ตอนที่ 119 ตำหนิ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 119 ตำหนิ

หลี่ซื่อนิ่งกว่าอันหลิงอีอยู่มาก ใบหน้าของนางมิได้เปลี่ยนไปแล้วเอ่ยปลอบอันหลิงอีว่า “เจ้ามิต้องกลัว ในเมื่อท่านย่าผลักความผิดให้สาวใช้แล้ว จักมิเอาเรื่องนี้มาทำให้เจ้าลำบากอีกแน่ บางทีนางอาจตำหนิเจ้าเสียหน่อย พอถึงเวลานั้นเจ้าก็ตั้งใจฟัง ทำให้ท่านย่ารู้ว่าเจ้าสำนึกผิดแล้วก็พอ”

อันหลิงอีไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วก็น่าจักมีความเป็นไปได้

อันหลิงอีพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินตามหลี่ซื่อไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า

ทางด้านหวังซื่อที่มิทราบว่าไปรู้เรื่องมาจากที่ใดก็สั่งสาวใช้สองสามคนให้ติดตามตนไปที่เรือนชิงเฟิงเพื่อรับชมเรื่องสนุก

ตั้งแต่หวังซื่อตั้งครรภ์ก็ทำตัวเรียบร้อยกว่าเดิม มิได้เหมือนเมื่อก่อนที่ชอบเข้ามาผสมโรงเรื่องของผู้อื่น แม้แต่เรื่องที่อันหลิงเกอกับอันหลิงเฉว่ทะเลาะกันก็ทำให้นางหวั่นไหวมิได้ แต่ในตอนนี้เรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอันหลิงอีจึงทำให้นางอารมณ์ดีและเดินทางมาดูละครฉากเด็ด

ผู้ใดจักรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เรียกแค่อันหลิงอีเท่านั้น นางยังสั่งคนไปตามเจ้านายทุกคนในจวนโหวมาด้วย แม้แต่อันอิงเฉิงที่กำลังยุ่งกับงานราชการก็มิได้รับการยกเว้น ทั้งยังมีครอบครัวของอันอิงหาวและอันอิงคังแบบมิตกหล่น

ในตอนนี้หวังซื่อรู้ดีแก่ใจว่าอันหลิงอีก่อภัยครั้งใหญ่ แต่นางก็มิรีบร้อนไปที่เรือนชิงเฟิง ทว่าค่อย ๆ ก้าวเดินตามอันอิงหาวผู้เป็นสามีไปยังเรือนฮูหยินผู้เฒ่า

ด้านอันหลิงเกอที่ยังมิกลับไปที่เรือนก็เห็นอันหลิงจุน อันหลิงห่าวและคนอื่น ๆ ถูกเรียกมาที่เรือนชิงเฟิงนี้แล้ว ต่อจากนั้นมินานเรือนชิงเฟิงก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน

“ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้เพราะมีเรื่องอยากกล่าวเกี่ยวกับเกอเอ๋อ” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาเสียงเข้ม ก่อนหน้านี้นางได้สาวใช้ช่วยประคองกลับมานอนหลับครู่หนึ่ง ในตอนนี้ใบหน้าของนางจึงดูดีขึ้นมากทีเดียว

ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ายังคมกริบราวกับนกอินทรี ขณะมองบรรดาบุตรหลานที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม “เดิมทีวันนี้เป็นวันทดสอบของสำนักศึกษาจิงตู ทว่าอีเอ๋อสั่งให้สาวใช้ลงมือกับม้าของเกอเอ๋อ เป็นเหตุให้เกอเอ๋อเกือบตาย และยังทำให้สำนักศึกษาจิงตูต้องหยุดการทดสอบลง เรื่องนี้ต้องถูกรายงานถวายไปยังฮ่องเต้อย่างแน่นอน”

เมื่ออันอิงเฉิงได้รับฟังก็ขมวดคิ้วทันที จากนั้นดวงตาเฉียบคมก็จ้องมองไปทางอันหลิงอีพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมิพอใจ “อีเอ๋อ ! เจ้าทำเรื่องเยี่ยงนี้จริงหรือ ? ”

เนื่องจากอันอิงเฉิงรักและโปรดปรานหลี่ซื่อมากกว่าผู้ใดจึงพลอยเอ็นดูอันหลิงอีมาโดยตลอด เข้าใจว่าลูกสาวคนรองเป็นเด็กดี ชอบเอาใจใส่ผู้อื่น ร่าเริงและรู้ความ โดยเขาทำตัวเหินห่างกับอันหลิงเกอ

แม้เขารู้ว่าอันหลิงอีโดนตามใจจนเสียนิสัย แต่เขาก็ยังคิดว่าเป็นเพียงนิสัยของเด็กสาว

มิใช่เรื่องใหญ่อันใด

ทว่าเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้กล่าวออกมาเอง อันอิงเฉิงจึงรู้สึกถึงความร้ายแรง

อันหลิงอีหลบสายตาบิดาแล้วไปซ่อนอยู่ด้านหลังหลี่ซื่อ แต่ก็ยังตอบออกมาด้วยความลังเล “ท่านพ่อเจ้าคะ ละ…ลูกก็แค่อยากสอบได้คะแนนดีและทำให้จวนโหวของเรามีหน้ามีตา เช่นนั้นจึงให้คนป้ายยาใส่ม้าของผู้อื่น แต่ผู้ใดจักรู้ว่าม้าตัวนั้นเกิดพยศขึ้นมา ลูกมิได้ตั้งใจทำร้ายพี่หญิงใหญ่เลยเจ้าค่ะ”

อันหลิงอีกล่าวพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม ท่าทางเสียใจและโทษตนเองช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก “อีกอย่าง ลูกได้เอ่ยขอโทษพี่หญิงใหญ่ไปแล้ว ลูกรู้สึกผิดจากใจจริงและต่อไปจักมิทำเรื่องเยี่ยงนี้อีกแน่เจ้าค่ะ”

เมื่ออันหลิงอีกล่าวจบ หวังซื่อก็หัวเราะเสียงดังออกมาจากทางด้านข้าง แม้ท้องของนางยังมิเผยให้เห็นชัดเจน ทว่าใบหน้าก็อ้วนกลมขึ้นมาเล็กน้อย “อีเอ๋อช่างกล่าวได้คล่องปากเสียจริง เจ้าบอกว่าอยากสอบได้คะแนนดี แต่เกือบคร่าชีวิตของเกอเอ๋อ เจ้ารู้ไหมถ้าฮ่องเต้เอาโทษเพราะเรื่องนี้ขึ้นมา คนที่รับเคราะห์ตามไปด้วยคือพวกเราทั้งจวนโหว ! ”

หลี่ซื่อและหวังซื่อมิถูกกัน หลังจากหลี่ซื่อได้ยินหวังซื่อเยาะเย้ยบุตรสาวก็อดมิได้ที่จักเถียงออกไป “อีเอ๋อก็พูดแล้วว่านางมิได้ตั้งใจ อีกทั้งท่านแม่ก็สั่งโบยสาวใช้คนสนิทของนางจนตาย เหตุใดสะใภ้หวังยังตามกัดมิปล่อย ? ”

“พอได้แล้ว ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าตะคอกออกมาด้วยความโกรธ แววตาแฝงไปด้วยโทสะ “ที่ข้าให้พวกเจ้ามาที่นี่ มิได้อยากนั่งฟังพวกเจ้าปัดความรับผิดชอบใส่กัน ข้าออกคำสั่งไปแล้ว มิว่าผู้ใดมาถามถึงเรื่องนี้ก็จงบอกว่ามีแค่สาวใช้ของอีเอ๋อเป็นคนลงมือ ฮ่องเต้มิมีทางลงโทษจวนโหวได้อย่างแน่นอน”

ฮูหยินผู้เฒ่าถือเป็นผู้ที่น่าเกรงขามที่สุดในจวนโหว เมื่อนางเอ่ยปากผู้ใดก็มิกล้าเถียงกลับ ทำให้คนทั้งห้องโถงต้องฟังฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนอย่างพร้อมเพรียง

“ข้าจักใช้เรื่องนี้สอนพวกเจ้าว่า*หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง อย่าหลงเข้าใจผิดว่าพวกเจ้าเล่นลูกไม้กับผู้อื่นแล้วจักรอดตัวไปได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วข้าจักมิรื้อฟื้นขึ้นมาอีก หากต่อไปข้ารับรู้ว่าผู้ใดทำเพราะเรื่องส่วนตัวแล้วมิสนผลประโยชน์หรือเกียรติยศของจวนโหว ข้ามิปล่อยไปอย่างแน่นอน ! ”

“ท่านแม่วางใจได้ ต่อไปข้าจักสั่งสอนบุตรให้เข้มงวดกว่านี้และมิมีทางปล่อยให้เรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นอีก”

ในฐานะผู้นำของตระกูล อันอิงเฉิงก็รีบออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจน

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “นี่ก็ใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้ว พวกเจ้าอย่ากังวลกับเรื่องนี้อีกเลย ส่วนอันอิงหาว ถึงแม้เจ้ากำลังมีบุตรอีกคน ทว่าอย่าลืมห่าวเกอร์เอ๋อ เพราะก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของเจ้า จักต้องสนใจเขาให้มากหน่อย”

“ท่านย่าโปรดวางใจ หลานยังอยู่ดีและท่านมิต้องกังวลขอรับ” อันหลิงห่าวที่มีรูปร่างสูงใหญ่เพิ่งอายุ 15 ปีเท่านั้น

ท่าทางเหมือนหนอนหนังสือ นิสัยมิคล้ายผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย เขามิหลงระเริงในสุรานารีเหมือนบิดา แต่ก็มิชอบผสมโรงกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงหวังซื่อ ถือว่าเป็นบุรุษนิสัยดีที่หาได้ยากยิ่ง

เมื่ออันหลิงห่าวกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูดีขึ้นมาบ้าง

ถ้าบอกว่าอันหลิงเฉว่คือหลานสาวคนโปรดที่สุดของนาง ในบรรดาหลานชายก็ให้ความสำคัญกับอันหลิงห่าวมากที่สุด

หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ายังสอนอันอิงหาวอีกสองสามประโยคว่าให้เขาอย่าเสพติดสุราหรือความงามของสตรีมากนัก ควรสนใจในงานราชการมากขึ้น

อันอิงหาวตอบรับไปตามสถานการณ์ ส่วนจักทำได้หรือไม่ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ

ในที่สุดก็มาถึงบ้านสามของอันอิงคัง สายตาฮูหยินผู้เฒ่ามองไปทางเจิ้งซื่อ แต่มิได้กล่าวอันใดออกมา

เจิ้งซื่อมีความอ้อนน้อม ตั้งแต่เข้าจวนก็มิเคยก่อเรื่องอันใด ฮูหยินผู้เฒ่าอยากสั่งสอนนางแต่ก็มิรู้จักกล่าวเยี่ยงไร

“ใบหน้าของเฉว่เอ๋อมีบาดแผล ต้องรักษาให้ดีและอย่าให้เกิดเรื่องเยี่ยงนี้อีก” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูผ่อนคลายขึ้นมาก นางมิได้เป็นห่วงอันหลิงเฉว่มากเยี่ยงในอดีตแล้ว

เพียงกล่าวออกมาลอย ๆ เพื่อให้เจิ้งซื่อได้ยิน

อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายยังโกรธตนอยู่จึงรู้สึกร้อนใจ แต่ก็คิดมิออกว่าจักทำเยี่ยงไร คงได้แต่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหายโกรธแล้วค่อยไปออดอ้อน เมื่อถึงเวลานั้นท่านย่าต้องให้อภัยอย่างแน่นอน

“มิมีอันใดแล้วพวกเจ้าก็จำสิ่งที่ข้ากล่าวในวันนี้ให้ขึ้นใจ หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง แต่อย่าฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา เอาล่ะ พวกเจ้ากลับกันได้แล้ว”

อันหลิงอีถอนหายใจ จากนั้นก็รีบตามหลี่ซื่อกลับไปทันที

ส่วนเหยื่อของเรื่องนี้เยี่ยงอันหลิงเกอก็เหมือนโดนฮูหยินผู้เฒ่าลืมไปเสียสนิท นางมิได้รับคำปลอบโยนจากผู้นำครอบครัวแม้แต่ประโยคเดียว

แม้แต่อันหลิงจุนยังรู้สึกโกรธ เขาจึงมิได้กลับเรือนของตน ทว่าตามพี่สาวไปยังเรือนฉีอู๋แทน

*หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ คือหากมีคนหนึ่งโดนทำลายหรือเจริญรุ่งเรือง คนอื่นก็จักได้รับผลเยี่ยงนั้นเช่นกัน