากับมุมหนึ่งของห้องเท่านั้น ส่วนแหวนเก็บสมบัติที่เยี่ยนปิงซินมอบให้เขา กลับกว้างใหญ่ราวกับเป็นโลกอีกโลกหนึ่งก็ว่าได้

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อก็คือ

ภายในแหวนเก็บสมบัติวงนี้กลับเต็มไปด้วยหินหุนหยวนมากมาย ที่กองรวมกันราวกับภูเขาลูกเล็ก ๆ

ใช่แล้ว !

เป็นหินหุนหยวน !

หินหุนหยวนแต่ละก้อนมีขนาดเท่ากำปั้นเด็ก !

หมายความว่านับแต่บัดนี้ไป เขาก็จะสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว

อีกทั้งหินหุนหยวนมากมายเพียงนี้ คาดว่าคงเพียงพอที่เขาจะใช้ในบำเพ็ญเพียรได้หนึ่งถึงสองปีเลยทีเดียว

สำหรับเย่ฉางชิงที่เฝ้าปรารถนาที่จะได้บำเพ็ญเพียรมาตลอดนั้น แหวนเก็บสมบัติวงนี้ย่อมมีความหมายต่อเขาอย่างมาก

มินานเย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ

ก่อนที่หินหุนหยวนสีดำสนิททั้งก้อนก็ปรากฏสู่สายตา

“สวรรค์ช่างเมตตาข้าเย่ฉางชิงจริง ๆ มีหินหุนหยวนมากมายเพียงนี้ ข้าก็จะสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว”

เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส

ตอนนั้นเองราชันทมิฬก็ได้แบกถูสือซานที่แปลงร่างเป็นร่างเดิม มุดเข้ามาตามช่องประตูอย่างระมัดระวัง

เมื่อเข้าไปใกล้ถูสือซานที่แปลงเป็นร่างเดิมก็ได้กระโดดลงจากหลังของราชันทมิฬ จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเย่ฉางชิง แล้วใช้ศีรษะถูที่อกของเย่ฉางชิงอย่างออดอ้อน เพื่อแสดงความคิดถึงที่มีต่อเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงที่กำลังมีความสุข จ้องมองดวงตาเปล่งประกายของราชันทมิฬ มือข้างหนึ่งกอดจิ้งจอกน้อยเอาไว้แนบอก ส่วนอีกข้างก็ได้ยื่นออกไปลูบเบา ๆ ที่หัวของราชันทมิฬ

“ราชันทมิฬ ครานี้เจ้าจากเมืองเสี่ยวฉือไปเกือบหนึ่งเดือนแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“เมื่อเจ้ากลับมาแหวนเก็บสมบัติวงนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นข้างหมอนของข้า หากข้าเดามิผิดล่ะก็ เจ้าเป็นคนนำแหวนเก็บสมบัติวงนี้กลับมาใช่หรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นขณะมองราชันทมิฬ

ตอนนั้นเองราชันทมิฬที่ฉีกยิ้มจนเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับเบา ๆ

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้น ด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี

‘ราชันทมิฬพยักหน้าเช่นนี้ หมายความราชันทมิฬฟังสิ่งที่เราพูดรู้เรื่องงั้นหรือ’

‘เช่นนี้แล้วก็เท่ากับเป็นการยืนยันในสิ่งที่เราคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้น่ะสิ’

‘ราชันทมิฬเป็นสัตว์เทพที่มีพรสวรรค์จริง ๆ ’

‘เยี่ยม ! ’

‘เยี่ยมไปเลย ! ’

‘หากราชันทมิฬเป็นสัตว์เทพที่มีอิทธิฤทธิ์ในการค้นหาสมบัติจริง ๆ เช่นนั้นต่อไปก็สามารถให้ราชันทมิฬช่วยเราหาของที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรได้แล้ว’

“ราชันทมิฬ ครานี้เจ้าทำได้ดีมาก”

เย่ฉางชิงลูบไปที่หัวของราชันทมิฬ พร้อมรอยยิ้มปลาบปลื้ม “แต่ตอนนี้ข้าจะเริ่มบำเพ็ญเพียรแล้ว และหลังจากข้าบำเพ็ญเพียรเสร็จ วันนี้ข้าจะย่างเนื้อเสือดำให้เจ้ากินสักชิ้น”

ทันทีที่สิ้นเสียงราชันทมิฬที่กำลังดีใจจนปากจะฉีกถึงรูหู ก็นิ่งค้างไปราวกับโดนสาป

‘เนื้อเสือดำ ! ’

‘นั่นเป็นกายเนื้อของจ้าวปีศาจเชียวนะ ! ’

‘เยี่ยงข้าที่มีตบะบารมีเป็นเพียงจักรพรรดิปีศาจเท่านั้น จะรับปราณชีวิตที่รุนแรงเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน’

ยิ่งมิต้องพูดถึงเรื่องที่ครั้งก่อนเขาได้ชิมจนเกือบตายมาแล้ว ทำให้เวลานี้เพียงราชันทมิฬได้ยินคำว่าเนื้อเสือดำ ก็ถึงกับชาวาบไปทั้งตัวอย่างห้ามมิได้

เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของราชันทมิฬ

เย่ฉางชิงก็ตะลึงงัน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างระอา

‘ราชันทมิฬผู้นี้จะเยี่ยงไรก็ยังขี้ขลาดเหมือนเดิม’

‘แค่เนื้อเสือดำชิ้นเดียวก็ตกใจถึงเพียงนี้เชียว ? ’

เย่ฉางชิงทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ภายใน

จากนั้นเย่ฉางชิงก็มิได้ใส่ใจราชันทมิฬอีก เขาลุกขึ้นเดินมายังเตียง ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ

“ชีวิตล่องลอย อิสระจากฟ้าดิน ไร้เริ่มต้นไร้สิ้นสุด มิแตกมิดับ”

“ดาวไถไหลเวียน เคลื่อนย้ายหยินหยาง หมุนวนแปดทิศ สี่ธาตุหันไปทางตะวันออก”

“ฟ้าดินประสาน สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง มีเกิดมีดับ หมุนไปมิสิ้นสุด”

“กำเนิดในสี่ฤดู ตั้งมั่นทั้งกลางวันและกลางคืน แก่นแท้เป็นรูปธรรม วิญญาณคือการเปลี่ยนแปลง…”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็หยิบหินหุนหยวนก้อนหนึ่งวางเอาไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็ท่องเคล็ดวิชาไร้พ่ายเล่มนั้นออกมา

ขณะเดียวกันเขาก็คอยปรับจังหวะ การหายใจของตัวเองอยู่ตลอด…

จนเวลาผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูป

หินหุนหยวนที่อยู่ในมือของเย่ฉางชิงก็มีแสงสีสันต่าง ๆ แผ่ออกมา เพียงพริบตาก็ส่องลำแสงระยิบระยับ รวมทั้งพลังอันน่ากลัวก็เริ่มปะทุขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง

เปรี้ยง !

เปรี้ยง !

เปรี้ยง !

ท้องฟ้าของเมืองเสี่ยวฉือจู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ดังกึกก้องไปทั่ว

มินานปราณวิญญาณฟ้าดินรอบ ๆ เมืองเสี่ยวฉือในรัศมีหลายลี้ จู่ ๆ ก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง และพุ่งไปทางเมืองเสี่ยวฉือ

ผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป

ท้องฟ้าของเมืองเสี่ยวฉือก็เกิดพายุหมุนของปราณวิญญาณขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ยังมีเสียงลมและเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระลอก เป็นปรากฏการณ์ที่ชวนตกตะลึงยิ่งนัก

ถานไถชิงเสวี่ยที่กำลังกวาดหิมะอยู่ในลาน แม้จะสัมผัสถึงการเคลื่อนที่อันน่ากลัวของปราณวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอย่างชัดเจน ทว่าใบหน้าอันงดงามไร้ตำหนินั้น กลับมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก

นางเงยหน้าขึ้นก่อนมองไปทางห้องพักของเย่ฉางชิง มุมปากโค้งก็ขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

เห็นได้ชัดว่าหลังจากกลับมาที่เมืองเสี่ยวฉือได้หลายวันแล้ว ท่านเย่ก็เริ่มบำเพ็ญเพียรต่อแล้ว

ทว่าในเวลานี้เมื่อสัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณฟ้าดินสูญหายไปอย่างรวดเร็ว

ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที