ตอนที่ 226 อัจฉริยะวิถีกระบี่กลับร้องไห้มิออก

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 226 อัจฉริยะวิถีกระบี่กลับร้องไห้มิออก

ได้ยินเช่นนั้นนักพรตหยวนเจี้ยนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเฉินเจี้ยนที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

เพราะในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ ๆ ของยอดเขากระบี่วิญญาณนั้น ความสามารถในวิถีกระบี่ของอวิ๋นเฉินเจี้ยนถือว่าเป็นรองเพียงลู่อู๋ซวงเท่านั้น

เช่นนั้นจึงนับได้ว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะในวิถีกระบี่คนหนึ่ง

ตามความคิดของนักพรตหยวนเจี้ยนก่อนหน้านี้

ลู่อู๋ซวงภายภาคหน้าจะต้องกลายเป็นเจ้ายอดเขากระบี่วิญญาณคนต่อไป

แต่บัดนี้อีกสิบกว่าวันลู่อู๋ซวงก็จะได้รับการแต่งตั้ง เป็นผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแล้ว

ซึ่งหมายความว่าลู่อู๋ซวงมิสามารถสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาได้อีก

เช่นนี้อวิ๋นเฉินเจี้ยนก็จะต้องกลายเป็นเจ้ายอดเขากระบี่วิญญาณคนต่อไปแทน

และย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน เนื่องด้วยยอดเขากระบี่วิญญาณได้รับศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรมาจากเมืองเสี่ยวฉือหลายคน

เพื่อมิให้อัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้ต้องเสียเวลาเปล่า นักพรตหยวนเจี้ยนจึงได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจให้อวิ๋นเฉินเจี้ยนที่มีคุณสมบัติในวิถีกระบี่ที่สูงส่ง เป็นผู้ชี้แนะการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่แก่พวกเขาทั้งเจ็ดคน

ทว่านับตั้งแต่อวิ๋นเฉินเจี้ยนสอนวิถีกระบี่ให้พวกเขาทั้งเจ็ดคน เดือนแรกยังมิมีอะไรเกิดขึ้น

ตรงกันข้ามภายในเดือนนั้น อวิ๋นเฉินเจี้ยนมักจะวิ่งมารายงานความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรของทั้งเจ็ดคนอยู่เสมอ ๆ ตอนนั้นเรียกได้ว่าจิตใจกระชุ่มกระชวยก็ว่าได้

ทว่าเรื่องดีมักอยู่มินาน

จนกระทั่งเข้ากลางเดือนของเดือนที่สองนั้น

จู่ ๆ อวิ๋นเฉินเจี้ยนก็วิ่งมารายงานนักพรตหยวนเจี้ยนว่า ตนนั้นมิอาจจะสอนศิษย์น้องทั้งเจ็ดคนนี้ได้อีกแล้ว

การบรรลุระดับตบะบารมีของทั้งเจ็ดคนนั้นยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ว่าความเข้าใจในวิถีกระบี่ของพวกเขา กลับมิได้ด้อยไปกว่าอวิ๋นเฉินเจี้ยนเลย

จึงทำให้นักพรตหยวนเจี้ยนเองก็มิรู้ว่าจะจัดการเช่นไรดี

จะให้เขาที่เป็นถึงเจ้ายอดเขา ไปสอนเด็กที่เพิ่งเข้าสำนักใหม่ด้วยตัวเองตลอดก็คงจะมิได้กระมัง ?

นี่มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว

นักพรตหยวนเจี้ยนจึงตัดสินใจให้อวิ๋นเฉินเจี้ยน สอนสิ่งที่เป็นทฤษฎีให้กับพวกเขาเจ็ดคน

แต่ผ่านไปได้มิกี่วัน อวิ๋นเฉินเจี้ยนก็วิ่งมาร้องทุกข์อีกแล้ว

ไป ๆ มา ๆ อวิ๋นเฉินเจี้ยนก็ได้กลายเป็นแขกประจำ ของตำหนักเจี้ยนอีแห่งนี้ไปเสียแล้ว

“ครานี้ศิษย์น้องทั้งเจ็ดคนของเจ้าทำอะไรอีกเล่า ? ”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง นักพรตหยวนเจี้ยนก็เอ่ยถามกับอวิ๋นเฉินเจี้ยน

อวิ๋นเฉินเจี้ยนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าโศกเศร้าว่า “อาจารย์ วันนี้ศิษย์ได้พาศิษย์น้องทั้งเจ็ดคนไปที่เขาด้านหลังเพื่อดูรอยกระบี่ แต่… สุดท้าย… พวกเขากลับเกิดบรรลุขึ้นมาขอรับ”

“โดยเฉพาะศิษย์น้องที่ชื่อว่าหลี่ชุนเฟิง ศิษย์สงสัยว่าเด็กคนนี้อาจจะเป็นเซียนกระบี่ท่านใดท่านหนึ่งกลับชาติมาเกิดก็ได้ขอรับ จึงสามารถเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ได้สมบูรณ์ถึงเจ็ดรูปแบบ”

ได้ยินเช่นนั้นมิเพียงนักพรตหยวนเจี้ยนเท่านั้นที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่ลู่อู๋ซวงที่รัศมีเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ยังอดที่จะรู้สึกตกใจมิได้

เพราะรอยกระบี่สามรอยที่เขาด้านหลังของยอดเขากระบี่วิญญาณนั้น เป็นรอยที่เจ้ายอดเขากระบี่วิญญาณรุ่นแรกทิ้งเอาไว้

กล่าวกันว่าเจ้ายอดเขารุ่นแรกท่านนี้ระหว่างที่จะขึ้นสวรรค์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า

“หากมีคนรุ่นหลังของสายยอดเขากระบี่วิญญาณ สามารถเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ในรอยกระบี่ทั้งสามรอยได้ ภายภาคหน้าจะสามารถเป็นหนึ่งในวิถีกระบี่ได้ ทำให้ยอดเขากระบี่วิญญาณเจริญรุ่งเรือง ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเจริญรุ่งเรือง”

เช่นนั้นยอดเขากระบี่วิญญาณจึงมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมา

หากศิษย์สายตรงของยอดเขากระบี่วิญญาณเลื่อนถึงขั้นรวมรวมชีพจรแล้ว ก็จะสามารถไปที่เขาด้านหลังเพื่อทำความเข้าใจรอยกระบี่สามรอยได้

ทว่าหลังจากยอดเขากระบี่วิญญาณรุ่นที่สาม รุ่นที่สี่เป็นต้นมาก็มิมีใครสามารถเข้าใจรอยกระบี่ได้อีก

จนเวลาผ่านมาเนิ่นนาน เนื่องด้วยมิมีใครสามารถเข้าใจสุดยอดเคล็ดกระบี่จากรอยกระบี่ได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ด้วยแล้ว

เช่นนั้นสายยอดเขากระบี่วิญญาณจึงค่อย ๆ หลงลืมธรรมเนียมนี้ไป

ทว่าอวิ๋นเฉินเจี้ยนด้วยช่วงนี้มิมีสิ่งใดที่จะสามารถสอนต่อได้แล้ว วันนี้เขาจึงจำต้องพาศิษย์น้องทั้งเจ็ดไปเรียนรู้รอยกระบี่แทน

แต่สิ่งที่เขาก็ยังคาดมิถึงก็คือ

ทั้งเจ็ดคนนี้พอนั่งลงที่ด้านล่างของรอยกระบี่ทั้งสามรอย เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถเข้าใจได้แล้ว

ดูก็รู้แล้วว่าเวลานี้เมื่อนักพรตหยวนเจี้ยนได้ยินข่าวเช่นนี้แล้ว ภายในใจจะตื่นเต้นยินดีเพียงใด

“อาจารย์ ปล่อยศิษย์ไปเถอะนะขอรับ ศิษย์มิอาจสอนได้แล้วจริง ๆ ขอรับ”

เมื่อเห็นสีหน้าที่มิอาจคาดเดาอารมณ์ได้ของนักพรตหยวนเจี้ยน อวิ๋นเฉินเจี้ยนก็เอ่ยราวกับจะร้องไห้ว่า “อาจารย์ ศิษย์ขอเรียนตามตรงหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านจะต้องสูญเสียศิษย์ไปตลอดกาลนะขอรับ”

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมอาจารย์หน่อยเถอะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มิช้าก็เร็วข้าต้องถูกพวกเขาเจ็ดคนทำให้ตกใจตายได้ มิแน่วันหนึ่งอาจจะคิดสั้นก็ได้นะขอรับ”

“เฉินเจี้ยน เจ้าพูดจริงหรือ ? ”

นักพรตหยวนเจี้ยนหันไปมองอวิ๋นเฉินเจี้ยน ก่อนจะถามออกมาราวกับเพิ่งจะรู้สึกตัว

อวิ๋นเฉินเจี้ยน “……”

ลู่อู๋ซวงจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์ ศิษย์น้องที่มาจากเมืองเสี่ยวฉือทั้งเจ็ดคนนั้น ล้วนเคยได้รับการชี้แนะจากท่านบรรพจารย์เย่ ที่ศิษย์น้องอวิ๋นพูดมาคงจะเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”

“ฮ่า ๆๆ ……”

“คาดมิถึงว่าพวกเขาทั้งเจ็ดคนล้วนสามารถเข้าใจรอยกระบี่ได้ ดูท่ายอดเขากระบี่วิญญาณของข้าคงจะถึงเวลาที่จะเจริญรุ่งเรื่อง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะเจริญรุ่งเรืองแล้ว ! ”

นักพรตหยวนเจี้ยนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยเสียงอันดังออกมาว่า

“อู๋ซวง เฉินเจี้ยน ตามอาจารย์ไปดูเจ้าเด็กเจ็ดคนนั้นหน่อย”

เมื่อสิ้นเสียงนักพรตหยวนเจี้ยนก็เหาะออกไปนอกตำหนักทันที

ลู่อู๋ซวงและอวิ๋นเฉินเจี้ยนสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็ตามกันออกไปด้านนอกตำหนัก

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

นักพรตหยวนเจี้ยนและลู่อู๋ซวง รวมทั้งอวิ๋นเฉินเจี้ยนต่างก็ปรากฏตัวขึ้น ยังด้านหลังของยอดเขากระบี่เมฆา

ที่นี่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเมฆหมอก มีต้นไม้เก่าแก่โอบล้อมไว้ หินหน้าตาแปลกประหลาดวางซ้อนทับกันอยู่ และมีสภาพเหมือนเดิมมิมีผิดเพี้ยน

มิไกลนัก

บนหน้าผาที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำก็มีรอยกระบี่ที่แผ่ไอพลังมหาศาล และมีความตื้นลึกยาวสั้นมิเท่ากันสามรอยปรากฏอยู่

และที่ด้านล่างของหน้าผา เนื่องด้วยเขาด้านหลังนั้นนาน ๆ จะมีคนมาที่นี่สักครั้ง จึงทำให้ที่นี่ดูรกร้างเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันเด็กน้อยชายหญิงเจ็ดคน ที่สวมชุดศิษย์ของสำนักกำลังยืนอยู่ที่ด้านล่างของหน้าผา และกำลังเงยหน้าขึ้นมองรอยกระบี่ด้านบนอย่างครุ่นคิด

“หมาน้อย เมื่อครู่นี้เจ้าแกล้งใช่หรือไม่ ? ”

“หมารอง ข้าบอกเจ้ากี่คราแล้วหลังจากเข้าสำนักแล้วให้เรียกชื่อจริงข้า เหตุใดความจำเจ้าถึงได้แย่ขนาดนี้ห๊ะ ! ”

“ข้ารู้แล้ว หมาน้อย”

“อีกอย่างเหตุใดข้าจะต้องแกล้งเจ้าด้วย ข้าเข้าใจเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบแล้วจริง ๆ ”

“หมาน้อยเจ้าอย่าหลอกลวงไปหน่อยเลย ตอนที่พวกเราร่วมทดสอบคุณสมบัตินั้น คุณสมบัติของเจ้าแย่ที่สุด ขนาดพวกเรายังเข้าใจแค่สามถึงสี่รูปแบบเท่านั้น เจ้าจะเข้าใจทั้งเจ็ดรูปแบบได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“ข้าเข้าใจทั้งเจ็ดรูปแบบแล้วจริง ๆ นะ หากพวกเจ้ามิเชื่อ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดูเดี๋ยวนี้แหละ ! ”

หลังจากทั้งเจ็ดคนถกเถียงกันแล้ว ขณะที่ตัดสินให้ หลี่หมาน้อย ที่มีชื่อจริงว่า หลี่ชุนเฟิง แสดงเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบนั้น

นักพรตหยวนเจี้ยนและลู่อู๋ซวง รวมทั้งอวิ๋นเฉินเจี้ยนก็เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“พวกอาจารย์มาแล้ว”

มิรู้ว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ทั้งเจ็ดคนจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบยืดตัวตรงและยืนรอรับทั้งสามคน

“ศิษย์คารวะอาจารย์และศิษย์พี่ทั้งสอง ! ”

เด็กทั้งเจ็ดที่มีอายุและรูปร่างมิต่างกันเท่าไรนัก โค้งคำนับลงโดยพร้อมเพรียงกัน

นักพรตหยวนเจี้ยนกวาดตามองทั้งเจ็ดคนราวกับสมบัติอันล้ำค่า ก่อนจะลูบหนวดของตัวเอง แล้วกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า

“พวกเจ้าล้วนเข้าใจเคล็ดกระบี่อันสมบูรณ์บนรอยกระบี่งั้นหรือ ? ”

ได้ยินเช่นนั้นทั้งเจ็ดคนก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแรง ๆ

ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มที่มีชื่อจริงว่าจ้าวกวงอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ หลี่หมา… ศิษย์น้องหลี่ชุนเฟิงบอกว่า เขาเข้าใจเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบแล้ว พวกศิษย์มิเชื่อและกำลังจะให้เขาแสดงเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบให้ดูขอรับ”

นักพรตหยวนเจี้ยนร้องอ๋อเบา ๆ ก่อนจะลูบเคราของตัวเองพร้อมกับยิ้มออกมา

“เช่นนั้นชุนเฟิงก็แสดงเคล็ดกระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดรูปแบบนี้ให้ดูหน่อยก็แล้วกัน”

ความจริงแล้วนักพรตหยวนเจี้ยนเองก็แปลกใจมิน้อยเช่นกัน ว่ารอยกระบี่ที่ท่านบรรพจารย์ท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ภายในแฝงเคล็ดกระบี่เช่นไรเอาไว้