เล่ม 2 เล่มที่ 2 ตอนที่ 57 มีเล่ห์อุบายอีกอย่าง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“ทหาร! ตัวจับซูจิ่นซีเข้าห้องขัง! ” ฮ่องเต้ตรัสสั่ง

        “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้า! ”

        เฉินไท่เฟยที่ถูกเว่ยเหม่ยเจียพาออกมาจากพระที่นั่ง สั่งให้หยุดด้วยเสียงเย็นชา

        “ไท่เฟย ท่านคิดจะช่วยซูจิ่นซีหรือ? ท่านอย่าลืมว่าก่อนที่ซูจิ่นซีจะทำการรักษาให้ฮองเฮา นางได้ให้ตำหนักหนานย่วนและจวนโยวอ๋องเป็นหลักประกันไว้ทั้งหมดแล้ว ณ ตอนนี้แม้แต่ตัวท่านเองยังยากที่จะเอาตัวรอด ท่านเตรียมขอพรให้ตนเองไว้เถิด! ”

        เยี่ยเซินไม่สนใจเฉินไท่เฟยแม้แต่น้อย

        เฉินไท่เฟยเองก็คร้านจะเปลืองน้ำลายกับเยี่ยเซิน นางตบเข้าไปยังใบหน้าที่ดูมีอายุของซูจ้ง เล็บสีแดงเรียวยาวสร้างรอยแผลบนใบหน้าของซูจ้งจนปรากฏเลือดซึมอยู่ภายใน

        “ซูจ้ง เจ้ากล้ามากที่มาเล่นลิ้นกลับคำราวกับตัวหวง บิดเบือนข้อเท็จจริง ใส่ร้ายลูกสะใภ้ของข้า เจ้าน่าจะรู้ว่าการใส่ความคนในราชวงศ์เป็นโทษหนักถึงประหารชีวิตทั้งครอบครัว! ”

        ซูจ้งคาดไม่ถึงว่าทันทีที่เฉินไท่เฟยปรากฏตัว นางจะตบหน้าเขาเช่นนี้ นอกจากนี้ชนชั้นของเฉินไท่เฟยไม่ใช่สิ่งที่หมอหลวงสามารถต่อต้านได้ ทำได้เพียงแค่ยอมรับอย่างเงียบๆ

        “เฉินไท่เฟยโปรดมองให้ทะลุปรุโปร่ง สิ่งที่กระหม่อมพูดล้วนเป็นความจริง ไม่มีเจตนาไม่ดีที่จะให้ร้ายซู… หมายถึงพระชายาโยวอ๋อง! ”

        “ไท่เฟย เจ้าหมายความว่าข้าโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ ถูกขุนนางเสี้ยมแล้วยังไม่สามารถแยกจริงเท็จได้อย่างนั้นหรือ? ”

        ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างน่าเกรงขาม

        “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่หม่อมฉันเคยเห็นและได้สัมผัสกับทักษะการแพทย์ของจิ่นซีด้วยตาของหม่อมฉันเอง กอปรกับสิ่งที่นางถนัดที่สุดคือการถอนพิษ หากไม่มีความเข้าใจทักษะการแพทย์ ก็ไม่สามารถแยกสถานภาพระหว่างพิษกับการตั้งครรภ์ได้ชัดเจนอย่างแน่นอน ท่านและโยวเหยาเติบโตใต้เข่าของฮ่องเต้พระองค์ก่อนตั้งแต่เล็ก ความรักที่ซื่อสัตย์และเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ นิสัยของโยวเหยาฝ่าบาททรงทราบดีที่สุด เวลาหลายปีนี้โยวเหยาไม่เคยเข้าใกล้สตรี ซูจิ่นซีเป็นคนแรกที่เขาโปรดปราน พูดได้ว่าเป็นผู้ที่เขารักและหวงแหนอย่างสุดก้นบึ้งหัวใจ ขอฝ่าบาททรงนึกถึงมิตรภาพของน้องชาย และตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน”

        ซูจิ่นซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เฉินไท่เฟยไม่เคยเชื่อในทักษะการแพทย์ของนางมาก่อน อีกทั้งยังตั้งใจขัดขวางไม่ให้นางรักษาฮองเฮา คาดไม่ถึงว่าจะพูดแทนนางในเวลาเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะการพูดทั้งหมดยังยอดเยี่ยมอีกด้วย

        ภายนอกดูเหมือนว่าจะถือเอาความเป็นพี่น้องระหว่างฮ่องเต้และเยี่ยโยวเหยาเค้นเอาความจริงกับพระองค์ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เฉินไท่เฟยกำลังใช้อำนาจของเยี่ยโยวเหยาคุกคามฮ่องเต้อย่างโจ่งแจ้ง!

        “ไท่เฟย เจ้ากำลังจะให้ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฐานะพี่น้องเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือ หวงจื่อ [1] ทำความผิดสมควรได้รับโทษเหมือนกับสามัญชน! ”

        ฮ่องเต้ตั้งใจดำเนินโทษกับซูจิ่นซี ตั้งใจจะกำจัดเยี่ยโยวเหยาและเฉินไท่เฟย ผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกไปล้วนฟังไม่เข้าพระกรรณทั้งสิ้น

        ใบหน้าของเฉินไท่เฟยเปลี่ยนไปในทันที ทันใดนั้นนางก็เข้าใจถึงความคิดของฮ่องเต้ ทำให้นางทำอันใดไม่ถูกแม้แต่น้อย

        เมื่อเห็นท่าทางของเฉินไท่เฟย ฮ่องเต้ก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก “เจ้ามานี่! อย่าเพิ่งนำตัวซูจิ่นซีไป ไท่เฟยปกป้องคนผิด มีความน่าสงสัยว่าจะมีส่วนสมรู้ร่วมคิด เชิญนางเข้าไปอยู่ในหนานกง อย่าให้ออกจากวังชั่วคราว และห้ามละเลยเป็นอันขาด! ”

        เฉินไท่เฟยก็ยังคงเป็นเฉินไท่เฟย เหล่าขุนนางต่างมองไปยังห้องโถง ฮ่องเต้ไม่สามารถคุมตัวไท่เฟยเข้าห้องขังเหมือนที่ทำกับซูจิ่นซีได้ อย่างไรก็ตาม เพียงไม่อนุญาตให้ออกจากหนานกงและให้อยู่แต่ในห้องขังก็ถือเป็นการจับกุมทั้งคู่ ล้วนไม่ได้แตกต่างอันใดเลย

        “ฝ่าบาท ที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ คงจะไม่กลัวคำพูดของผู้คนสินะเพคะ? ”

        เฉินไท่เฟยพูดอย่างโกรธเคือง

        ฮ่องเต้กลับทำท่าทางเฉยเมย “ซูจิ่นซีลอบปลงพระชนม์ทายาทของฮ่องเต้ ข้าเห็นกับตา ไท่เฟยปกป้องคนผิด ทำตัวน่าสงสัยหลายอย่าง ข้าจะกลัวทำไม? นำตัวไป! ”

        สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารองครักษ์ก็รีบนำตัวซูจิ่นซีไป

        “ช้าก่อน! ”

        ไม่คิดว่า ซูจิ่นซีที่เงียบมาตลอดกลับพูดขึ้นในทันใด

        ฮ่องเต้เหลือบพระเนตรมองอย่างอันตราย ”พระชายาโยวอ๋อง เจ้ามีสิ่งใดจะพูดอีก? ”

        “ฝ่าบาท หม่อมฉันเกือบลืมไปแล้ว เมื่อครู่นี้ตอนที่ฝังเข็มให้ฮองเฮา หม่อมฉันได้ทำเข็มเงินร่วงไปบนพระวรกายของฮองเฮา ฝ่าบาทโปรดรอหม่อมฉันนำเข็มเงินออกมาก่อนแล้วค่อยไปห้องขังพร้อมกับองครักษ์ได้หรือไม่เพคะ? ”

        ฮ่องเต้ตกพระทัยไปชั่วขณะ

        ฝังเข็มเสร็จก็นานแล้ว คาดไม่ถึงว่าเข็มเงินจะร่วงลงบนพระวรกายของฮองเฮา นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย

        “ซูจิ่นซี เจ้าอย่าคิดใช้อุบายหลอกล่อ มิฉะนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอย่างแน่นอน! ”

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เดินไปทางห้องโถงของฮองเฮา

        “ฝ่าบาท หากมีเข็มเงินร่วงลงไปบนพระวรกายของฮองเฮา ได้โปรดให้ข้าน้อยเข้าไปช่วยพระชายาโยวอ๋องนำมันออกมา พระชายาจะได้ไม่ต้องลงมือเอง”

        ซูจ้งผู้นี้เป็นบิดาชั้นยอดเสียจริง คาดไม่ถึงว่าจะช่วยผู้อื่นพิทักษ์บุตรสาวของตนเอง

        ซูจิ่นซีหันหลังกลับมาพูดอย่างประชดประชัน “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู สตรีและบุรุษต่างกัน ตำแหน่งของเข็มเงินท่านนำออกคงจะไม่เหมาะ! ”

        เพียงประโยคเดียว ก็สามารถตอกหน้าที่แดงก่ำของซูจ้งให้หงายหลังไปได้

        ซูจิ่นซีมองซูจ้งอย่างดุดัน แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องโถง

        เพื่อขัดขวางไม่ให้ซูจิ่นซีทำอุบายใดๆ ฮ่องเต้จึงเสด็จตามหลังซูจิ่นซีเข้าไปในห้องโถงด้วยพระองค์เอง

        ซูจิ่นซีเดินไปยังข้างแท่นบรรทมของฮองเฮาทีละก้าว ใช้ร่างกายของนางบดบังสายพระเนตรของฮ่องเต้เอาไว้ นางยื่นมือวางลงบนผ้าคลุมแท่นบรรทมของฮองเฮา เวลานั้นไม่อาจทราบได้ว่านางพูดอันใดข้างพระกรรณของฮองเฮาเช่นกัน

        คาดไม่ถึงว่าพระเนตรของฮองเฮาจะแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฮองเฮาแสดงสีหน้าโกรธเคืองในทันใด พระองค์พยายามควบคุมอารมณ์ของตนอย่างสุดความสามารถ เอ่ยเสียงต่ำ “ซูจิ่นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”

        ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก “หม่อมฉันคิดสิ่งใด ฮองเฮาทรงทราบดียิ่งกว่าหม่อมฉันเสียอีก หากหม่อมฉันไม่สามารถกลับไปยังจวนโยวอ๋องได้ในวันนี้ ฮองเฮา…ท่านเองก็อาจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว”

        พูดจบ ซูจิ่นซีไม่รีรอให้ฮองเฮาได้เอ่ยอันใด นางลุกขึ้นยืน เอามือล้วงแขนเสื้อและเดินออกไป

        “เสด็จอา บังอาจเกินไปแล้ว! ”

        เยี่ยเซินนำคนมาคุมตัวซูจิ่นซีด้วยตนเอง กดน้ำหนักตรงคำว่า ‘เสด็จอา’ ให้เต็มไปด้วยความประชดอย่างสุดความสามารถ

        ซูจิ่นซียิ้มให้เยี่ยเซิน

        ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ดูแล้วช่างเป็นรอยยิ้มที่บางเบาและธรรมดาดั่งดอกท้อที่เบ่งบานในเดือนสาม ทว่าในใจของเยี่ยเซินกลับขนพองสยองเกล้าขึ้นมากะทันหัน หนาวสั่นในทันใด

        รู้สึกราวกับจะเกิดเรื่องอันใดไม่ดีขึ้น

        เมื่อซูจิ่นซีกำลังจะถูกนำตัวออกจากตำหนักจ้งหวา นางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายของฮองเฮาก็รีบเดินออกมาทันที

        “ฝ่าบาท อาการของฮองเฮากำเริบขึ้นอีกแล้ว ฮองเฮาเชิญท่านและพระชายาโยวอ๋องเข้าไปอีกครั้งเพคะ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าทำอันใดกับเสด็จแม่ของข้า? ”

        ทันใดนั้นเยี่ยเซินก็โกรธเป็นอย่างมาก เขาชักดาบออกมาจ่อที่ร่างของซูจิ่นซี

        “ไท่จื่อ โตถึงเพียงนี้แล้ว ทว่ายังไม่รู้วิธีการพูดจาอีกหรือ? ข้าวจะกินเลอะเทอะอย่างไรก็ได้ ทว่าคำพูดท่านจะพูดอันใดตามใจมิได้ หากข้าเคยทำสิ่งใดต่อฮ่องเฮา เวลานี้ข้าคงไม่เพียงแค่ถูกเชิญตัวไปหรอก ทว่าคงจะถูกนำไปฆ่าเสียแล้ว! ”

        “เจ้า… ”

        เยี่ยเซินโกรธมากจนแทบอยากจะฆ่าซูจิ่นซีให้ตาย ทว่าเขาทำไม่ได้

        ซูจิ่นซีจ้องไปที่เยี่ยเซินอย่างเย้ยหยัน นางไม่สนใจดาบที่จ่ออยู่บนไหล่ของตนเอง แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องชั้นในของฮองเฮาอีกครั้ง

        สายพระเนตรที่ฮ่องเต้จ้องมองซูจิ่นซีแทบจะสามารถลุกเป็นไฟได้อยู่แล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในห้องพร้อมกับซูจิ่นซี

        ประตูห้องชั้นในถูกปิดอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา เวลาสองถ้วยชา [2] ได้ผ่านไป ทว่าฮ่องเต้และซูจิ่นซีก็ยังไม่ออกมา

        ภายนอกของเฉินไท่เฟยแม้จะแสดงออกว่ายังคงใจเย็น ทว่าในใจกลับร้อนราวกับมดที่อยู่บนหม้อไฟ

        เนื่องจากซูจิ่นซีถูกใส่ร้ายในข้อหาลอบปลงพระชนม์ทายาทของฮ่องเต้ นางจึงแอบส่งคนไปแจ้งเยี่ยโยวเหยาเสียหลายครั้ง ทว่าในเวลานี้ยังไม่เห็นเยี่ยโยวเหยาเข้ามาในวังเลย แท้จริงแล้วเขาคิดสิ่งใดอยู่? หรือว่าจะไม่สนใจซูจิ่นซีแล้ว?

        นอกจากนี้ ยังมีคนของเยี่ยโยวเหยาอยู่ทุกที่ในวัง ตามหลักแล้วเขาควรรู้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของซูจิ่นซีและนางตั้งนานแล้ว! เหตุใดเขากลับทำเหมือนผู้ที่ไม่เดือดร้อนอย่างไรอย่างนั้น

        และเพราะเหตุใด ฮองเฮาจึงเรียกซูจิ่นซีเข้าไปในห้องอีกครั้งอย่างกะทันหันกัน?

        โรคของนางกำเริบขึ้นอีกครั้งจริงๆ หรือ? หรือว่าจะมีเล่ห์อุบายอันใดอีก?

        เหตุใดผ่านไปนานแล้วจึงยังไม่ออกมา?

……