“คนไหนไร้เหตุผลฉันก็พูดกับคนนั้นแหละค่ะ เป็นข้าราชการไม่ทำเพื่อประชาชนไม่สู้กลับไปขายมันเทศ แมวดำแมวขาวจับหนูได้ก็เป็นแมวดีทั้งนั้น ถึงฉันจะไม่ได้รับราชการ แต่ฉันมีวิธีปิดคดีจือหมิงได้ เชิญฉันมาเป็นผู้ช่วยในคดีแล้วมันยังไงเหรอคะ? ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าตำแหน่งคุณใหญ่โตแค่ไหน แต่ไม่ว่าคุณจะใหญ่มาจากไหน หน้าที่ของคุณก็คือรับใช้ประชาชน ตอนนี้คดีมันมาคาอยู่ที่นี่ การที่คุณสงสัยในการเชิญฉันมาร่วมวินิจฉัยก็คือการไม่อยากรับใช้ประชาชนให้ดี!”
ด่าคนส่งเดชใครทำไม่เป็นบ้าง? ปัดความรับผิดชอบให้คนอื่นใครไม่เป็นบ้าง? เสี่ยวเชี่ยนไม่สนหรอกว่าจะเป็นใคร ถ้าไม่ยอมก็ลุยให้เต็มที่ นี่แหละนิสัยเธอ!
คนระดับสูงตอนแรกยังจ้องหน้าข่มไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าเถียงตัวเอง ต่อมาก็อึ้งตกใจ คนที่อยู่รอบตัวพากันงงไปหมด รวมถึงเพื่อนร่วมงานของเลี่ยวฟู่กุ้ยด้วย
“คุณหมายความว่า ผู้หญิงปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างคุณสามารถไขคดีที่แม้แต่คนทั้งศูนย์วิจัยยังทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? มีดีแค่ลมปากสินะ!”
เสี่ยวเชี่ยนผลักมือเลี่ยวฟู่กุ้ยที่มากันไว้ออก แล้วเข้าไปเผชิญหน้ากับผู้บริหารระดับสูง
“ข้อแรก ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่มีกลิ่นนมติดปากและฉันก็ไม่ชอบกินนม ข้อสอง ฉันแปรงฟันทุกวันลมปากฉันหอมสดชื่นแน่นอน คุณเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงจะพูดอะไรก็ให้ผ่านสมองบ้างนะคะ”
ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดคงมีคนหัวเราะออกมาตรงๆแล้ว ถูกคนระดับสูงนี่หัวเสียใส่มาตลอดช่วงเช้าทุกคนต่างอดทนอดกลั้น เสี่ยวเชี่ยนสุดยอดเลยจริงๆ
“อย่ามาทำเป็นปากดี คุณบอกว่าปิดคดีได้ แต่ถ้าปิดไม่ได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือเปล่า?”
หัวหน้าของเลี่ยวฟู่กุ้ยพยายามส่งสายตาให้เลี่ยวฟู่กุ้ย รีบจัดการน้องสาวสิ!
ทุกคนในศูนย์วิจัยรู้ถึงความสัมพันธ์ของเสี่ยวเชี่ยนกับเลี่ยวฟู่กุ้ยดี และก็รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนเคยรักษาผู้ป่วยจิตเวชมามากมาย ต่างยอมรับในความสามารถของเสี่ยวเชี่ยน แต่เรื่องในวันนี้ซับซ้อนเหลือเกิน ถ้าบอกว่าทำได้แล้วทำไม่ได้ขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
หัวหน้าของเลี่ยวฟู่กุ้ยอยากให้เลี่ยวฟู่กุ้ยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าเลี่ยวฟู่กุ้ยจะทำในสิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึง
“ผมขอรับรองให้ผู้ช่วยของผมครับ ผมเชื่อว่าเธอทำได้ ถ้าทำไม่ได้ผมจะลาออกครับ”
เลี่ยวฟู่กุ้ยที่เป็นคนนิสัยอ่อนโยนมาตลอดอยู่ๆก็พูดจาแบบนี้ทำให้ทุกคนต่างคาดไม่ถึง
หน่วยงานนี้ไม่ใช่หน่วยงานธรรมดา คนนอกอยากจะเข้ายังเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากเข้ามาแล้วก็ถือเป็นหม้อหุงข้าวเคลือบทองไปตลอดชีวิต แต่นี่เขากลับกล้าพูดแบบนี้เพื่อเสี่ยวเชี่ยน หัวหน้าของเขาจึงร้อนใจขึ้นมาทันที
“หยุนฉาง! ตั้งสติหน่อย!”
“ผมคิดดีแล้วครับ ผมเชื่อในตัวเฉินเสี่ยวเชี่ยนผู้ช่วยของผม และผมก็ยินดีจะเป็นผู้รับรองในความสามารถของเธอ”
ปากของเลี่ยวฟู่กุ้ยพูดไปแบบนั้น ในใจก็เตรียมพร้อมที่จะถอดเสื้อกาวน์ตกงานเรียบร้อยแล้ว
เพื่อนร่วมงานของเขาต่างมีความสามารถมากในหน้าที่การงาน หลายคนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วย ขนาดพวกเขายังหมดหนทาง แล้วเสี่ยวเชี่ยนเป็นแค่นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ก็คงไม่มีทางมีวิธีที่ดีกว่านี้
แต่นี่คือน้องสาวของเขา ในเมื่อน้องของเขาเอ่ยปากพูดออกไปแล้ว เขาในฐานะที่เป็นพี่ชายก็ต้องแสดงจุดยืน มากสุดก็ตกงาน แผ่นดินออกจะกว้างใหญ่กลัวทำไมว่าจะไม่มีข้าวกิน?
เสี่ยวเชี่ยนมองเลี่ยวฟู่กุ้ยที่สนับสนุนตัวเธอพลางพูดในใจ คนๆนี้ตอนเป็นพี่ชายกับเป็นคู่ปรับต่างกันลิบลับเลยแฮะ เมื่อชาติก่อนเลี่ยวฟู่กุ้ยเถียงเธออย่างกับอะไรดี ชาตินี้กลายมาเป็นพี่ชายเธอเอาแรงไปรบกับคนนอกแทน ใช้ได้เลยนะเนี่ย
“คุณต้องรับผิดชอบกับคำพูดของคุณด้วย!” ผู้บริหารระดับสูงพูดอย่างเคร่งขรึม
เลี่ยวฟู่กุ้ยใบหน้าแดงกล่ำ แต่ก็ยังยืนหยัดไม่กลับคำ
“พูดได้ทำได้ครับ ถ้าการที่ผมหาผู้ช่วยเข้ามาแล้วทำให้ทุกคนเสียเวลาผมก็ยินดีจะลาออกครับ!”
อันที่จริงทุกคนรู้ดีว่าคนๆนี้จงใจหาเรื่อง เนื่องจากการทำคดีมีความเครียดสูงจึงหาที่ระบายอารมณ์ หลายคนในนี้เป็นที่ปรึกษาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เอก บางครั้งเจอเคสที่พบได้ยากก็จะยื่นเรื่องขอให้นักศึกษาเข้ามาดูด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร หมอในโรงพยาบาลพานักศึกษามาดูงานไม่ใช่เรื่องแปลก ทั้งหมดก็เพื่อพัฒนาบุคลากรเพื่อประเทศ
แต่ทุกคนกำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียด พูดจารุนแรงมาถึงขั้นนี้ ผู้บริหารมาใส่อารมณ์กับพวกเขา เลี่ยวฟู่กุ้ยเองก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอ
เขาทำเพื่อน้องสาวน้องชายได้ไม่มาก แต่มีความสามารถเท่าไรก็ใช้เท่านั้น ความใจเด็ดแบบนี้เขาก็มีอยู่ในตัว
บรรยากาศอยู่ในความกระอักกระอ่วน อันที่จริงผู้บริหารระดับสูงนี้ก็แค่หาที่ระบายอารมณ์ ไม่คิดว่าจะมีคนพูดจาแบบนี้ออกมา
เสี่ยวเชี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง ยังคงพูดด้วยท่าทางใจเย็น นิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ในนี้
“ถ้าฉันทำไม่ได้เขาจะลาออก แล้วถ้าฉันทำได้คุณจะชดใช้ยังไงกับคำพูดเมื่อครู่ดีคะ?”
“จะเอาเท่าไร—”
“แค่อ้าปากก็พูดแต่เรื่องเงิน เชยจริงๆ! ฟังให้ดีนะคะ เกียรติของปัญญาชนประเมินราคาไม่ได้ ตอนนี้ฉันจะหาวิธีปลุกบุคลิกที่สองของจือหมิงออกมา ถ้าฉันทำได้ขอให้คุณขอโทษทุกคนด้วยค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนชี้หน้าผู้บริหารระดับสูงจนพูดจบ โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น จากนั้นก็หันไปพูดกับเลี่ยวฟู่กุ้ย
“ไปหางูปลอมมาให้ฉันตัวหนึ่ง เอาสีเขียว เอาให้เหมือนของจริงมากที่สุด”
“งูปลอม?”
“อืม ไปสิ เตรียมอุปกรณ์ตรวจคลื่นสมองด้วย อีกเดี๋ยวถ้าบุคลิกที่สองของเขาออกมาคลื่นสมองก็จะเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้การแพทย์ในบ้านเรายังไม่มีเคสศึกษา พวกคุณบันทึกเอาไว้อีกหน่อยจะได้มีเอกสารไว้ให้นักศึกษาได้ศึกษาดู”
น้ำเสียงหนักแน่นแบบนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรงนั้นต่างคิดว่าเธอเป็นอาจารย์ ให้ความรู้สึกทุกคนเป็นนักเรียนของเธอ
ไม่ได้บ้า แต่เป็นความมั่นใจในด้านวิชาชีพที่ออกมาจากภายใน
ทุกคนพากันล้อมวงดูว่าเสี่ยวเชี่ยนจะทำอย่างไร เลี่ยวฟู่กุ้ยอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนเสี่ยวเชี่ยน
เมื่อครู่ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทใช้วิธีสะกดจิตปลุกบุคลิกที่สองของจือหมิง แต่ปรากฏว่าล้มเหลว แล้วเสี่ยวเชี่ยนจะเอางูมาทำอะไรกัน?
ระหว่างที่เสี่ยวเชี่ยนรองูมาได้ใช้น้ำเสียงมั่นใจอธิบายให้เลี่ยวฟู่กุ้ยฟัง
“ปกติวิธีที่พวกเราใช้วินิจฉัยโรคหลายบุคลิกนอกจากใช้แบบประเมินแล้ว วิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการสะกดจิต ขอแค่เข้าสู่สภาวะถูกสะกดจิตได้ บุคลิกอื่นของคนไข้ส่วนใหญ่ก็จะถูกปลุกออกมา แต่ก็มีส่วนน้อยที่ไม่ให้ความร่วมมือกับวิธีนี้ ดังนั้นตอนนี้ฉันจะลองใช้วิธีสุดโต่งเพื่อกระตุ้นให้บุคลิกที่สองของเขาออกมา”
วิธีรักษาแบบสุดโต่งนี้ทำให้ทุกคนพากันพยักหน้า ในทางทฤษฎีมันก็พอได้อยู่หรอก
“แล้วเธอรู้เหรอว่าจะกระตุ้นเขาด้วยเรื่องอะไร? บุคลิกของผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนขี้ขลาด บางคนชอบใช้ความรุนแรง หรือถึงขนาดที่ว่าบุคลิกที่ถูกปลุกออกมามีความสามารถโดดเด่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าหาไม่เจอจะทำไง?” เลี่ยวฟู่กุ้ยถามคำถามสำคัญแทนทุกคน
เสี่ยวเชี่ยนรับงูปลอมที่มีคนส่งให้แล้วเอามาจับๆดู สัมผัสมือค่อนข้างนิ่ม ดูๆไปคล้ายกับชุ่ยเอ๋อของจือหมิงที่ตายไป
เธอจับหัวงูเคาะหัวฟู่กุ้ย “คนอื่นอาจหาไม่เจอ แต่ฉันเป็นผู้ช่วยที่พี่เชิญมาจะหาไม่เจอได้เหรอ? เดี๋ยวเตรียมปากกาอัดเสียงไว้ให้ดีล่ะ มีคนขอโทษก็อัดไว้ให้เรียบร้อย ต่อไปถ้ามีคนกล้าไม่เข้าใจงานของพวกพี่อีกก็เปิดวนให้ฟังไป”
คนอื่นๆต่างไม่กล้ามองสีหน้าของผู้บริหารระดับสูงในตอนนี้