บทที่ 153 คนเป็นหมอควรมีจิตใจของพ่อแม่

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ขยะสังคม สำหรับขยะสังคมที่รู้จักแต่สูบเลือดสูบเนื้อของคนอื่นประเภทนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่พูดจาให้มากความ และจะไม่ประณีประนอม ถึงกับนำชีวิตคนอื่นมาล้อเล่น ถ้าไม่ให้เงินก็ไม่ให้ขึ้นรถ ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะรู้ดีว่านี่เป็นกฎเกณฑ์ลับๆ ของรถพยาบาลส่วนใหญ่ แต่ว่าขอเพียงถูกเขาพบเข้าเขาก็จะไม่เกรงใจ ในสังคมแห่งนี้มีกฎเกณฑ์ลับๆ อยู่มากมาย และเป็นเพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้ จึงทำให้คนจำนวนมากเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คน เปลี่ยนไปเป็นเลือดเย็น เปลี่ยนไปเป็นไร้มนุษยธรรม

“คุณ คุณคิดจะทำอะไรครับ? ไม่อยากให้พวกเราช่วยเธอแล้วใช่ไหม?” หมอชายอีกคนหนึ่งเห็นเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วชี้มือขวาชี้ไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้น

คนเป็นหมอควรจะมีจิตใจของพ่อแม่ นั่นเป็นคำในยุคสมัยโบราณเพียงเท่านั้น ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของเงินตรา ไหนเลยจะยังมีหมอที่มีจิตใจของพ่อแม่อยู่ ท่ามกลางอาชีพการงานมากมาย โดยเฉพาะงานทางด้านการแพทย์ จะมีผู้ป่วยที่ไหนที่กล้าล่วงเกินหมอ? มีครอบครัวของผู้ป่วยคนใดกล้าล่วงเกินหมอ? เมื่อเห็นหมอก็เหมือนกับเห็นพ่อแม่ เนื่องจากพวกเขาสามารถรักษาชีวิตของคุณเอาไว้ได้ นี่จึงทำให้คนส่วนใหญ่มีความเคารพต่อหมอ กระทั่งส่งของขวัญมอบเงิน จึงเป็นเหตุให้หมอบางคนไม่เพียงแต่รับเงินสินบน แต่ยังทำให้หน้าที่ของคนเป็นหมอยุ่งเหยิง สูญเสียจรรยาบรรณแพทย์ อีกทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าผู้ป่วยหรือว่าครอบครัวผู้ป่วยไม่ยอมให้ของขวัญ ก็จะไม่ยอมตรวจรักษาให้ดีๆ หลายครั้งที่ไม่ใช่การตรวจรักษา แต่เป็นการตรวจคน ตรวจเบื้องหลังครอบครัวของคนว่ามีเงินหรือไม่ หากไม่มีเงินก็จินตนาการได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร

“ให้หมอขยะพวกแกช่วย ช่วยไปก็เสียเปล่า สู้ให้ฉันสั่งสอนพวกแกหน่อยจะดีกว่า!”

พลั่ก!

อีกครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินเตะหมอชายคนนั้นจนปลิวออกไปแล้วตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความกับหมอขยะแบบนี้อยู่แล้ว หวังว่าจะให้พวกเขาช่วยเหลือ ไม่สู้หวังให้พวกเขาฆ่าคนเสียยังจะดีกว่า

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่ขอร้องหมอสามคนนี้ กลับยังลงมืออย่างเด็ดขาด อัดหมอชายทั้งสองคนจนหมอบลงกับพื้นและร้องโอดครวญออกมา เกรงว่าในสังคมปัจจุบันนี้ คนที่กล้าทำแบบนี้มีเพียงไม่กี่คน พวกหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินกำลังทำอะไรอยู่ หากเป็นคนปกติทั่วไปจะต้องขอร้องหมอหลายคนนี้จึงจะถูก หรือบางทีอาจจะให้เงินพวกเขา เพื่อให้พวกเขาพาแม่ของเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาล แต่เย่เทียนเฉินกลับเลือกทางเดินที่ต่างออกไป

“คุณถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคน หึ ฉันจะดูซิว่าคุณยังจะอยากให้พวกเราช่วยคนอยู่หรือเปล่า พวกเราไป!” พยาบาลหญิงวัยกลางคนที่เหลืออยู่คนนั้นพูดขึ้นมาอย่างโอหัง

ในตอนที่หมอทั้งสามคนอย่างพวกเขายังไม่ได้มีปฏิกิริยา ต่างก็กำลังจมอยู่กับความคิดเหมือนสมัยก่อนอยู่ ไม่มีผู้ป่วยและครอบครัวคนใดที่กล้าไม่เคารพพวกเขา เป็นเช่นนี้จริงๆ ในหมู่พวกเขาสามคนนี้มีคนที่เป็นหมอมาแล้วยี่สิบกว่าปี ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อเห็นผู้ป่วยเหล่านั้นและครอบครัวของผู้ป่วย ก็ล้วนแต่มีใบหน้ายิ้มแย้มออกมาต้อนรับ แล้วส่งซองแดงมาให้ ไหนเลยจะทำเหมือนเย่เทียนเฉิน ลงมือทำร้ายหมอ?

น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดไปแล้ว เย่เทียนเฉินทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ที่ทนมองไม่ได้ที่สุดก็คือพวกขยะที่มีนิสัยเลวทรามเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่า หากคนเป็นหมอล้วนไม่มีจิตใจเมตตาสงสาร ทุกๆ คนต่างก็สามารถป่วยได้ แล้วใครจะมาช่วยกันล่ะ?

“มนุษยธรรม เดิมทีผู้หญิงก็ควรจะมีความดีงามมากกว่าผู้ชาย แต่ว่ามีผู้หญิงที่เลวร้ายอย่างเธอโผล่ออกมา ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด!”

เพี๊ยะ!

ตบหน้าไปครั้งหนึ่ง พยาบาลหญิงวัยกลางคนคนนั้นถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบจนล้มลงไปกับพื้น ตกใจจนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก กุมหน้าพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน สั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“เทียนเฉิน…” หลิงอวี่สวิ๋นดึงแขนเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ฉันรู้แล้ว ตอนนี้พวกเราใช้รถของเธอพาแม่ของหยาเอ๋อร์ไปส่งที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเถอะ!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูดอย่างจริงจัง

“อืม!” หลิงอวี่สวิ๋นพยักหน้าตอบรับโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ จู่ๆ หลิงอวี่สวิ๋นก็พบว่าตอนที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ทำตัวเหลาะแหละ จะมีกลิ่นอายของลูกผู้ชายมากขึ้น ให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์มากขึ้น แน่นอนว่านี่จำกัดอยู่เพียงแค่ตอนที่คนคนนี้กำลังทำเรื่องจริงจังเท่านั้น แต่เมื่อไม่ได้จริงจัง เย่เทียนเฉินก็จะฟื้นคืนสู่สภาพของอันธพาลอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอื่นหดหู่อย่างหาที่เปรียบมิได้

“หยาเอ๋อร์ คุณลุงครับ พวกเรารีบพาคุณป้าไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ ไม่อาจยืดเยื้อได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาและพ่อแม่ของเธอพลางกล่าว

“ได้ ได้ครับ!” พ่อของเสี้ยวหยารีบเข้าไปประคองแม่ของเสี้ยวหยา

“ขะ ขอบคุณนายมาก!” เสี้ยวหยาพูด กัดริมฝีปากล่างของตนเอง มองเย่เทียนเฉินทั้งๆ ที่หางตายังมีน้ำตาคลออยู่

ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า เสี้ยวหยาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์ คุณธรรมจรรยาล้วนดีเลิศ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ควรจะได้รับความลำบากเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางร้องไห้เสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็คิดอยากจะปกป้องเธอเอาไว้ในอ้อมกอด ไม่อยากให้เธอถูกทำร้ายแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้เขาคิดไปถึงผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด

“ไม่ ไม่เป็นไร พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เสี้ยวหยาและพ่อของเธอพยุงแม่ของเสี้ยวหยาเดินไปขึ้นรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างนอก ส่วนเย่เทียนเฉินอยู่ด้านหลังโยนหมอทั้งสองและพยาบาลออกไป หมอขยะแบบนี้ หากหวังจะให้พวกเขาช่วยชีวิตคน คงเป็นฝันกลางวันโดยสิ้นเชิง

ยังคงมีหลิงอวี่สวิ๋นเป็นผู้ขับ เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ เสี้ยวหยาและพ่อแม่ของเธอนั่งอยู่ด้านหลัง มือทั้งสองของแม่ของเสี้ยวหยากุมอยู่บริเวณเอวของตนเอง ปวดจนใบหน้าซีดขาว กระทั่งยืดเอวตรงๆ ยังทำไม่ได้ เสี้ยวหยากอดแม่ของตนเองไว้อย่างกระวนกระวาย เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก

“อวี่สวิ๋น ขับช้าหน่อย!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

“อืม!” หลิงอวี่สวิ๋นพยักหน้าแล้วสตาร์ทรถ

เมื่อเย่เทียนเฉินและคนอื่นๆ ไปถึงโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองหลวง ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาล แม้ว่าจะมีห้องฉุกเฉินอยู่ แต่หมอเวรห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่ล้วนมีฝีมือทางการแพทย์ต่ำ ไม่สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมาถึงเวลาในตอนนี้แล้ว แม่ของเสี้ยวหยาก็เป็นลมไป มีอาการป่วยถึงขั้นร้ายแรงแล้ว

“พี่สาวพยาบาลคะ ขอร้องล่ะค่ะ ช่วยหาหมอมาวินิจฉัยให้แม่ของหนูที ขอร้องล่ะค่ะ!” เสี้ยวหยาเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล พูดกับพยาบาลที่ทำหน้าที่เข้าเวร

“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้เลยหกโมงไปแล้ว หมอดีๆ ที่ไหนจะไม่พักผ่อนเร็วๆ ล่ะคะ? ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องการรักษาเฉพาะทาง จะต้องทำการนัดหมายก่อน อาการป่วยของแม่ของคุณถึงแม้ว่าจะรุนแรงสาหัส แต่หลังจากแช่น้ำก็จะอุ่นลงบ้าง เข้าพักก่อนเถอะค่ะ มีค่าใช้จ่ายสามพันห้าร้อยค่ะ!” พยาบาลตรงเคาน์เตอร์พูดพลางส่ายหัว

“แต่ว่า แต่ว่าแม่ของหนูปวดมาก แค่แช่น้ำก็จะไม่เป็นอะไรจริงเหรอคะ? ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น…” เสี้ยวหยามองไปยังพยาบาลหญิงคนนั้นด้วยท่าทางลำบากใจ

พยาบาลหญิงที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์บริการคนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้พูดจารุนแรงแต่ก็มีท่าทางวางมาด มองเสี้ยวหยาแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้น “น้องสาวคะ พี่ขอพูดกับหนูตรงๆ พักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนก็ต้องใช้เงินสามพันห้าร้อย ดูจากอาการป่วยของแม่หนูแล้วก็ไม่ใช่เบาๆ เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคพรุ่งนี้แล้ว และยังอาจจะต้องทำการผ่าตัด เงินพวกนี้ครอบครัวของหนูสามารถจ่ายไหวหรือเปล่าคะ?”

“นี่…”

เสี้ยวหยาได้ฟังคำพูดของพยาบาลคนนั้น อดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงระเรื่อ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด หลายปีมานี้แม่ถูกความเจ็บปวดจากอาการป่วยทรมานมาตลอด ครอบครัวก็จ่ายเงินที่เก็บสะสมทั้งหมดออกไปแล้ว กระทั่งเงินสองร้อยหยวนที่ต้องให้รถพยาบาลก็จ่ายไม่ไหว ที่เธแสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพึ่งพาทุนการศึกษา เดิมทีเสี้ยวหยาไม่ได้คิดที่จะเข้ามหาวิทยาลัย เธอต้องการใช้ทุนการศึกษามารักษาอาการป่วยให้แม่ จากนั้นจึงจะออกไปทำงานหาเงิน แต่ว่าแม่ไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด บอกว่าถ้าหากเสี้ยวหยาไม่เข้ามหาวิทยาลัย เธอยอมตายดีกว่า นี่เป็นความยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ คิดเพื่อลูกของตนเองชั่วชีวิต

สองร้อยหยวนก็จ่ายไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นสามพันห้าร้อย? เมื่อคิดถึงตัวเลขจำนวนมากนี้ เสี้ยวหยาก็ทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆ หรือจะต้องมองแม่ทรมานจากโรคจนจากไป?

ปัง! บัตรธนาคารสีทองใบหนึ่งถูกวางลงบนเคาน์เตอร์อย่างแรง เย่เทียนเฉินมองพยาบาลคนนั้นแล้วพูดว่า “เงินในนี้ใช้ได้ตามใจ ใช้ยาที่ดีที่สุด นัดหมายหมอเฉพาะทางที่ดีที่สุด!”

“เย่เทียนเฉิน นาย…” เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินตามตัวเองมา พูดออกไปอย่างประหลาดใจ

“วางใจเถอะ แม่ของเธอจะไม่เป็นอะไรแน่!” เย่เทียนเฉินพูด แล้วมองเธอยิ้มๆ

“แต่ว่า เงินของนาย ฉัน…”

“คิดซะว่าฉันให้เธอยืมก็แล้วกัน วันหลังเธอมีก็ค่อยคืนให้ฉัน!”

เย่เทียนเฉินรู้ว่าเสี้ยวหยาเป็นคนที่มีจิตใจเคารพตัวเองอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน ตนเองก็ช่วยนางแบบนี้แล้ว ทำให้ในใจเสี้ยวหยาความรู้สึกไม่ดี เพื่อที่จะไม่ให้เธอรู้สึกผิด เย่เทียนเฉินจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา

“ขอบ ขอบคุณนายมาก!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาอย่างซาบซึ้ง

“ไม่เป็นไร แม่ของเธอจะต้องดีขึ้นแน่นอน เธออย่าร้องไห้ไปเลย เห็นเธอร้องไห้แล้วแม่ของเธอก็คงจะรู้สึกไม่ดี!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่หางตา

“คุณผู้ชายท่านนี้ มั่นใจว่าจะให้ผู้ป่วยเข้าพักแล้วใช่ไหมคะ?” พยาบาลยิ้มพูดกับเย่เทียนเฉิน น้ำเสียงอ่อนนุ่มมาก เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ตอนที่เธอรูดบัตร ได้เห็นจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัตรของเย่เทียนเฉิน ตกใจไปครึ่งวันถึงจะได้สติกลับมา คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าวัยรุ่นที่สวมชุดธรรมดาแบบนี้ จะถึงกับเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่ง

“ต้องเข้าพักแน่นอน ผมบอกแล้ว ใช้ยาที่ดีที่สุด นัดผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด พรุ่งนี้จะต้องวินิจฉัยให้ผู้ป่วย!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด

“ค่ะ ได้ค่ะ แต่ว่า แต่ว่าพวกเราไม่มีเตียงแล้ว ทำได้เพียงลำบากให้ผู้ป่วยค้างคืนอยู่ที่ทางเดินหนึ่งคือ ดูว่าผู้ป่วยมีเตียงหรือไม่แล้วค่อยย้าย!” พยาบาลกล่าว

โรงพยาบาลใหญ่ของเมืองหลวง สามารถพูดได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองภายในประเทศ ย่อมต้องมีผู้ป่วยมากมายเข้ามา เตียงไม่พอเป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก แต่ว่าเย่เทียนเฉินมองสายตาของพยาบาลคนนั้นแล้วดูเหมือนจะมีเรื่องซ่อนเอาไว้ ในเมื่อเขาต้องการที่จะช่วยเสี้ยวหยา ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ต้องช่วยให้ดี!

“รบกวนคุณช่วยดูให้พวกเราอีกทีว่ายังมีห้องผู้ป่วยว่างอยู่หรือเปล่า แพงหน่อยก็ไม่เป็นไร คุณเองก็เข้าใจดี!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ