หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ด
ในที่สุดก็แต่งงานกัน
เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินป้าโจวพูดถึงบุตรชายของนางอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเขาเลย จึงรู้สึกสงสัยในใจอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดก็ถามออกไปตรงๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของป้าโจวพลันจางลง บุตรชายของนางถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท ตอนที่นางถูกปลดออกจากตำแหน่งฮองเฮา บุตรชายของนางต้องมาลำบากด้วย คืนที่ป้าโจวหนีออกมาจากตำหนักเย็น ก็ได้ยินสาวใช้คนสนิทของนางบอกว่า แม้องค์ชายใหญ่จะได้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ขอให้นางวางใจ ทว่าคนเป็นมารดาจะไม่เป็นห่วงบุตรของตนได้อย่างไร นางเป็นกังวลตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็พบหน้ากันไม่ได้
ต่อมาฮ่องเต้หย่งหนิงส่งคนออกไปตามหานางจนพบ นางเองก็ถามคนที่พอจะรู้เรื่องนี้ จึงรู้ว่าบุตรชายไม่ได้อยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เขาเรียนตำราทุกวันเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่นๆ แต่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เท่านั้น…
เสวี่ยเจียเยว่มองสีหน้าเศร้าหมองของป้าโจว ก็รู้ทันทีว่าตนถามเรื่องสะเทือนใจนางเสียแล้ว หญิงสาวจึงรีบกล่าวต่อ
“ข้าไม่ควรถามเช่นนี้ ข้าทำให้ท่านเสียใจแล้ว”
ป้าโจวตบหลังมือของเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้ ในภายภาคหน้าหากพวกเจ้าพบหน้ากัน ข้าว่าเขาเองก็คงดีใจที่มีน้องสาวเช่นเจ้า”
หลังจากเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกสองสามประโยค ป้าโจวก็เห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว นางจึงหยิบผ้าสีแดงผืนใหญ่ปักลายดอกโบตั๋นหรูหราแล้วเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่
“เด็กดี หวังว่าภายภาคหน้าเจ้ากับสามีของเจ้าจะอยู่กันอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่า”
เสวี่ยเจียเยว่จับมือป้าโจว หยาดน้ำเป็นประกายแวววาวในดวงตาของเธอ “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของป้าโจว แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจดีว่านางคอยแอบปกป้องเธอหลายต่อหลายครั้ง ต้องขอบคุณนางจริงๆ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร
ป้าโจวกุมมือเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้แน่นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่ ระหว่างเราสองคนยังมีอะไรต้องขอบคุณกันอีกเล่า อีกอย่าง… วันนี้ก็เป็นวันดีของเจ้า เจ้าควรจะดีใจถึงจะถูก เหตุใดถึงร้องไห้เช่นนี้”
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาบนแก้มของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ จากนั้นก็เรียกเณรน้อยตัวปลอมสองคนให้เข้ามาประคองหญิงสาวไปที่ห้องหมิงเจียน[1]
ห้องหมิงเจียนได้รับการตกแต่งเอาไว้แล้ว มีภาพวาดเทพเหอเอ้อร์เซียน[2] อักษรสีแดงขนาดใหญ่ และผลไม้มงคลทุกชนิด เณรน้อยประคองป้าโจวมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าสุด
เสวี่ยหยวนจิ้งสวมชุดสีแดงฉาน เมื่อเห็นป้าโจว เขาโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านมากที่ทำให้วันนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี”
ป้าโจวพยักหน้าให้เขาเบาๆ “หวังว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะปฏิบัติต่อเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างดี”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปฏิบัติต่อนางให้เหมือนกับนางเป็นชีวิตของข้าขอรับ”
เสวี่ยเจียเยว่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก หญิงสาวคือทุกอย่างของเขา หากหลายเรื่องที่ผ่านมาไม่มีเสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่รู้ว่าในเวลานี้ตนจะเป็นเช่นไร อาจกล่าวได้ว่าแม่นางผู้นี้นำพาความสุขและรอยยิ้มมาให้เขา คือสีสันอันสดใสในชีวิตของเขา
เณรน้อยทั้งสองประคองเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา ศีรษะเธอถูกคลุมด้วยผ้าคลุมศีรษะสีแดงฉาน เสวี่ยหยวนจิ้งมองไม่เห็นใบหน้าของเจ้าสาว แต่ชุดสีแดงที่อีกฝ่ายสวมอยู่นั้นช่างงดงามยิ่งนัก ด้ายสีทองเป็นประกายระยิบระยับภายใต้แสงเทียน
คนทั้งสองอยู่ตรงหน้าป้าโจว มีขันทียืนส่งเสียงดำเนินพิธีการอยู่ข้างๆ
แม้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่จะลงชื่อในหนังสือสมรสก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่เคยผ่านพิธีแต่งงาน พวกเขาต่างรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป แต่ตอนนี้ในที่สุดทุกอย่างก็สมบูรณ์แล้ว
หลังจากคำนับฟ้าดินแล้ว พวกเขาก็คำนับป้าโจว จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ถูกประคองเข้าไปในห้องซึ่งใช้เป็นห้องหอ และนั่งลงบนเตียงเพื่อรอคอยเสวี่ยหยวนจิ้ง
ปกติแล้วมีข้อห้ามเรื่องการใช้เนื้อสัตว์ในวัด ดังนั้นอาหารในวันนี้จึงเป็นมังสวิรัติทั้งหมด แต่ยังมีสุราให้ดื่ม
เสวี่ยหยวนจิ้งหยิบสุราหนึ่งจอกขึ้นมาแล้วโค้งคำนับป้าโจว ในฐานะผู้อาวุโส เมื่อรับการคำนับแล้ว นางก็ต้องรับสุราจากเขาเช่นกัน จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาละ รีบไปเถอะ อย่าให้เยว่เอ๋อร์รอนาน”
เสวี่ยหยวนจิ้งโค้งคำนับนางอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไป
ก่อนหน้านี้ฝีเท้าของเขายังคงหนักแน่นมั่นคง ทว่ายามนี้กลับเร่งรีบมากขึ้น
สตรีที่ปลอมตัวเป็นเณรน้อยทั้งสองยังอยู่ในห้องหอกับเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมาแล้ว พวกนางก็คำนับเขาก่อนจะถอยหลังออกไป และไม่ลืมปิดประตูด้วย
ทันทีที่เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปในห้อง สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าภายในห้องหอนี้ตกแต่งอย่างไร
หญิงสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงฉานนั่งอยู่บนเตียง สองมือกุมอยู่บนตัก ก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมศีรษะสีแดง แต่เขาก็ยังมองเห็นว่าต่างหูรูปใบแปะก๊วยสีทองผสมเงินกำลังสั่นไหวเบาๆ
เทียนมังกรหงส์มงคลสีแดงหนึ่งคู่ส่องแสงสว่างอยู่บนโต๊ะด้านข้าง และเทียนสีแดงเล่มอื่นๆ ก็ถูกจุดเช่นกัน ทำให้ห้องสว่างไสวไม่น้อย ท่ามกลางแสงเทียนเหล่านี้ เจ้าสาวของเขากำลังนั่งรออยู่บนเตียง
เสวี่ยหยวนจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ก้าวไปเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาเหยียบนั้นราวกับว่าไม่ใช่พื้นแข็งๆ กลับเป็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า
เมื่อเขาไปถึงเตียงจึงหยุดฝีเท้า แล้วก้มหน้าจ้องมองเสวี่ยเจียเยว่
เขาเห็นสองมือของหญิงสาวกำแน่น ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่คงกังวลใจไม่น้อย
ชายหนุ่มอดยิ้มมุมปากไม่ได้ จากนั้นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าสาว แล้วเอื้อมมือไปจับมือที่วางอยู่บนตักของเจ้าตัว
“เจ้ากังวลหรือ” เขาก้มหน้าลงบรรจงจูบมือของเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “จะกังวลไปไยเล่า”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกประหม่ามาก ตอนที่ลงชื่อในหนังสือสมรส เธอไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นถึงเพียงนี้ คิดเพียงว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ทั้งเช้าจดเย็นต่างก็พบหน้ากัน การแต่งงานเป็นแค่พิธีการพิธีหนึ่ง จะไปสำคัญอันใด
ทว่าตอนนี้เธอกลับประหม่ามิใช่น้อย หัวใจเต้นรัวราวกับมีกวางน้อยกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ภายใน
เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งพูดด้วย เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งก้มศีรษะต่ำลง หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้น ได้แต่จับจ้องไปที่ลายเมฆซึ่งปักอยู่บนชุดสีแดงของอีกฝ่ายโดยไม่พูดไม่จา
จากนั้นหญิงสาวได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเสวี่ยหยวนจิ้ง ต่อมาก็เห็นเขายกมือขึ้น นิ้วเรียวยาวแตะอยู่ที่ขอบผ้าคลุมศีรษะสีแดงของเธอ
เขากำลังจะเปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอขึ้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนมาถึงลำคอ ราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจมันจะกระดอนออกมาสู่ภายนอกก็ไม่ปาน บนฝ่ามือของเธอมีเหงื่อชั้นบางๆ
หญิงสาวรู้สึกประหม่ามาก กระทั่งคิดว่าจะบอกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าอย่าเปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอขึ้น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ เบื้องหน้าพลันปรากฏแสงสว่างขึ้น ผ้าคลุมศีรษะของเธอถูกอีกฝ่ายเปิดขึ้นแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่กำมือทั้งสองข้างแน่นขึ้น ศีรษะก็ยิ่งก้มต่ำลง
“เงยหน้าขึ้น”
เธอได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ย แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน ใบหน้าแดงก่ำ ในหูราวกับได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตุบๆ
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าเจ้าสาวของตนเอาแต่ก้มหน้า จึงยื่นมือไปจับใต้คางของหญิงสาว แล้วเชยขึ้นให้อีกฝ่ายมองมาที่เขา
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าใบหน้าของสตรีที่ชื่อเสวี่ยเจียเยว่นั้นงดงามหรือไม่ แต่เขารู้มาตลอดว่าใบหน้าของเอ้อร์ยางดงามมาก ตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม แววตาของเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความตะลึง
ผิวของหญิงสาวขาวราวหิมะ ริมฝีปากสีแดง ดวงตาดำขลับเป็นประกายคู่นั้น ราวกับดอกเสาเย่าที่เพิ่งผลิบานก็ไม่ปาน งดงามมีเสน่ห์เหลือล้น
เขาห้ามใจไม่ไหวจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วบรรจงจูบลงบนริมฝีปากสีแดงของอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของปากหญิงสาว
เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะจูบเธอทันทีเช่นนี้ แม้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาทั้งสองจะเคยมีช่วงเวลาได้ใกล้ชิดกัน แต่หัวใจเธอก็ไม่เต้นรัวเร็วเช่นนี้มาก่อน
“ท่านพี่” เธอส่งเสียงเรียกเขาเบาๆ น้ำเสียงนั้นมีเสน่ห์ยวนใจชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ทำเอาหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับถูกบีบแน่นเมื่อได้ยิน
เขายังคงจูบเสวี่ยเจียเยว่ไม่หยุด พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “เยว่เอ๋อร์ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว วันนี้เจ้าห้ามปฏิเสธข้า”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าคืนนี้คือคืนแต่งงานของพวกเขาทั้งสอง เธอไม่สามารถปฏิเสธเสวี่ยหยวนจิ้งได้อีกแล้ว อีกทั้งคนผู้นี้ยังทำเพื่อเธอมามากมาย ต้องเผชิญกับอันตรายนับไม่ถ้วน และยกย่องให้เกียรติเธอจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ
เธอสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา มีเหตุผลใดอีกที่เสวี่ยเจียเยว่ต้องปฏิเสธ
หญิงสาวยกสองแขนขึ้นโอบรอบลำคอของอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลงยอมรับความรักอันเร่าร้อนของเขาแต่โดยดี
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งถอดเครื่องประดับทั้งหมดบนมวยผมของเธอออก ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกปล่อยลงมาราวกับสายน้ำกระจายอยู่บนบ่าเธอ เขายังถอดต่างหูรูปใบแปะก๊วยออกด้วย ก่อนจะใช้ลิ้นไล้เลียติ่งหูนุ่ม ทำให้ร่างกายของเสวี่ยเจียเยว่สั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
ชุดเจ้าสาวสีแดงฉานของหญิงสาวถูกชายหนุ่มถอดออกทีละชั้น ก่อนที่เสวี่ยเจียเยว่จะได้ยินเสียงหัวเราะดังอู้อี้อยู่ข้างหู
“เป็นตู้โต้วสีแดงจริงๆ ด้วย”
ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาไล้ผ่านพวงแก้มของเสวี่ยเจียเยว่ ทำเอาเธอเขินอายจนใบหน้าแดงเหมือนดอกไห่ถัง แต่ยังคงมิกล้าลืมตาขึ้นมองชายหนุ่ม จึงไม่เห็นความตะลึงงันในแววตาของอีกฝ่าย
ผมยาวสีดำขลับ ผิวขาวดั่งหิมะ ชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน สิ่งเหล่านี้ขับให้เกิดความงามดึงดูดใจ เขาจึงจูบเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความปรารถนาอันเปี่ยมล้น
สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็พยายามทำให้เสวี่ยเจียเยว่ลืมตาขึ้นมองเขา จูบครั้งแล้วครั้งเล่าจนคิ้วของหญิงสาวขมวดแน่น ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นของข้าแล้ว”
‘ในที่สุดเจ้าก็เป็นของข้า ข้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้า ทำให้ทุกวันของเจ้ามีความสุขที่สุด’
เช้าวันต่อมาเสวี่ยเจียเยว่ถูกปลุกด้วยจูบของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เมื่อคืนนี้เขาบุ่มบ่ามเกินไป ไม่ได้ควบคุมตัวเอง ทำให้เสวี่ยเจียเยว่มีท่าทางอ่อนแรงเช่นนี้ เขารู้สึกผิดต่อหญิงสาวจริงๆ
“ข้าสัญญาว่าจะจัดพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้เจ้าอีกครั้งในภายหลัง แต่เมื่อคืนนี้ เยว่เอ๋อร์ ข้าขอโทษ ในภายภาคหน้าข้าจะต้องชดเชยให้เจ้าแน่”
เขารู้สึกว่าพิธีแต่งงานเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ยังมอบพิธีที่ยิ่งใหญ่ให้เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่โอบรอบเอวของอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็ดีมากแล้ว ข้าพอใจแล้วจริงๆ ท่านพี่” เสียงของเธอแหบพร่าเล็กน้อย
เมื่อก่อนหญิงสาวคาดเดาว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องเก่งมากอย่างแน่นอน เมื่อคืนเธอก็ได้รู้แล้วว่าเขาเก่งกาจมากจริงๆ อีกทั้งหลังจากทำเรื่องนั้นกันแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งยังบอกอีกว่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเธอ เขาจึงต้องทะนุถนอมและอ่อนโยนกับเธอให้มาก…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล้าคิดเลยว่าในคืนต่อไปเธอจะเป็นเช่นไร
ทั้งสองคนนอนกอดกันอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า
เมื่อสองสามีภรรยาเดินออกมาจากห้องหอ ก็พบว่าป้าโจวสั่งให้คนเตรียมอาหารเช้ารอพวกเขาแล้ว
ทั้งสองคนโค้งคำนับป้าโจว ก่อนจะนั่งกินข้าวด้วยกัน หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่จึงคุกเข่าบอกลาป้าโจว
เมื่อวานตอนที่เขามาถึง ชายหนุ่มบอกป้าโจวแล้วว่าวันนี้เขากับเสวี่ยเจียเยว่จะออกไปจากเมืองหลวง ดังนั้นป้าโจวจึงไม่ถ่วงเวลาพวกเขาอีก เพียงขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวังเท่านั้น จากนั้นจึงเรียกใครคนหนึ่งเข้ามา
นางคือเณรน้อยตัวปลอมที่คอยรับใช้เสวี่ยเจียเยว่แต่งตัวเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดสาวใช้และสวมผมปลอมด้วย
“นางชื่อฉ่ายผิง หลายวันมานี้นางคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ข้ามาตลอด มีวรยุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง ข้าได้ยินว่าที่ที่เจ้าจะไปอยู่นั้นมีโจรมาก จึงขอให้ฉ่ายผิงตามไปคอยดูแลอยู่ข้างกายเยว่เอ๋อร์ จะได้ปกป้องนางอีกแรง ข้าเองก็จะวางใจได้บ้าง”
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจความหมายของป้าโจวดี
ประการแรกคือ… นางไม่วางใจเรื่องของเสวี่ยเจียเยว่ อยากให้มีใครสักคนคอยอยู่ปกป้องหญิงสาว
ประการที่สอง… ป้าโจวยังต้องการให้เขาจัดการกับเซี่ยซิ่งเหยียน ดังนั้นนางจึงอยากรู้ว่าในสองสามปีที่เขารับตำแหน่งขุนนางนั้นจะสามารถทำอะไรได้บ้าง คุ้มค่าหรือไม่ที่จะสนับสนุนเขา
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ปฏิเสธ เขาลุกขึ้นยืนแล้วขอบคุณป้าโจวด้วยรอยยิ้ม
อยู่ด้วยกันไม่กี่วันก็ต้องแยกจาก และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบหน้ากันอีก เสวี่ยเจียเยว่ยังคงอาลัยอาวรณ์ป้าโจว ดวงตาของเธอแดงก่ำและสะอื้นไห้อย่างห้ามไม่ได้
ป้าโจวเองก็ไม่อยากแยกจากเสวี่ยเจียเยว่ จึงกำชับอีกหลายเรื่อง สุดท้ายนางก็ฝืนใจหันหลังให้พวกเขาแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เสวี่ยหยวนจิ้งกุมมือเสวี่ยเจียเยว่แล้วพาหญิงสาวเดินจากไป โดยมีฉ่ายผิงถือสัมภาระเดินตามพวกเขาไป
พวกเขาออกไปทางประตูหลังเช่นคราวก่อน ซึ่งรถม้าจอดรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นไปบนรถม้า หลังจากปล่อยม่านลง เขาก็ก้มหน้าลงจูบแก้มของหญิงสาวอย่างอ่อนโยนก่อนเอ่ยปลอบ
“ไม่ต้องร้องไห้ พวกเราจะกลับมาหาป้าโจวอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างจะดีขึ้น”
เสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้พลางพยักหน้า จากนั้นจึงซุกหน้าลงบนอกของอีกฝ่ายโดยไม่ได้กล่าวคำใด
เสวี่ยหยวนจิ้งกอดหญิงสาวเอาไว้แล้วปลอบอีกครู่หนึ่ง เสียงนั้นแผ่วเบาและอ่อนโยน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ฟังก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ปิดลง
เมื่อคืนเธอนอนหลับได้ไม่นานนัก เพราะกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะยอมปล่อยก็ตอนใกล้รุ่งสาง ตอนนี้เธอรู้สึกง่วงมากจริงๆ
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นภรรยาหลับแล้ว เขาก็ถอดเสื้อคลุมของตนมาคลุมร่างกายของหญิงสาว จากนั้นจึงจับมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเอื้อมไปเลิกม่านขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก
รถม้าออกจากเมืองหลวงแล้ว เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อนพอดี กิ่งก้านของต้นเพาถง[3] เต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วง กลิ่นหอมชื่นใจยิ่งนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าเมื่อกลับมาอีกครั้ง เขาจะมอบเกียรติสูงสุดให้เสวี่ยเจียเยว่ ทำให้หญิงสาวปลอดภัยไปตลอดชีวิต และไม่มีน้ำตาอีกแม้แต่หยดเดียว
[1] คือห้องโถงใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง
[2] เทพแห่งความรักใคร่กลมเกลียวของสามีภรรยา
[3] คือต้นเพาโลเนีย