บทที่ 204 สะกดรอยตาม

หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้ตัวเองตายอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อชักจะสำนึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้ตัวเองปฏิเสธความหวังดีของเนี่ยเฟิ่งหลินแล้ว ถ้ามีคนส่งตัวเองกลับบ้านคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ท้องฟ้าในเวลานี้ดูมืดสนิท

สองข้างทางมีแต่คูน้ำและต้นไม้ บรรยากาศวังเวงไร้ซึ่งแสงสว่าง

ต่อให้เป็นพระจันทร์บนฟ้าก็ยังถูกเมฆครึ้มหนาบดบังเอาไว้

อาจเป็นเพราะฝนกำลังจะตก จึงมีลมเย็นพัดวูบมา ส่งผลให้ความเจ็บปวดบนบาดแผลของจางซิ่วเอ๋อแล่นริ้วขึ้นมา

จางซิ่วเอ๋อหันกลับไปมองเป็นหนที่สามแล้ว บัดนี้ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ “ใครอยู่ข้างหลังข้า! ออกมานะ! เจ้าอย่าคิดว่าการสะกดรอยตามข้าลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้แล้วข้าจะกลัวเจ้า!”

“คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าตกใจ” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมา คล้อยหลังเสียงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็เห็นเงาสีเทาเงาหนึ่งเดินออกมา

จางซิ่วเอ๋อผงะไปนิดหน่อย เสียงนี้ออกจะคุ้นหูอยู่หน่อย ๆ

รอจนจางซิ่วเอ๋อมองเห็นชัดแล้วว่าใครกันที่มา นางก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “หนิงอัน?”

“อืม ข้าเอง” เนี่ยหย่วนเฉียวรับคำยิ้ม ๆ

นาทีนี้จางซิ่วเอ๋อสบายใจแล้วจริง ๆ “ทำไมถึงพบเจ้าที่นี่ได้ล่ะ?”

“ข้ามาทำธุระที่นี่ เห็นเจ้ากำลังเดินกลับพอดีจึงตามอยู่หลังเจ้า”

เนี่ยหย่วนเฉียวพูดมาถึงตรงนี้แล้วเสริมขึ้นอีก “ข้ากลัวว่าเจ้าจะตกใจจึงไม่ได้เผยตัวออกมา คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ทำให้เจ้าตกใจจนได้”

จางซิ่วเอ๋อเห็นเนี่ยหย่วนเฉียวแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเล็กน้อย “เจ้าจะไปไหนเหรอ? เราร่วมทางไปด้วยกันดีไหม?”

พูดจบจางซิ่วเอ๋อก็มองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างมีความหวัง

แม้ว่าคนที่เดินออกมาคือเนี่ยหย่วนเฉียว แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกตลอดว่าอาจมีภยันตรายอย่างอื่นซ่อนอยู่ในเงามืด เพราะฉะนั้นเวลานี้จางซิ่วเอ๋อจึงไม่กล้าเดินทางคนเดียว

เป็นเพราะวันนี้นางถูกพาตัวไปที่ตระกูลเนี่ย แม้จะดูนิ่งสงบเยือกเย็น ทว่าที่จริงก็ได้รับความหวาดหวั่นมาเหมือนกัน นาทีจึงหวาดกลัวขึ้นมาเป็นธรรมดา

เนี่ยหย่วนเฉียวเอ่ยยิ้ม ๆ “ข้ากำลังจะไปล่าสัตว์ที่หมู่บ้านชิงสือพอดีเลย เช่นนั้นร่วมทางกันไปก็ได้”

จางซิ่วเอ๋อดีใจมาก “เยี่ยมเลย หลังจากถึงบ้านข้าแล้วเจ้ามากินข้าวที่บ้านข้าก็ได้นะ”

เนี่ยหย่วนเฉียวกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

จางซิ่วเอ๋อตื่นเต้นจึงเดินเร็วไปหน่อย บาดแผลนางจึงกำเริบขึ้นมาจนนางร้องโอ๊ยเบา ๆ

เนี่ยหย่วนเฉียวเห็นแบบนั้นแล้วนัยน์ตาหม่นหมองลงในบัดดล “เจ้าบาดเจ็บเหรอ? อาการหนักไหม?”

จางซิ่วเอ๋อรีบบอก “ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

เห็นท่าทางดื้อรั้นของจางซิ่วเอ๋อแล้ว เนี่ยหย่วนเฉียวก็ก้าวฉับไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและนั่งยอง ๆ ลงด้านหน้าจางซิ่วเอ๋อ

จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างไม่เข้าใจ “นี่เจ้า?”

“ขึ้นมา” เสียงของเนี่ยหย่วนเฉียวทุ้มต่ำ

จางซิ่วเอ๋อกระแอมเบา ๆ “เจ้าคงไม่ได้คิดจะแบกข้าขึ้นหลังใช่ไหม?”

“ไม่ได้เหรอ?” เนี่ยหย่วนเฉียวถามกลับ

จางซิ่วเอ๋อพูดขึ้นอย่างอึดอัด “ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก เพียงแต่…..ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน….แบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไหร่”

“ระหว่างทางคงไม่มีใครเห็นหรอก อีกอย่างในตอนนั้นเจ้าก็เคยลากข้ากลับเข้าบ้านแล้วไม่ใช่หรือไง?” เนี่ยหย่วนเฉียวย้อนถาม

จางซิ่วเอ๋อยังอยากจะปฏิเสธด้วยสัญชาตญาณ ต่อให้เป็นคนที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่มากแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็ไม่อาจขี่หลังผู้ชายแบบนี้ได้

“คือว่า เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ต้องการจริง ๆ ข้าเดินเองได้” จางซิ่วเอ๋อกล่าว

“เจ้าเลิกฝืนได้แล้ว ลมมันเย็นมาก หากเจ้าบาดเจ็บแล้วยังเดินอยู่แบบนี้จะป่วยเอาง่าย ๆ นะ” เนี่ยหย่วนเฉียวเอ่ยขึ้นอีก

ในขณะที่ทั้งสองต่างยืนกรานในจุดยืนตัวเอง เนี่ยหย่วนเฉียวหรี่ตาและพูดขึ้น “ถ้าเจ้าไม่ขึ้นหลังข้า ข้าคงได้แต่อุ้มเจ้ากลับไป”

หน้าของจางซิ่วเอ๋อแดงขึ้นมา “เจ้า…..จะทำแบบนั้นได้อย่างไรเล่า!”

นางรู้ว่าเนี่ยหย่วนเฉียวหวังดี แต่ถ้าปล่อยให้เนี่ยหย่วนเฉียวอุ้ม…..นางไม่กล้าที่จะคิดต่อเลย สู้ยอมขี่หลังเขายังจะดีกว่า

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกถึงความจริงจังผ่านน้ำเสียงของเนี่ยหย่วนเฉียว รู้ว่าตัวเองคงปฏิเสธเนี่ยหย่วนเฉียวไม่ได้ จึงได้แต่หมอบตัวลงบนหลังของเนี่ยหย่วนเฉียว

ถึงเนี่ยหย่วนเฉียวจะไม่ได้ดูบึกบึน ออกจะผอมบางด้วยซ้ำ ทว่าแผ่นหลังของเขากลับให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างคาดไม่ถึง

เขาเดินเร็วมาก และก้าวอย่างมั่นคง

ตอนแรกจางซิ่วเอ๋อยังเกร็งตัวอยู่ แต่พอผ่านไปเรื่อย ๆ​ จางซิ่วเอ๋อก็ปล่อยตัวตามสบาย

จางซิ่วเอ๋อรำพึงในใจ ที่หนิงอันทำดีกับตัวเองขนาดนี้คงเป็นเพราะตัวเองเคยช่วยเขามาก่อนสินะ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วจางซิ่วเอ๋อก็เลิกฟุ้งซ่านในใจ

รถม้าคันหนึ่งแล่นมาตามทาง

รถม้าเคลื่อนผ่านเนี่ยหย่วนเฉียวและจางซิ่วเอ๋อไป เด็กขับรถม้าพลันหยุดรถลง

เขาเลิกม่านรถม้าขึ้นและบอกกับคนด้านใน “คุณชาย เหมือนข้าจะเห็นจางซิ่วเอ๋อ”

เสียงใสดังออกมาจากด้านใน “ข้าก็เห็นเหมือนกัน”

“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?” ตวนอู่ถามอย่างระมัดระวัง

ใช่แล้ว นี่คือรถม้าของตระกูลฉิน

ตอนที่คุณชายฉินได้พบชุนเถาออกจะสายไปหน่อยจึงมาช้าไปหนึ่งก้าว

คุณชายฉินหรี่ตาและนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ภาพที่เนี่ยหย่วนเฉียวแบกจางซิ่วเอ๋อไว้บนหลัง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าบางทีจางซิ่วเอ๋ออาจจะรู้ทุกอย่าง

วันนี้ตอนที่เขารู้ว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นภรรยาที่แก้ชงให้เนี่ยหย่วนเฉียว เขายังคิดว่าจางซิ่วเอ๋อไม่รู้เรื่องอะไรเลยเสียอีก

คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นภาพนี้

แววตาของเขามืดครึ้มลง เขาแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “น่าเสียดายที่ข้านึกถึงเจ้าขนาดนี้”

“คุณชาย?” ตวนอู่ฟังไม่ชัดว่าคุณชายฉินพูดเสียงแผ่วเบาว่าอะไร จึงเอ่ยถาม

คุณชายฉินปริปาก “กลับกันเถอะ”

“แล้ว…..”

“ช่างเถอะ เราไม่ต้องเป็นห่วงจางซิ่วเอ๋อนั่นแล้ว ประเดี๋ยวตอนผ่านทางก็ห้ามทักทายจางซิ่วเอ๋อ เคลื่อนผ่านไปให้ไวเลย” คุณชายฉินสั่ง

ตวนอู่ไม่เข้าใจนิดหน่อย ทำไมคุณชายของตัวเองอุตส่าห์มาช่วยจางซิ่วเอ๋อ กลับไม่ให้จางซิ่วเอ๋อรับรู้ล่ะ

ต่อให้ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ต้องโผล่หน้าไปให้จางซิ่วเอ๋อเห็นหน่อยสิ จะได้ให้นางสำนึกบุญคุณ

แต่ตวนอู่ไม่กล้าบอกความคิดของตัวเองออกไป

เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้คุณชายของตัวเองกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาเองคงไม่ไปแส่หาเรื่องหรอก

จางซิ่วเอ๋อในตอนนี้ไม่รู้เรื่องของคุณชายฉินเลยสักนิด นางหลับไปบนหลังของเนี่ยหย่วนเฉียวโดยไม่รู้ตัว

เนี่ยหย่วนเฉียวรู้สึกถึงเสียงลมหายใจเป็นจังหวะจากคนบนหลังตัวเอง เขาจึงเดินเร็วขึ้นและมั่นคงขึ้น

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกถึงความสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นนางจึงลืมตาขึ้น

เวลานี้จางซิ่วเอ๋อถึงพบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงแล้ว จางชุนเถาที่ตาบวมเป็นเผาเต่ากำลังนั่งมองนางอยู่ข้าง ๆ

“พี่ ข้ารู้ว่าพี่เหนื่อย แต่เรากินข้าวกันก่อนเถอะนะ ทำความสะอาดแผลก่อนแล้วค่อยนอน” จางชุนเถาพูดอย่างเป็นห่วง

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกคันที่แผลแล้ว