บทที่ 172 ครึ่งเดือน (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 172 ครึ่งเดือน (2)
ลู่เซิ่งคำนวณในใจ เขาพลันตระหนักได้ว่า รู้จักจตุรัสแดงเพราะพวกนางควบคุมวิญญาณเพื่อรวบรวมคนที่เกิดในปีหยินเดือนหยินเวลาหยิน ซ่งเจิ้นกั๋วเกือบจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย

‘หรือว่าเป้าหมายของผู้คุมจตุรัสแดง…’ ลู่เซิ่งดวงตาหยีเล็กกว่าเดิม

เขาหวนนึกถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดหลังผู้คุมจตุรัสแดงกลับมา เป็นเพราะมีสตรีกางร่มอยู่ ดังนั้นเขาจึงทราบการกระทำทั้งหมดของนางอย่างชัดเจน

นางพอกลับมา ก็เริ่มสร้างหน่วยหลักจตุรัสแดงทันที

จากนั้นก็ตรงดิ่งไปพันธมิตรบู๊ เข่นฆ่าสังหารโดยไม่เสียเวลา ไม่เหมือนกำลังหาคนไต่สวน

แล้วนางก็มาเมืองเลียบคีรี ตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แต่จะต้องไม่ได้มาโดยไม่มีสาเหตุแน่นอน

‘ดูเหมือนต้องไปดูที่หน่วยหลักจตุรัสแดงอีกรอบ ในหน่วยหลักที่เราทำลายไปอาจซ่อนของที่ไม่ธรรมดาบางอย่างไว้’ เขาตาเป็นประกาย สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างได้

พอแยกแยะเป็นภาพรวมแบบนี้ ก็มองออกว่าผู้คุมจตุรัสแดงดั่งคนรักสุราใจไม่อยู่ที่สุรา นางคล้ายมีการเตรียมตัวเพื่อรับมือสมาคมหทัยร่อนเร่

การเตรียมตัวนี้จำเป็นต้องสร้างจตุรัสแดงใหม่ จำเป็นต้องใช้ชีวิตคนจำนวนมาก หนำซ้ำไม่ใช่ชีวิตคนทั่วไป ไม่อย่างนั้นนางก็ทำลายหมู่บ้านได้ตามใจ ไม่ใช่หาข้ออ้างไปลงมือกับพันธมิตรบู๊

การหาข้ออ้างบ่งบอกว่านางไม่อยากให้คนค้นพบแผนการ ตอนนี้ในแดนเหนือไร้คนหยุดนางไม่ให้ทำเรื่องต่างๆ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ นางคิดหาข้ออ้างลงมือ นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่นางเป็นห่วงเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะไม่ใช่ขุมกำลังในแดนเหนือ หากเป็นสมาคมหทัยร่อนเร่

‘การคาดเดานี้แม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็น่าจะใกล้เคียง’ ลู่เซิ่งกระจ่าง ‘ถ้าเดาไม่ผิด ครั้งนี้ผู้คุมจตุรัสแดงเข้าเมืองมาแล้ว นางจะต้องหาข้ออ้างก่อเรื่องอีกแน่’

“รายงาน!” ความคิดเพิ่งทำงาน องครักษ์ใกล้ชิดในพรรคก็มาถึงประตูด้วยความเร็วสูง “รายงานประมุขพรรค จดหมายด่วนจากสาขาในเมืองเลียบคีรี!”

“เอามา!” ลู่เซิ่งใจเต้น กล่าวเสียงดัง

องครักษ์ใกล้ชิดผลักประตูเข้ามา วางจดหมายผนึกเทียนลงบนโต๊ะลู่เซิ่งอย่างระวัง จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งรอคอยการตอบกลับ

ลู่เซิ่งรีบฉีกจดหมาย กวาดตาอ่านดู

‘ชุมนุมเขาบูรพาของเมืองเลียบภูถูกจู่โจม ผู้คุมตรอกแดงฆ่ายอดฝีมือยี่สิบแปดคน สมาคมเขาบูรพาเหลือแค่ชื่อ ยอดฝีมือตายหมดสิ้น’

‘ว่าแล้ว!’ ลู่เซิ่งเคร่งเครียด ‘ผู้คุมจตุรัสแดงกำลังเตรียมตัวรับมือการคุกคามจากสมาคมหทัยร่อนเร่ ถึงว่าเราทำลายหน่วยหลักจตุรัสแดงไป ทำไมยอดฝีมือระดับประมุขจวนอย่างผุ้คุมจตุรัสแดงจึงยังคงไม่ยอมเลิกรา ที่แท้แค่หาข้ออ้างลงมือนี่เอง แต่ก็ดี เบื้องหลังเรามีบารมีตระกูลซั่งหยาง ขอแค่ไม่ถูกพบว่าเป็นฝีมือของเราจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา รออีกแค่ครึ่งเดือน คอยนั่งบนภูเขาดูเสือกัดกันก็พอ’

หลังเข้าใจเป้าหมายของผู้คุมจตุรัสแดงแล้ว ลู่เซิ่งก็ผ่อนคลายลงมาก ศัตรูที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นสมาคมหทัยร่อนเร่

สิ่งที่เป็นอันตรายกับเขาจริงๆ คงจะมีแค่เย่หลิงม่อ

ทว่าปัจจุบันผู้คุมจตุรัสแดงกับรองประมุขสมาคมหทัยร่อนเร่ใกล้จะสู้กันแล้ว เย่หลิงม่อเกรงว่าจะไม่กล้าลงมือมั่วซั่วจนส่งผลต่อการศึก

ทางผุ้คุมจตุรัสแดงก็ไม่กล้าสร้างเรื่องอีก สมาคมหทัยร่อนเร่ที่เดียวก็ทำให้นางลำบากพอแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขายังปลอดภัยอยู่

‘ช่างมัน ยกระดับตัวเองเท่าที่ทำได้ก็พอ ดูดซับปราณภายในกับกินยาล้ำค่า เมื่อทำทั้งสองอย่างแล้ว อยากจะเห็นจริงๆ ว่าเราจะพัฒนาปราณภายในไปได้สูงสุดถึงขั้นไหน! ต้องไปถึงระดับปกป้องตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด’ ลู่เซิ่งวางหยกประกบลงบนโต๊ะ

เขารีบกินอาหารที่เหลืออยู่จนหมด จากนั้นลุกออกจากโถงอาหาร ขึ้นไปยังห้องโอสถของเรือวาฬแดง

หงหมิงจือกับหมอยาชราสองคนกำลังนั่งเถียงอะไรกันสักอย่างในห้องโอสถ ลู่เซิ่งไมได้ทักทายเขา พรรควาฬแดงในตอนนี้เป็นเขาคุมสถานการณ์ใหญ่ หงหมิงจือนับว่ามีความสุขกับช่วงบั้นปลาย

ลู่เซิ่งขอขี้ผึ้งสุคนธ์ทอง แล้วไปยังหน้าต่างบานหนึ่งในห้องโอสถ ผลักหน้าต่างออก ก่อนหยิบขลุ่ยกระดูกเล็กๆ เลาหนึ่งออกมาเป่า

ไม่เกิดเสียงใดๆ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในมุมอับที่พวกหงหมิงจือมองไม่เห็น เป่าต่ออีกหลายอึดใจ ค่อยวางลงช้าๆ

ไม่ทันไร นกพิราบส่งสารสีขาวที่มีดวงตาดำสนิทก็โผบินมาจากที่ไกล แล้วทิ้งตัวลงบนกรอบหน้าต่างอย่างแผ่วเบา

ลู่เซิ่งหยิบพู่กัน ถ่านกับกระดาษออกมาจากในตู้ข้างหน้าต่าง เขียนประโยคสองสามประโยคง่ายๆ ก่อนม้วนกระดาษ มัดกับขานกพิราบส่งสารพร้อมกับหยกประกบสีดำ

“ไป”

เขาปล่อยนกพิราบ มองมันกระพือปีกบินหายไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วเหมือนกับลูกศรออกจากสาย ค่อยกลับไปห้องหนังสือที่ประมุขพรรคใช้จัดการภารกิจโดยรวม

เขาเดินเข้าห้องหนังสือ อวี้เหลียนจื่อรออยู่ที่นั่นแล้ว

“ประมุขพรรค รายชื่อทั้งหมดจัดการเรียบร้อยแล้ว ด้วยเครือข่ายข้อมูลของพรรควาฬแดง สามารถจัดลำดับยอดฝีมือมีชื่อในแดนเหนือจนกลายเป็นทำเนียบรายชื่อที่ท่านเคยพูดถึงได้” อวี้เหลียนจื่อตื่นเต้นอยู่บ้าง

บุ๋นไม่มีหนึ่งบู๊ไม่มีสอง ประวัติศาสตร์เป็นเช่นนี้ ทุกคนบอกว่าประมุขพรรควาฬแดงลู่เซิ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ แต่อันดับสองเล่า อันดาบสามเล่า ไม่มีใครรู้

ไม่ว่าใคร เมื่อประสบความสำเร็จ ต่างอยากรู้ว่าความสามารถของตนเองจัดเป็นอันดับที่เท่าไหร่ในภาพรวม

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงใช้ประโยชน์จากการที่คนธรรมดาชอบชื่อเสียง ให้อวี้เหลียนจื่อส่งคนไปจัดระเบียบรวบรวมรายชื่อยอดฝีมือที่โด่งดังในแดนเหนือ

เพื่อจัดทำเนียบยอดฝีมือของแดนเหนือ

แน่นอนว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือการลอบค้นหาเป้าหมายสำหรับลอบโจมตีดูดซับปราณภายใน

“ดีมาก ได้จัดลำดับยอดฝีมือที่สูงกว่าระดับผนึกจิตขึ้นไปแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างพอใจ

“จัดการเรียบร้อยแล้ว ผลการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ว่าการคำนวณจัดลำดับชื่ออย่างคร่าวๆ ไม่มีปัญหา” อวี้เหลียนจื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีส่วนร่วมในเรื่องยิ่งใหญ่ของยุทธภพ จัดทำรายชื่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้แก่แดนเหนือ เขารู้สึกว่าตื่นเต้นจนเลือดลมในกายพลุ่งพล่าน

“เอามาให้ข้าดู” ลู่เซิ่งสั่ง

อวี้เหลียนจื่อรีบส่งม้วนกระดาษรายชื่อที่จัดเตรียมไว้ให้

ลู่เซิ่งรับมากวาดอ่านผ่านๆ สายตาอยู่ที่รายชื่อของยอดฝีมือระดับผนึกจิตทันที เขาจดจำคนส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงบนรายชื่อไว้ บนรายชื่อยังมีที่อยู่ สถานะ และความเชี่ยวชาญของยอดฝีมือเหล่านี้

“ใช้ได้ ต่อจากนี้ให้ส่งยอดฝีมือไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย ดังนั้นยังไม่ต้องรีบ ท่านพักผ่อนก่อน” ลู่เซิ่งวางรายชื่อลง

“ขอรับ” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า ค้อมตัวแล้วล่าถอย

ลู่เซิ่งยืนพิจารณารายชื่อในห้องหนังสือสักพัก จดจำยอดฝีมือที่อยู่ใกล้ๆ ไว้ทีละคน

“ประมุขพรรค” เงาคนสายหนึ่งปรากฏขึ้น สวีชุยโผล่ขึ้นด้านหน้าประตู ก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “จับคนมาหมดแล้ว”

“ทั้งหมดเลยหรือ”

“ทั้งหมด!” สวีชุยตอบอย่างแน่ใจไม่มีลังเล

“ไปดูกัน” ลู่เซิ่งวางลายชื่อ พาเขาไปยังคุกใต้น้ำ

คุกใต้น้ำไม่ได้อยู่บนเรือ แต่อยู่ในป้อมปราการบนชายฝั่งด้านข้าง

ตอนลู่เซิ่งมาถึงที่นี่ ชั้นที่สามที่ใช้ขังนักโทษก็อึกทึกวุ่นวาย

พัศดีที่คอยคุมหลบอยู่ที่ประตูหลัก ใช้ปุยฝ้ายอุดหู ไม่ฟังเสียงด้านใน

“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งกับสวีชุยพอถึงชั้นที่สามก็นิ่วหน้า เสียงนั้นดังเกินไปจริงๆ เหมือนเสียงเคาะระฆังที่ได้ยินตอนปิดประตูบ้าน

“นักโทษที่เพิ่งเข้ามาทุบประตูเหล็กไม่หยุด พวกเราห้ามไม่ได้…” พัศดีเอ่ยอย่างจนปัญญา

พัศดีที่คอยดูแลเหล่านี้ก็แค่มือดีระดับพลังปลอดโปร่ง ย่อมเผชิญกับยอดฝีมือที่อย่างแย่สุดก็เป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งกับผนึกจิตไม่ไหว

“คนของสำนักพยัคฆ์ภูผาหนังหยาบเนื้อหนา ฝึกฝนวิชาแข็งกร้าว” สวีชุยอธิบายเสริมอยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งพยักหน้า สาวเท้าเข้าไปในระเบียงคุกชั้นสาม

ในห้องขังแต่ละห้องขังบุรุษวัยกลางคนแต่งตัวเป็นนายพรานซึ่งบนตัวเปื้อนเลือดไว้หลายคน บางครั้งก็เห็นสตรีวัยกลางอีกสองสามคน แต่น้อยมาก คนไม่น้อยกำลังพยายามทุบประตูเหล็ก ใบหน้าเหี้ยมเกรียม

“ประมุขพรรคลู่ ลู่เซิ่ง!?”

ชายชราผมขาวแก่หงำเหงือก แต่เปี่ยมกำลังวังชายืนอยู่ในกรงขังคนหนึ่ง เขาพอเห็นลู่เซิ่งเข้ามา ก็ตะโกนพร้อมเดินมาเกาะลูกกรงที่หยาบเท่าท่อนแขน

“ข้าเอง ที่แท้เป็นท่านผู้เฒ่าหยางเจ้าสำนักพยัคฆ์ภูผาคนก่อนนี่เอง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเกรงใจ เดินถึงด้านหน้าห้องขังของอีกฝ่าย

เฒ่าหยางผู้นี้มีชื่อเต็มคือหยางซุนหลง เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีในพรรคที่ประกอบด้วยนายพรานเป็นหลักอย่างสำนักพยัคฆ์ภูผา

น่าเสียดายตอนนี้หยางซุนหลงตัวโชกเลือด บาดเจ็บสาหัส แสดงว่าตอนที่สวีชุยดำเนินการจับไม่ได้ยั้งมือ ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บร้ายแรง

“ประมุขพรรคลู่ ท่านคิดทำอะไรกันแน่!? จู่โจมสำนักพยัคฆ์ภูผาของเราโดยไม่มีเหตุผล พวกเราเก็บเนื้อเก็บตัวเพราะยอมรับว่าพรรควาฬแดงของท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่ พวกเราสู้ไม่ได้ ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ พวกเราถนัดการล่าสัตว์ เก็บสมุนไพรตามป่าเขาที่สุด ท่านต้องการความช่วยเหลือ ก็ไม่เห็นต้องลงมือถึงขั้นนี้ สั่งมาคำเดียวก็พอ”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“พวกท่านลอบควบคุมสาขาย่อยในเมืองเลียบคีรีของข้ามาโดยตลอด ข้อมูลไม่น้อยของยอดฝีมือในพรรคข้ารั่วไหลออกไป คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือ”

ชายชราสีหน้าเปลี่ยนแปลง

ลู่เซิ่งไม่สนใจเขาอีก ให้พัศดีเปิดประตูเหล็ก แล้วเดินเข้าไป

คนของสำนักพยัคฆ์ภูผาที่อยู่ใกล้ๆ เงียบเสียงขณะจดจ้องลู่เซิ่ง ชายชราเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของพวกเขา ตอนนี้เผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง นับว่าเจรจราผลประโยชน์ให้แก่ทุกคน

“ประมุขพรรคลู่!” ชายชราหยางซุนหลงถอยหลังไปสองก้าว จ้องมองลู่เซิ่งที่เข้ามาในห้องขังด้วยความระแวดระวัง

“สำนักพยัคฆ์ภูผาขังไว้ในคุกแห่งนี้ชั่วคราวก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งยิ้มให้เขา แล้วกระแทกฝ่ามือออกมาดุจสายฟ้าแลบ

ปราณหยินหยางขวดสมบัติโคจรกลางฝ่ามือ ประทับใส่ศีรษะชายชรา

เปรี้ยง!

ปราณขวดสมบัติหลายสายมุดเข้าไปในร่างชายชราด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็จับตัวกันกลายเป็นข่ายกระเรียนหยิน

“ท่านพ่อ!”

“ประมุขพรรค!”

“อาจารย์!”

เสียงตะโกนอย่างเดือดดาลดังมาจากห้องขังห้องอื่น แต่ก็ไร้ประโยชน์ ลู่เซิ่งยังคงสงบดั่งเขาไท่ซาน มือแนบกับทรวงอกชายชรา

สวีชุยให้พัศดีมอบกุญแจแก่เขา แล้วไล่คนที่เหลือออกไปจากชั้นสาม

ไม่ทันไรชั้นสามก็เหลือแค่พวกเขาสองคนกับนักโทษ

มือของลู่เซิ่งอยู่บนร่างชายชราสิบกว่าอึดใจ

ตึง!

ชายชราหงายหลังล้มลง สีหน้าซีดขาว สภาพเหมือนตะเกียงสิ้นน้ำมัน

ลู่เซิ่งจิตใจหวั่นไหว ชักปราณภายในที่เข้าไปในร่างชายชรากลับมาสายหนึ่ง มันเป็นปราณภายในที่ข่ายกระเรียนหยินชำระ มีผลสั่งสมพลังเหนือกว่าพลังฝึกปรือปราณภายในของตัวเขาเองมากนัก

สิ่งที่เขาฝึกฝนก็แค่คัมภีร์ลับระดับสำนึกปลอดโปร่งเล่มหนึ่ง ชื่อหัตถ์แพรวพราวปีกดำ ปราณภายในทั้งหมดและการฝึกฝนตลอดเวลาห้าสิบปี หลังถูกลู่เซิ่งดูดซับเปลี่ยนแปลง ก็เป็นแค่ปราณหยินหยางขวดสมบัติสามสิบปี

“ตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่นานร่างกายจะหายดีเอง ไม่ต้องคิดมาก”

ลู่เซิ่งกำชับ ก่อนไปยังห้องขังห้องต่อไป

ในห้องขังห้องที่สองเป็นชายชราเช่นกัน เขาสวมใส่อาภรณ์ขาว แขวนน้ำเต้าไว้ที่เอว แขนข้างหนึ่งห้อยตกอย่างไร้แรง แสดงว่าถูกฟาดหัก

“ประมุขพรรคลู่ มีวาจาคุยกันดีๆ! ข้าเป็นเจ้าสำนักพยัคฆ์ภูผาหลี่ฉง ท่านอยากได้สิ่งใด บอกมาเลย ข้าหลี่ฉงจะไม่พร่ำพิไร สองมือประเคนให้ทันที! ข้าจะร่วมมือสุดกำลัง!” เขาแสดงว่าตกใจเพราะชายชราคนก่อนหน้า

ถึงแม้ห้องขังตรงนี้จะแยกโดดเดี่ยว แต่ก็ห่างกันไม่ไกล ได้ยินเสียงจากห้องขังห้องอื่นได้อย่างชัดเจน

“ข้าขอให้ท่านยืนนิ่งๆ อย่าขยับ” ลู่เซิ่งยิ้มให้เขา สัมผัสปราณขวดสมบัติสามสิบปีที่เพิ่งเข้ามาในร่าง จิตใจเบิกบาน ในสถานการณ์ที่กายเนื้อแข็งแกร่งมากพอ เขาสามารถดูดปราณภายในได้อย่างไร้จำกัดเพื่อมายกระดับตัวเองได้โดยสิ้นเชิง

การได้รับโดยไม่ต้องเหนื่อยยากเช่นนี้ สะดวกสบายกว่าการตรากตรำฝึกฝนมาก

“ประมุขพรรคลู่…!” ชายชราสีหน้าเปลี่ยนแปลง ยังไม่ทันพูดจบ

เปรี้ยง!

เงาร่างดุจสายฟ้าแลบสายหนึ่งโผล่ขึ้นด้านข้างเขา แล้วฟาดฝ่ามือใส่กลางหลัง

ปราณขวดสมบัติจำนวนมากไหลเข้าไปในร่างเขา สร้างข่ายกระเรียนหยิน จากนั้นก็ดูดพลังฝึกปรือปราณภายในของเขา

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นลำดับขั้นตอน

……………………………………….