ตอนที่ 258 การเตือนของชิงเกอ

พันธกานต์ปราณอัคคี

งานพิธีฉลองสองปีก่อน จนกระทั่งหลังจากนั้นเนิ่นนานก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ศิษย์เหยากวงพูดถึงกันไม่หยุด

 

 

เสวียนหั่วเจินจวินประทานสมญานามเต๋าลั่วหยางให้เยี่ยเทียนหยวน รับเป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างเป็นทางการ ย้ายออกจากยอดเขาหลักเขาหลิวหั่ว ครอบครองยอดเขารองลูกหนึ่งเพียงลำพัง

 

 

ลั่วหยาง สมญานามเต๋านี้มั่วชิงเฉินดูแล้วความหมายไม่นับว่าชั้นยอด ก็ไม่รู้ว่าไยเสวียนหั่วเจินจวินจึงตั้งสมญานามเต๋าเช่นนี้ให้เยี่ยเทียนหยวน ไม่ว่าเช่นไร ชื่อฆราวาสเยี่ยเทียนหยวนนี้ก็ค่อยๆ ถูกคนลืมเลือนแล้ว นับแต่นี้ทุกคนเรียกกันว่านักพรตลั่วหยาง

 

 

“ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้าเพิ่งเข้าระดับก่อแก่นปราณกำลังเป็นเวลาทำเขตแดนให้มั่นคง…” นักพรตฟางเหยาเอ่ยอย่างลังเล

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบาง เอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ลั่วหยางเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณได้สองปีแล้ว”

 

 

มองดูสีหน้ามุ่งมั่นของเยี่ยเทียนหยวน นักพรตฟางเหยาแอบโฉบสายตาผ่านมั่วชิงเฉินที่ยืนก้มหน้าเงียบๆ อยู่ แอบคิดว่าเช่นนี้ก็ดี หากไม่ใช่ในสำนักดึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนอื่นไม่ออกจริงๆ เขาก็ไม่จัดการเช่นนี้หรอก จึงพยักหน้าทันทีว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ศิษย์น้องลั่วหยางก็ไปด้วยกันเถอะ ศิษย์พี่ซานอิน ศิษย์น้องหานจาง พวกเจ้าเห็นเป็นเช่นไร?”

 

 

นักพรตซานอินเลิกคิ้วขาวขึ้น สายตากวาดผ่านหน้าเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินสองคนเบาๆ พูดสองแง่สองง่ามว่า “นี่ย่อมให้ศิษย์น้องเจ้าสำนักตัดสินใจอยู่แล้ว”

 

 

นักพรตหานจางพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก็กำหนดตามนี้ สามวันให้หลังรวมตัวกันที่เขาโฮ่วเต๋อ เดินทางสู่สำนักลั่วสยา

 

 

ทุกคนเดินออกไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน

 

 

มั่วชิงเฉินหยุดเดิน รอต้วนชิงเกอเดินเข้ามาแล้วเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

“ชิงเฉิน ศิษย์พี่มั่วพูดได้ไม่ผิด ทุกครั้งที่เจอเจ้านะ มักได้รับความกระทบกระเทือน” ต้วนชิงเกอหยอกเล่นว่า

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดมองต้วนชิงเกออย่างละเอียดปราดหนึ่ง สองปีมานี้นางยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญเพียรตลอด ต้วนชิงเกอก็กักตนทำเขตแดนให้มั่นคง พูดไปแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกัน

 

 

นับแล้วมีเจ็ดแปดปีไม่ได้พบ ต้วนชิงเกอกลับยิ่งดูงดงามมีเสน่ห์แล้ว น่าจะเพราะตบะที่เพิ่มขึ้น บวกกับการฝึกฝนวิชายุทธ์ธาตุน้ำเป็นเหตุ ท่วงท่ากิริยายิ่งใจเย็นสงบกว่าเมื่อก่อนอีก

 

 

ต้วนชิงเกอผลักมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้ามองอะไรน่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินขยิบตาอย่างซุกซน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ากำลังดูสาวงามอันดับหนึ่งแห่งพรรคเหยากวงน่ะสิ…”

 

 

สองปีนี้แม้นางไม่ค่อยออกจากเขาป่าไผ่ ข่าวคราวบางอย่างกลับรู้ดี เช่นต้วนชิงเกอ ระยะนี้ก็ถูกผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านยกให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งพรรคเหยากวง ยามนั้นยามที่เหลียงเฉินพูดยังโมโหไม่เบา แทบอยากจะจับนางแต่งตัวให้สวยสดงดงามแล้วดันออกประตูไปตระเวนสักรอบหนึ่งถึงยอมเลิกรา

 

 

ต้วนชิงเกอถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างตำหนิปราดหนึ่งว่า “ชิงเฉิน ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าก็ชอบหัวเราะเยาะคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “มีที่ไหนกัน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้ว่าบัดนี้ในสำนักมีศิษย์เปิดโต๊ะ พนันว่าเจ้าบุปผาจะตกไปอยู่บ้านใครนะ!”

 

 

สองคนพลางพูดพลางเดินออกไป กลับพบว่าเยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ข้างนอกไม่ขยับเขยื้อน จึงอดเงียบเสียงไม่ได้ ยามเดินผ่านคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย”

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินคิดว่าเยี่ยเทียนหยวนจะแค่ตอบรับอย่างเกรงใจ กลับไม่คิดว่าเขาจะออกเสียงว่า “ศิษย์หลานต้วน ศิษย์…หลานมั่ว ไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้เดินทางไปสำนักลั่วสยา พวกเจ้าต้องระวังหน่อย…” พูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลงอย่างไม่รู้ตัว “ทว่าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป…”

 

 

พูดถึงตรงนี้รีบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวโดยตรงไปแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว นิสัยกลับไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อยที่สุดคำพูดเช่นนี้เปลี่ยนเป็นเขาเมื่อก่อน ไม่มีทางหลุดปากออกมาเด็ดขาด

 

 

ดูเหมือนหลังจากกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ความเย็นชาและเหลี่ยมลดน้อยลงสักหน่อย มีมิตรจิตมิตรใจมากขึ้นหน่อย

 

 

“ชิงเฉิน…” ต้วนชิงเกอลากเสียงยาวเรียก

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ไม่ตอบ

 

 

ต้วนชิงเกอกลับไม่ปล่อยโอกาสหายากเช่นนี้ให้ผ่านไป เอ่ยเบาๆ ว่า “ชิงเฉิน ไม่รู้เจ้าบุปผาตกที่บ้านใคร?”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อ ถลึงตาใส่นางปราดหนึ่ง อัญเชิญเรือเล็กกระโดดขึ้นไปจะหนี ไม่คิดว่าต้วนชิงเกอก็กระโดดขึ้นไปด้วย นั่งลงบนเรือเมฆาอย่างมั่นคง แล้วยิ้มระรื่นว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าหนีสิ ข้าเห็นอย่างชัดเจนเลยนะ บัดนี้อาจารย์อาเยี่ยไม่ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อยนะ”

 

 

“ชิงเกอ คำพูดนี้เจ้าอย่าพูดส่งเดช” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว

 

 

สังเกตได้ถึงความไม่พอใจของมั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอกลับไม่สนใจ เอ่ยต่อว่า “ชิงเฉิน ด้วยสติปัญญาของเจ้า ไยต้องพูดเรื่องขัดต่อความรู้สึกด้วย ให้ข้าดูนะ อาจารย์อาเยี่ยกลับเหมาะสมกับเจ้าทีเดียว”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินอยากพูด จึงยื่นมือกุมมือนางไว้ เอ่ยต่อว่า “ข้าไม่ใช่เห็นพรสวรรค์ฐานะของอาจารย์อาเยี่ยเป็นเช่นไรเช่นไร ที่หายากที่สุดกลับเป็นน้ำใจที่เขามีต่อเจ้า ต้องรู้ว่าผู้ชายคนหนึ่งต่อให้ดีเพียงใด ในใจไม่มีเจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ต้องพูดถึง”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเกอ ข้าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้”

 

 

นางไม่ค่อยเข้าใจ ด้วยนิสัยของต้วนชิงเกอ ไยวันนี้ถึงตื๊อนางพูดเรื่องนี้ นี่ไม่เหมือนรูปแบบการวางตัวของนาง

 

 

กลับไม่คิดว่าสิ่งที่ต้วนชิงเกอพูดต่อมาเกือบทำให้มั่วชิงเฉินร่วงลงจากเรือเมฆา “ชิงเฉิน ใช่หรือไม่ที่เจ้ารู้สึกต่อ…ต่อนักพรตเหอกวง…”

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นโดยพลัน จ้องต้วนชิงเกอเนิ่นนาน เห็นนางสีหน้าเคร่งเครียด จึงค่อยๆ พยักหน้า แล้วถอนใจเบาๆ ว่า “ชิงเกอ ที่แท้เจ้ารู้แล้ว”

 

 

ต้วนชิงเกอถอนใจเสียงหนึ่งเช่นกัน “ชิงเฉิน พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้สนิทกันดั่งพี่น้อง คนอื่นเจ้าไม่ค่อยคบหาด้วย ศิษย์พี่มั่วก็เป็นคนนิสัยไม่คิดเล็กคิดน้อย ความในใจเจ้าปิดคนอื่นได้ แต่จะปิดข้าได้เช่นไรอีก?”

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้าลูบขนของอีกาไฟ ไม่พูด

 

 

ต้วนชิงเกอเห็นดังนั้น แล้วแอบถอนใจ เดิมทีเรื่องระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องที่นางควรพูดมาก ทว่ามั่วชิงเฉินกลับเป็นสหายที่ดีที่สุดของนาง นางไม่อยากเห็นนางต่อไปยิ่งเดินยิ่งยากจริงๆ กระทั่งทำลายหนทางเซียนอันรุ่งโรจน์

 

 

“ชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกนี้มีรักต้องห้ามสองชนิด?” ต้วนชิงเกอถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น แล้วพยักหน้านิ่งๆ “นักพรตจื่อซีเคยบอกข้าแล้ว”

 

 

ต้วนชิงเกอชะงักงัน จากนั้นว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่าอะไรๆ เจ้าก็คิดดีแล้ว ยังไม่เปลี่ยนใจ?”

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจแผ่วเบาว่า “ชิงเกอ เจ้าว่าความรู้สึกที่มีต่อคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เชือกเสียหน่อย คิดจะขาดก็ขาดได้เช่นไรกัน?”

 

 

“ชิงเฉิน บัดนี้ข้าถึงพบว่าบางทีเจ้าฉลาดเฉลียวมาก บางทีกลับเหมือนเด็กก็ไม่ปาน เจ้าคงไม่คิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องระหว่างเจ้ากับท่านนักพรต ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอกนะ?” ต้วนชิงเกอถาม

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักแผ่วเบา บอกตรงๆ ที่นางใส่ใจเสมอมาคือความคิดของกู้หลีจริงๆ โดยที่ไม่ใช่ความคิดของคนอื่น

 

 

เห็นตนคาดไว้ไม่ผิด ต้วนชิงเกอส่ายศีรษะว่า “ชิงเฉิน แรงต้านจากคนอื่น ใหญ่กว่าที่เจ้าคิดไว้มาก ใหญ่ถึงขั้นไม่ว่าเจ้าหรือว่าท่านนักพรต ล้วนยากจะรับไหว ข้า ยามข้ายังเด็กก็เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อน”

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินมองมา ต้วนชิงเกอเอ่ยต่อว่า “ยามนั้น บิดาข้าพาข้าหลบอยู่ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งทำงานจิปาถะ ในสำนักนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพียงคนเดียว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็มีเพียงไม่กี่คน ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงท่านหนึ่งรับศิษย์ไว้คนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นทั่วทั้งสำนักนับว่าพรสวรรค์โดดเด่นแล้ว ค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก ใครจะรู้ว่าศิษย์อาจารย์สองคนนานวันเข้าเกิดรักกัน ศิษย์คนนั้นหลังจากสร้างรากฐานก็พูดกับผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณขอสู่ขออาจารย์ ยามนั้นข้ายังเด็ก ไม่เข้าใจความร้ายแรงในนี้ รู้สึกเพียงว่าทั้งสองคนต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องที่สมควรมาก ใครจะคิดว่าทั่วทั้งสำนักมีแต่คนตำหนิ ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณที่มีเพียงท่านเดียวนั้นยิ่งบันดาลโทสะ ประกาศว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รับปากที่ทั้งสองคนขอเด็ดขาด สำนักแม้เล็กกลับไม่สามารถให้กลายเป็นเรื่องตลกในบรรดาสำนักทั้งหลายได้ เจ้าเดาสิ สุดท้ายพวกเขาสองคนเป็นเช่นไรแล้ว?”

 

 

“เป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ต้วนชิงเกอมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พวกเขาวิวาห์เหาะแล้ว กลับถูกผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณจับกลับมา ขังศิษย์คนนั้นไว้ แล้วบังคับให้อาจารย์แต่งงานกับผู้บำเพ็ญเพียรของอีกสำนักหนึ่ง ในวันแต่งงานนั้นเอง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นระเบิดตันเถียนตนเองตาย หลังจากนั้นอีกนานศิษย์ถูกปล่อยออกมารู้ข่าวนี้เข้า นิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเดินสู่ทางมาร ประกาศว่าวันหนึ่งจะต้องกลับมาฆ่าล้างสำนักไม่ให้เหลือแม้ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นให้ได้ บิดาข้าเห็นสำนักนั้นพายุกระหน่ำ จึงพาข้าจากมาอย่างเงียบๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าไม่รู้คิดอะไร

 

 

ต้วนชิงเกอออกแรงบีบมือของมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ความรักระหว่างสองคนนั้นแม้น่าชื่นชมสรรเสริญ ทว่าจุดจบเป็นเช่นไรล่ะ? เราก้าวขึ้นหนทางเซียน อายุยืนกว่าคนธรรมดามาก มีเวลามากมายไปทำเรื่องที่คนธรรมดาไม่มีวันทำได้ ความรักเช่นนี้ เหมาะกับพวกเราจริงหรือ?”

 

 

พูดถึงตรงนี้ลุกขึ้นยืนยกมือโยนอาวุธเวทเหินหาวของตนออกแล้วกระโดดขึ้นไป แล้วหันกลับมาว่า “ต่างพูดกันว่าอิจฉาเยวียนยางไม่อิจฉาเซียน ทว่าเยวียนยางนั่นกลับครองคู่อยู่อย่างอิสระ ชิงเฉิน หากเป็นเจ้ากับท่านนักพรต สามารถทำได้เช่นนี้หรือไม่? อีกอย่าง ความในใจของนักพรตตกลงเป็นเช่นไรอีกล่ะ?”

 

 

พูดพวกนี้จบ ต้วนชิงเกอก็บังคับอาวุธเวทเหินหาวไปไกลแล้ว ลากลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งขึ้นบนฟ้า

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนเรือเมฆาไม่ขยับเขยื้อน ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงบังคับเรือเล็กบินสู่เขาป่าไผ่อย่างช้าๆ

 

 

เวลาถึงสามวันให้หลังอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินตื่นแต่เช้า ยังเช้าอยู่จึงไม่รีบไปเขาโฮ่วเต๋อ หากแต่เดินเล่นอยู่นอกห้องข้างสวนสมุนไพร

 

 

สัญญาแปดปีกับหัวหน้าตระกูลหวังทะเลขนาบใจถึงแล้ว ที่เหนือความคาดหมายของนางคือหัวหน้าตระกูลหวังไม่คิดว่าจะไม่เคยมาหาที่สำนักเลย หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น?

 

 

หากเป็นเช่นนี้ ตนไปครั้งนี้ไม่รู้วันใดถึงได้กลับมา สัญญาที่ไม่ได้ทำตาม นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ

 

 

คิดไปคิดมา บัดนี้ในเหยากวงยังไม่สามารถหาคนที่ไหว้วานเรื่องนี้ได้จริงๆ โอสถอายุวัฒนะไม่เหมือนอย่างอื่น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเห็นแล้วก็ต้องตาแดง

 

 

กวาดมองไปที่เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่กำลังยุ่งอยู่ในสวนสมุนไพร มั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้ว เรื่องถึงขั้นนี้ ก็ได้แต่มอบเรื่องนี้ให้พวกนางสองคนแล้ว

 

 

หลายปีมานี้สองคนนี้นิสัยเป็นเช่นไรตนล้วนเห็นกับตา ยิ่งกว่านั้นพวกนางตบะยังตื้น อยู่ในสำนักก็ได้แต่พึ่งพาตนเอง อีกทั้งมีใจเคารพหัวหน้าตระกูลหวังอีก เปรียบเทียบดูแล้วกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

“เหลียงเฉิน เหม่ยจิ่ง พวกเจ้ามานี่” มั่วชิงเฉินกวักมือ

 

 

“คุณหนู ท่านรับปากพาพวกเราไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เหลียงเฉินถามอย่างประหลาดใจ

 

 

มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก นางหนูเหลียงเฉินคนนี้ตั้งแต่รู้ว่านางจะออกจากสำนักอีกครั้ง ก็ตื๊อจะตามไปด้วย หลังจากถูกปฏิเสธก็ยังถามขึ้นเป็นระยะๆ ส่วนเหม่ยจิ่ง แม้ไม่ออกเสียง ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับมักมองนางอย่างละห้อย พลังทำลายล้างสูงกว่าอีก

 

 

“พวกเจ้าอย่าเหลวไหลอีกเลย นี่ข้าจะไปสนามรบ ไม่ถึงระดับสร้างรากฐาน ข้าไม่มีวันพาพวกเจ้าออกไปหรอก” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเด็ดขาด จากนั้นหยิบกล่องหยกที่แปะยันต์ใบหนึ่งมอบให้เหม่ยจิ่งว่า “เหม่ยจิ่ง กล่องหยกนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี หากหัวหน้าตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจมาหาข้า ก็มอบสิ่งนี้ให้เขา”

 

 

เหม่ยจิ่งยื่นมือรับไปแล้วเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุตน เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าค่ะ คุณหนู”

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เหม่ยจิ่ง กล่องหยกนี้เจ้าจำเป็นต้องมอบให้หัวหน้าตระกูลหวังกับมือ นอกจากเขา ห้ามมอบให้ผู้อื่นเด็ดขาด จำได้หรือไม่?”

 

 

เหม่ยจิ่งกราบลงไปทันทีว่า “เหม่ยจิ่งจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

 

 

มั่วชิงเฉินถึงได้พยักหน้า พาอีกาไฟกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาว บินสู่เขาโฮ่วเต๋อ