บทที่ 146 อภิปรายแผนการใหญ่

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ขณะที่สังหารจื๋อหย่านั้น ซ่งชูอีก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ ทว่านางก็มิเคยเสียใจเลย

ตัวหมากที่ถูกทิ้งจะอยู่หรือจะไปนั้นล้วนขึ้นอยู่กับผู้เล่น หากอารมณ์ของจื๋อหย่าอ่อนลงกว่านี้อีกหน่อย ไม่สุดโต่งเพียงนั้น ซ่งชูอีก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่านาง อย่างน้อยก็จะเห็นแก่จื่อเฉาและไว้ชีวิตนาง

อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้มักจะละอารมณ์ออกไปอย่างช้าๆ หลังจากประสบกับสิ่งต่างๆ มากมาย ทว่ามีบางคนที่ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้งก็จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ น่าเสียดายที่จื๋อหย่าเป็นอย่างหลัง

“กระหม่อมขอทูลลาแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว

จื่อเฉารู้สึกเหงาที่ต้องอยู่ตามลำพังในพระราชวัง อุตส่าห์ได้เจอกับผู้ที่สามารถคุยด้วยได้ก็ต้องการจะคุยด้วยมากหน่อย ครั้นเห็นซ่งชูอีหมุนตัวจากไปก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว

“เหม่ยเหรินหยุดก่อนเจ้าค่ะ ห้ามเดินไปข้างหน้าแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเตือนสติทันที

การควบคุมวังหลังของรัฐฉินไม่เข้มงวดมากนัก ทว่าก็ไม่อนุญาตให้สตรีวิ่งวุ่นไปทั่ว โดยมากแล้วมีเพียงพระชายาเท่านั้นที่สามารถไปวังหน้าได้ ส่วนคนที่เหลือนั้นต้องห้ามเว้นแต่องค์จวินจะอนุญาตเป็นพิเศษ

จื่อเฉาหยุดเดิน มองซ่งชูอีที่เดินไปถึงสุดทางเดินด้วยความสง่างาม ครั้นหมุนตัวเลี้ยวก็ถูกบดบังด้วยพุ่มดอกไม้แล้ว

น้ำค้างบนกิ่งไม้และใบไม้สะท้อนแสงพราวภายใต้แสงอาทิตย์ จื่อเฉากำลังครุ่นคิดว่าควรจะขอร้องให้ซ่งชูอีส่งจื๋อหย่าเข้าวังมาเป็นเพื่อนนางหรือเปล่า

จื่อเฉามิได้ปรารถนาเกียรติยศและไม่ต้องการอิสรภาพสู่โลกกว้าง ขอเพียงมีกระเบื้องไว้บังลมฝนและอยู่อย่างสงบสุขในบั้นปลายชีวิตก็พอ ทว่านางรู้ว่าจื๋อหย่าคิดไม่เหมือนกัน นางเพียงแต่คิดปรารถนาว่าจื๋อหย่าจะกลายเป็นคนเช่นนั้นได้

สำหรับการแก้แค้นให้กับครอบครัวนั้น นางหวาดกลัวจับใจ

ในหออักษร

อิ๋งซื่อยืนอยู่ริมหน้าต่างสองมือไพล่หลัง มองดูต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีด้านนอก สระบัวเขียวชอุ่มพลิ้วไหวไปกับสายลม เด็กหนุ่มในชุดคลุมแขนกว้างสีน้ำเงินเข้มเดินมาจากสะพานโค้งกลางสระน้ำอย่างเร่งรีบ ทว่าคิ้วตาอันสามัญกลับนิ่งสงบ

ในขณะที่ซ่งชูอีก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นก็รู้สึกราวกับมีคนกำลังจ้องมองนาง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่แท้จริงของ

อิ๋งซื่อ นางผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง

“หวยจิน” เสียงของชูหลี่จี๋ดังขึ้นจากด้านหลัง

ซ่งชูอีหยุดเดิน หันหลังรอชูหลี่จี๋ที่เร่งรุดเข้ามา ทั้งสองเข้าหออักษรไปพร้อมกัน

ขันที่เข้ามาต้อนรับกล่าวด้วยความนอบน้อม “ฝ่าบาทกำลังรอท่านทั้งสองอยู่”

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง อิ๋งซื่อยังคงชมดอกบัวอยู่ข้างหน้าต่าง

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

ซ่งชูอีถวายคำนับพร้อมกับชูหลี่จี๋

“นั่งสิ” อิ๋งซื่อหมุนตัวเดินไปยังพระที่นั่งหลัก จ้องมองซ่งชูอีแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถาม “จู้ซย่าสื่อไม่เชื่อกว่าเหรินหรือ?”

“กระหม่อมผิดไปแล้ว” ซ่งชูอีตอบสนองด้วยความรวดเร็ว รู้ว่าอิ๋งซื่อหมายถึงความเห็นเรื่องการโจมตีเว่ยที่นางเอ่ยออกมาเมื่อเช้าระหว่างประชุมราชสำนัก เหล่าตระกูลเก่าแก่จะต้องยกมือสนับสนุน นี่เท่ากับว่าเป็นการปฏิเสธความตั้งใจจริงของอิ๋งซื่อที่พยายามโจมตีรัฐเว่ย

ซ่งชูอีมิได้มีเจตนาเช่นนี้ตั้งแต่แรก ทว่าในตอนนั้นอิ๋งซื่อโยนเรื่องนี้มาให้นาง นางจึงต่อต้านท่านนายพลไปตามสมควรเท่านั้น เรื่องนี้จะโทษนางเสียทีเดียวก็มิได้

อิ๋งซื่อจ้องนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พูดเรื่องรัฐปาสู่มาเถิด”

“พะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งอก แม้นอายุจริงของนางจะมากกว่าอิ๋งซื่อมาก ทว่าอิ๋งซื่อกุมอำนาจจักรวรรดิตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้น่ากดดันกว่าหลายเท่า

“ปาสู่นั้นป้องกันง่ายโจมตียาก ต่อให้ใช้กองทัพหลักก็ใช่ว่าจะสามารถโจมตีได้ ทว่าหลายร้อยปีมานี้สงครามระหว่างปาสู่เกิดขึ้นบ่อยพอๆ กับจงหยวน กระหม่อมคิดว่าหากต้องการจะประสบความสำเร็จ จำต้องใช้วิธีหลอกล่อ” ซ่งชูอีกล่าว

“ใช่วิธีหลอกล่อเยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม

ซ่งชูอีเอ่ย “ฝ่าบาทคงจะทราบว่ารัฐสู่มีรัฐข้าราชบริพารที่ชื่อว่ารัฐจู”

อิ๋งซื่อพยักหน้า บ่งบอกให้นางพูดต่อ

“แม้นรัฐจูอยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐสู่ แต่มักจะผนึกกำลังกับรัฐปาในการต่อต้านอยู่เสมอ ไม่อาจประมาทความแข็งแกร่งได้เลย…” ครั้นซ่งชูอีกล่าวถึงตรงนี้ อิ๋งซื่อกับชูหลี่จี๋ก็ต่างเข้าใจแล้ว

ตราบใดที่มีการสู้รบก็สามารถใช้ประโยชน์ได้

ชูหลี่จี๋เม้มปากแน่น ทว่าก็กลั้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันไว้ไม่อยู่

อิ๋งซื่อทอดสายตาสงสัย ชูหลี่จี๋เหลือบมองซ่งชูอี หัวเราะเอ่ย “ฝ่าบาทไม่รู้กระไร เมื่อคืนมีคนไม่พอใจฝ่าบาทกล่าวว่าเห็นเขาเป็นเสมือนไม้เก็บมูล ทว่าดูจากวันนี้แล้วฝ่าบาทมีสายตาแหลมคมอย่างแท้จริง”

ซ่งชูอีถามแหย่อย่างไร้ยางอาย “บุคคลผู้นี้ไม่รู้จักสรรเสริญก็แล้วไป เหตุใดองค์ชายจึงนินทาลับหลังไปกับเขาด้วยเล่า?”

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นในดวงตาเรียวยาวของอิ๋งซื่อ เอ่ยขึ้น “ดำเนินการเยี่ยงไร ท่านมีกลยุทธ์โดยละเอียดหรือไม่?”

“พอมีวิธีอยู่บ้าง ข่าวสารของดินแดนปาสู่ถูกปิดกั้น ข้อมูลที่กระหม่อมมีนั้นไม่เพียงพอต่อการวางกลยุทธ์ หากฝ่าบาทตัดสินใจที่จะยึดครองปาสู่ ควรส่งคนไปสืบข่าวทันที” ซ่งชูอีกล่าวอย่างจริงจัง

อิ๋งซื่อพยักหน้า หันมาถาม “เรื่องรัฐเว่ย ท่านเขียนตัวอักษร “เจ้า” บนหนังสือไหม มิทราบว่านึกวิธีอะไรได้หรือ?”

‘ช่างเป็นเจ้าหนุ่มไร้ยางอายและน่ารังเกียจเสียจริง!’ ซ่งชูอีสบถในใจอย่างหยาบคาย

เห็นได้ชัดว่าเขานึกวิธีนี้ออกแล้ว ทว่าหลังจากเล่าเรื่อง “ไม้เก็บมูล” แล้วกลับต้องการให้นางอธิบายเรื่องที่น่าสับสนนี้อย่างละเอียด! สนุกมากนักหรือ?

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นใบหน้าของซ่งชูอี เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระหม่อมคิดว่าปล่อยข่าวออกไป ว่าหลังเกิดโกลาหลภายในรัฐเจ้าแล้วความแข็งแกร่งเสียหายหนัก อำนาจบ้านเมืองอ่อนแอลง เกรงว่าหานเว่ยจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตี จากนั้นค่อยใช้กลอุบายยั่วยุให้หานและเว่ยเปิดสงคราม ส่วนหลักฐานนั้นคิดว่าฝ่าบาทคงเตรียมการไว้แล้วกระมัง?”

นางลากอิ๋งซื่อเข้ามาเอี่ยวด้วยอย่างละมุนละม่อม

ใครจะรู้ว่าผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งหลักจะเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “หากท่านมิได้เตือนสติ เกรงว่าคงพลาดเรื่องสำคัญไปแล้ว”

ความหมายในคำนี้คือ ‘ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าต้องตระเตรียมหลักฐาน ทุกอย่างต้องอาศัยท่านเตือนสติแล้ว’

ซ่งชูอีแอบเบะปาก แม้นอิ๋งซื่อไม่นับว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ทว่าก็ดูเหมือนเป็นคนเปิดเผยอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าจะไร้ยางอายเช่นนี้

จักรวรรดิและขุนนางประมือกันอย่างเงียบๆ ใครเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั้นเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ซ่งชูอีเองก็มิได้สู้จนถึงที่สุด ปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นไปอย่างอิสระ

ทั้งสามคนคุยกันกว่าหนึ่งชั่วยาม กลยุทธ์ทั่วไปได้ถูกตัดสินแล้ว แต่ก็ยังต้องส่งหน่วยสอดแนมไปยังดินแดนปาสู่

รัฐฉินได้ยึดครองปาสู่ในความทรงจำของซ่งชูอีและนางก็เคยตั้งใจสืบข่าวคราวนี้ ทว่าในฐานะราชทูตต่างรัฐก็ยากที่จะเข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด อีกทั้งโลกใบนี้ก็ต่างจากที่นางรู้ ดังนั้นนางจึงถือเอาสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของนางเป็นโชคลางที่ดีเท่านั้น

การพูดนั้นง่ายมาก ทว่าหากทั้งๆ ที่รู้กระบวนการและผลลัพธ์ของเรื่องหนึ่งแล้วและในเวลานี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าใครบางคนจะบอกอย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่เรื่องเดิมอีกต่อไป นางก็จะยังต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

ซ่งชูอีจะต้องพยายามเอาชนะเรื่องนี้ให้ได้

นางกลับจวนตามปกติ ทันทีที่เข้าประตูมาก็เห็นฉากที่สงบและงดงามเบื้องหน้า

ใต้ต้นซิ่งเขียวชอุ่ม เจ้าอี่โหลวในชุดผ้ากระสอบที่ไม่ได้ย้อมสีนอนพักกลางวันอยู่บนเสื่อ ไม่ว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นจะแสดงออกเยี่ยงไรก็ยังงดงามยิ่ง ส่วนไป๋เริ่นกำลังพยายามขุดหลุมฝังกระดูกอยู่ข้างๆ

ไป๋เริ่นได้ยินเสียงฝีเท้าของซ่งชูอีก่อน ฝังกระดูกลงในหลุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันวิ่งออกไปหานาง

ซ่งชูอีลูบหัวของมัน เดินไปยังใต้ต้นไม้ ส่งเสียงคำราม “เจ้าเสี่ยวฉง!”

เจ้าอี่โหลวลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาดุจดวงดาวของเขาสดใส เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่มิได้นอนหลับ

เขากำลังจะอ้าปากพูด พลันได้ยินเสียงหนิงยารุดเข้ามา “ท่าน! ฝ่าบาทส่งคนมาเชิญเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ”

“ฝ่าบาท?” ซ่งชูอีงุนงง ก็เพิ่งเข้าเฝ้ามิใช่หรือ? หรือว่าจะมีข่าวสำคัญ! ซ่งชูอีรีบเดินออกไปข้างนอกทันที เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาคำรามใส่เจ้าอี่โหลว “อาจารย์ของเจ้าบอกให้เจ้าฝึกดาบเช่นนี้หรือ?!”